บทที่ 2.1
ค้าขายย่อมมีกำไร
ซ่งไป๋ลู่ซ่อนตัวในตะกร้าใบเล็กบนเกวียนของกู้ฉินรอจนพ้นหมู่บ้าน กู้เหยียนก็ยกตะกร้าออกให้นาง
“อาไป๋ออกมาได้แล้ว”
กู้เหยียน เป็นเด็กชายวัยเดียวกับซ่งต้าลู่ เรียกได้ว่าทั้งสองเป็นสหายสนิทกันเลยก็ว่าได้ หลายครั้งที่สามพี่น้องตระกูลซ่งได้ความช่วยเหลือจากคนบ้านตระกูลกู้ ในใจของซ่งไป๋ลู่เจ้าของร่างเดิมยังชื่นชอบกู้เหยียนมากอีกด้วย ส่วนมากขนาดไหนน่ะหรือ ก็มากขนาดที่อาศัยยามเขาเมามายแสร้งสร้างเรื่องว่าตนเองกับกู้เหยียนได้เสียกัน หากแต่กู้เหยียนแม้เมาจนหมดแรงแต่ก็ไม่ขาดสติ เรื่องนี้เขาจึงไม่ยอมรับจนเรื่องราวบานปลายทำให้ซ่งต้าลู่ตัดขาดกับสหายผู้นี้ ช่างเป็นบทนางร้ายตัวประกอบที่ไร้สมองสิ้นดี
“ขอบคุณพี่กู้เหยียน”
“ไม่เป็นไร เจ้าเป็นน้องสาวอาต้า ก็นับเป็นน้องสาวของข้าด้วย”
กู้เหยียนเอ่ยบอกด้วยความจริงใจ ซ่งไป๋ลู่พยักหน้ารับคำ บุรุษที่ดีเพียงนี้ กลับถูกวางบทให้เป็นเพียงเบี้ยหมากไร้ค่าผู้หนึ่ง ภายหน้าถูกเมิ่งเฟยอวี่พระเอกของเรื่องหลอกใช้ให้มาประจานเรื่องราวต่ำทรามของซ่งไป๋ลู่ จนตัวเขาถูกซ่งต้าลู่ที่แค้นใจแทนน้องสาวสังหารอย่างโหดเหี้ยม
แน่นอนว่าตัวนางที่เป็นซ่งไป๋ลู่ในวันนี้จะเปลี่ยนชะตาทั้งหมดนี้เอง
“อาเหยียนเจ้าพาอาไป๋ไปนั่งขายผลท้อตรงนั้นก็แล้วกัน พ่อจะเอากระต่ายป่าไปส่งที่เหลาอาหารเทียนตี้”
ตระกูลกู้เดิมทีเป็นคนจากต่างเมือง ที่ย้ายเข้ามาปักหลักสร้างตัวในหมู่บ้านได้เพียงสามปีเท่านั้น อาชีพหลักของกู้ฉินก็คือรับจ้างขนของเข้าเมือง และฝากซื้อของกลับเข้าหมู่บ้าน แน่นอนว่าในช่วงที่ทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการเตรียมที่ดินปลูกพืชผล นอกจากสัตว์ป่าที่เขาออกล่ายามคืน และผักป่าที่ภรรยาเก็บในยามกลางวัน ก็ไม่มีอะไรให้ขนมาส่งในเมืองอีก
“ขอรับท่านพ่อ”
และเพราะความช่วยเหลือของกู้เหยียน ผลท้อทั้งหกตะกร้าของซ่งไป๋ลู่จึงขายออกจนหมด มือเล็กนับเงินด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะแบ่งเงินสองในสิบส่วนให้กู้เหยียน
“นี่อะไรกันอาไป๋”
“ท่านช่วยข้าขายของ ข้าย่อมต้องมอบส่วนแบ่งให้ท่าน”
“แต่...”
“ทำการค้าย่อมต้องมีกำไร เงินนี้ท่านเก็บเอาไว้ วันปีใหม่ยังสามารถซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ท่านลุงท่านป้าเป็นของขวัญ หรือจะเก็บไว้สมัครเรียนที่สถานศึกษาก็ล้วนแล้วแต่ท่าน”
กู้เหยียนแม้ติดตามบิดามาขายของ ทว่าเงินที่ได้จากการช่วยบิดาทำงาน เขาจะกล้าขอส่วนแบ่งได้อย่างไร ยามที่ได้เงินก้อนแรกเป็นของตนเอง บนใบหน้าของเขาก็มีความยินดีจนแฝงเอาไว้ไม่มิด
ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างขยับตัวกระซิบบอกเขาเสียงเบา“เอาแบบนี้ ต่อไปเรามาเป็นหุ้นส่วนกันดีหรือไม่”
กู้เหยียนขมวดคิ้วมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความสงสัย
“อาไป๋หุ้นส่วนที่เจ้าเอ่ยถึงคืออะไรกัน”
“ข้าหมายถึงคราวหน้าข้าเป็นคนหาของ ส่วนท่านเป็นคนขายของ พวกเราสองคนร่วมมือกัน ส่วนแบ่งข้าได้หกส่วน ท่านได้สองส่วน บิดาท่านที่เป็นคนขนของได้สองส่วน เช่นนี้ดีหรือไม่”
แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นส่วนแบ่งถึงหกต่อสี่ ทว่าตัวนางไม่ต้องลำบากขนของมานั่งขายเอง และไม่ต้องมาเสี่ยงต่อการถูกท่านป้าใหญ่ซ่งผู้นั้นจับได้และยึดของไป ย่อมนับว่าเป็นเรื่องที่ดี
“ทำเช่นนี้จะดีหรือ อาต้าจะตำหนิข้ากับท่านพ่อหรือไม่...”
“นี่เป็นเรื่องระหว่างเราสองคน ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเราสองคนตกลงกัน พี่กู้เหยียนท่านเชื่อใจข้า”
เรื่องระหว่างเรา... เชื่อใจข้า ไม่รู้เพราะเหตุใด ทว่ายามได้ยินเด็กหญิงเอ่ยเช่นนี้สองแก้มของกู้เหยียนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ก้มหน้าเอ่ยเสียงแผ่วเบารับปากนาง
“หากอาไป๋ว่าดี ข้าก็ว่าดี”
“เช่นนั้นท่านช่วยข้าอีกเรื่องได้หรือไม่”
“เรื่องอะไรหรือ”
“ข้าอยากได้ห้องครัว”
กู้เหยียนนึกถึงห้องครัวไร้กำแพงของบ้านซ่งแล้วก็เข้าใจความคิดของเด็กหญิงข้างกาย มือเล็กเทเงินในถุงออกมาส่งให้อีกฝ่ายดู
“เงินเท่านี้พอหรือไม่”
กู้เหยียนมองเงินบนมือเล็กแล้วยิ้มแห้ง แม้จะกล่าวว่าอาไป๋ของเขาทำการค้าได้ดี ผลท้อวันนี้ทำกำไรได้ไม่น้อย ทว่าหากคิดจะสร้างบ้านต่อเติมเรือนเกรงว่าเงินก้อนนี้จะยังน้อยไปสักหน่อย
“ดูเหมือนยังขาดอีกสักแปดส่วน”
ซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ดีว่าการค้าเพียงครั้งเดียวย่อมไม่สามารถสร้างตัวจนมั่นคงได้ หากแต่การค้าย่อมมีกำไรวันนี้ไม่พอวันหน้าย่อมต้องพอ ทว่าสร้างบ้านรอได้แต่สร้างคนรอไม่ได้ ซ่งไป๋ลู่คิดถึงร่างที่ผอมแห้งของสองพี่น้องตระกูลซ่งแล้วก็ตัดใจหยิบเงินออกจากกระเป๋าอีกครั้ง
“เช่นนั้นพี่กู้เหยียนท่านพาข้าไปซื้อเนื้อหมูกับนมแพะได้หรือไม่”
“ของสองอย่างนี้มีราคาไม่น้อย หากเจ้าเอาเงินนี่ไม่ซื้อก็คงต้องขายผลท้ออีกร่วมเดือนจึงจะพอสร้างห้องครัวเล็กๆ ของเจ้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าได้เงินมาแล้วย่อมต้องให้คนที่ข้ารักได้กินดีอยู่ดีขึ้นมาบ้าง”
“อ่า... ข้าก็อยากกินดีอยู่ดีบ้าง”
“พี่กู้เหยียนท่านเอ่ยเช่นนี้ อยากเป็นคนที่ข้ารักหรือเจ้าคะ”
ซ่งไป๋ลู่แสร้งเอ่ยเย้า กู้เหยียนที่เอ่ยโดยไม่ทันคิดพลันเบิกตากว้างสองแก้มร้อนผ่าว ก่อนจะรีบพาน้องสาวของสหายไปที่แผงขายหมู
“เถ้าแก่ข้าต้องการซื้อหมูครึ่งจินเจ้าค่ะ”
เถ้าแก่ขายหมูยิ้มกว้าง เขาเห็นเด็กน้อยผู้นี้มานั่งขายผลท้อตั้งแต่ยามเช้า ในใจนึกเอ็นดูนางอยู่ในที ดังนั้นยามที่ส่งเนื้อหมูให้นางก็แถมกระดูกหมูชิ้นใหญ่ให้อีกหนึ่งชิ้น
“เจ้าอย่าได้เห็นว่ามันเป็นเพียงกระดูกหมูไม่มีราคา ยามที่เอาไปทำน้ำแกงรสชาติดีกว่าเนื้อหมูเสียอีก”
แน่นอนว่าซ่งไป๋ลู่ย่อมรู้ความอร่อยของน้ำแกงกระดูกหมูเป็นอย่างดี
“ขอบคุณเถ้าแก่มากเจ้าค่ะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ท่านเก็บกระดูกหมูไว้ให้ข้าอีกนะเจ้าคะ”
เมื่อได้เนื้อหมูแล้วกู้เหยียนก็พาซ่งไป๋ลู่ไปที่ร้านขายนมแพะ หากแต่เด็กหญิงกลับให้เขาพาไปยังบ้านคนเลี้ยงแพะแทน
“ไม่มีเงินแต่อยากได้นมแพะ เจ้าคิดว่าข้าใจดีขนาดนั้นเชียวหรือ”
หญิงสาวเลี้ยงแพะเท้าเอวเอ่ยบอกเสียงหงุดหงิดจนแม้แต่
กู้เหยียนก็หน้าซีด คิดจะควักเงินสองส่วนของตนเองออกมาจ่ายค่านมแพะให้ซ่งไป๋ลู่แต่เสียงเล็กก็ดังขึ้นเสียก่อน“ข้าไม่มีเงิน แต่บนเขามีผลท้อ พี่สาวท่านพอจะเมตตาแบ่งนมแพะให้ข้าสักถุงแลกกับผลท้อครึ่งตะกร้าได้หรือไม่เจ้าคะ น้องชายของข้าสุขภาพไม่ดีหากได้ดื่มนมแพะดีๆ ของท่าน เขาย่อมต้องแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน”
ซ่งไป๋ลู่พูดยกยอแทรกกับการต่อรองราคาของเสียยาวเหยียดทว่าสตรีเลี้ยงแพะกลับได้ยินอยู่สองคำ พี่สาว... นมแพะดีๆ ของท่าน ใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนหน้าพลันมีรอยยิ้มกว้าง ยื่นมือไปรับตะกร้าผลท้อมาจากมือเล็ก แล้วเทนมแพะใส่ถุงหนังสัตว์ให้ซ่งไป๋ลู่มาหนึ่งถุง
“ไม่มีเงินแต่ยังรู้จักนำของมาแลกนับว่าเป็นเด็กดีที่รู้ความ เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ผลท้อครึ่งตะกร้าแลกนมแพะหนึ่งถุง”
ถึงแม้ผลท้อไม่สามารถกินได้ทุกวัน แต่หากนำทั้งหมดนี่ไปขายแลกเงินก็ยังได้ราคาสูงกว่านมแพะหนึ่งถุงอยู่เล็กน้อย นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่ขาดทุนดังนั้นสตรีเลี้ยงแพะจึงยอมตกลงรับข้อเสนอของเด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้า
“ขอบคุณพี่สาวมากเจ้าค่ะ”
เมื่อถูกเรียกขานว่าพี่สาวอีกครั้ง รอยยิ้มของหญิงเลี้ยงแพะก็ยิ่งกว้างขึ้น จนแม้แต่น้ำเสียงก็เจือเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ กู้เหยียนที่เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นได้แต่เบิกตากว้าง เรียนรู้วิธีการของซ่งไป๋ลู่อย่างเงียบๆ
สตรีผู้นี้เพียงมองผ่านๆ ก็รู้ว่าอายุมากกว่ามารดาของเขา ทว่าอาไป๋กลับเรียกขานนางว่าพี่สาว ช่างเป็นวิธีการเอาใจคนที่แยบยลยิ่ง
................................................
บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ
“เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี
ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง
“อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร
เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ