บทที่ 2.3
ค้าขายย่อมมีกำไร
ในทุกวันซ่งหานลู่ยังคงต้องไปช่วยงานป้าใหญ่ซ่งหลี่เถียน ส่วนซ่งไป๋ลู่และซ่งหานลู่จะขึ้นเขาเพื่อไปเก็บผลท้อและบ๊วยที่เริ่มสุก เพียงหนึ่งเดือนเศษเงินที่ซ่งไป๋ลู่ซ่อนไว้ก็เต็มถุง มือเล็กนับเงินที่เก็บสะสมมาตลอดเดือนแล้วยิ้มกว้าง ดูเหมือนจำนวนเงินจะเพียงพอต่อการต่อเติมสร้างห้องครัวแล้ว
“พี่ใหญ่ข้าอยากได้ห้องครัวใหม่”
เสียงหวานเอ่ยบอกหลังจากส่งนมแพะให้ซ่งต้าลู่
“ทำห้องครัวต้องใช้เงิน น้องรองเรื่องนี้ข้าคิดว่าพวกเราคงต้องอดทนอีกสักหน่อย รอท่านพ่อกลับมาค่อยคิดกันอีกที”
รอท่านพ่อกลับมา หากคิดตามเส้นเรื่องในนิยายนับดูแล้วก็ร่วมสี่ห้าปี นางจะรอนานขนาดนั้นได้อย่างไร ซ่งไป๋ลู่ขยับตัววางมือลงบนต้นแขนของพี่ชาย ใช้ดวงตากลมใสช้อนมองเขาแล้วเอ่ยเสียงหวานออดอ้อน ในฐานะพี่ชายที่มีน้องสาวเพียงคนเดียววิธีนี้นางมั่นใจว่าสามารถทำให้ซ่งต้าลู่ใจอ่อนได้อย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่เรื่องเงินค่าจ้างท่านไม่ต้องกังวล ข้ากับน้องรองช่วยกันเก็บผลไม้ป่าไปขายตอนนี้เงินที่ได้มามีไม่น้อยแล้ว”
คิ้วเข้มของซ่งต้าลู่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ทว่าเมื่อสบแววตากลมใสออดอ้อนก็เอ่ยคำดุออกมาไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ ทำได้เพียงอธิบายเสียงอ่อน
“น้องรอง เรื่องนี้ไม่สามารถจัดการได้ด้วยเงินเพียงเล็กน้อย”
“เช่นนั้นท่านลองดูเงินเก็บของพวกเราก่อน ว่าพอหรือไม่”
เอ่ยจบซ่งไป๋ลู่ก็เดินไปหยิบถุงเงินมาวางที่กลางโต๊ะกลม เมื่อเห็นจำนวนเงินตรงหน้า ซ่งต้าลู่ก็ขมวดคิ้วหนามือที่กำแก้วไม้ไผ่เผลอออกแรงเกร็งแน่น
เขาเป็นบุรุษ อีกทั้งเป็นเสาหลักของบ้านกลับต้องพึ่งพาแรงของน้องทั้งสองหาเงินเลี้ยงดู ช่างน่าโมโหนัก
“เท่านี้พอหรือไม่เจ้าคะ”
“เงินย่อมพอ แต่หากท่านป้าใหญ่รู้คงไม่ยอมง่ายๆ อีกทั้งยังต้องหาคำตอบเรื่องเงินที่ต่อเติมบ้านแก่นางด้วย”
การสร้างบ้านขยายเรือนไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย ที่สำคัญหากเขาไม่ไปทำงานซ่งหลี่เถียนก็ต้องมาอาละวาดถึงหน้าบ้านแน่นอนว่าถึงตอนนั้นเงินที่ใช้ต่อเติมบ้านก็คงปกปิดอีกฝ่ายไม่ได้
ความยากลำบากทั้งหมดที่เขาลงแรงไปเพื่อปกป้องน้องทั้งสองก็คงสูญเปล่า“ข้าจะขอให้ท่านป้ากู้มาช่วยลงครัวเจ้าค่ะ”
ท่านป้ากู้ หรือว่านชุนภรรยาของกู้ฉินเป็นสตรีขึ้นชื่อเรื่องฝีปากขอเพียงได้เปิดวาจาปะทะ ใครก็ไม่อาจต่อกร ที่สำคัญยังเป็นที่รู้จักของผู้คน ซ่งหลี่เถียนแม้เป็นคนเห็นแก่เงินแต่คงไม่หน้าหนาพอทนฟังคำคนทั้งหมู่บ้านตำหนิเอาอย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่...”
ซ่งไป๋ลู่ยื่นมือไปดึงชายเสื้อของพี่ชายเบาๆ ดวงตากลมช้อนมองเขาอย่างเว้าวอนอีกครั้ง ซ่งต้าลู่ให้เป็นบุรุษใจแข็งเช่นไรก็ไม่อาจต้านทานท่าทีเช่นนี้ของคนเป็นน้องได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวเอ่ยรับคำ
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปบอกท่านลุงชุนให้”
“พี่ใหญ่ท่านดีที่สุด”
ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกด้วยความยินดีพร้อมกับโผเข้ากอดเอวหน้าของพี่ชาย ทำเอาคนเป็นพี่ตัวแข็งเกร็งกับอ้อมกอดของน้องสาว
เจ็ดวันต่อมาชุนเกาถง นายช่างประจำหมู่บ้านก็มาที่บ้านสามพี่น้องแซ่ซ่ง และเป็นไปตามที่ซ่งต้าลู่คาดการณ์ เมื่อเขาไม่ไปช่วยทำนา
ซ่งหลี่เถียนก็บุกมาถึงบ้านเพียงแต่คนมาหาเรื่องเอ่ยปากได้เพียงประโยคเดียวว่านชุนภรรยาของกู้ฉินที่ได้รับการไหว้วานจากสามี ก็เดินออกมายืนเท้าเอวเอ่ยขึ้นเสียงก้อง“อาต้าจะต่อเติมเรือนแล้วเป็นอย่างไร เจ้าเป็นป้าของพวกเขาไม่สนใจความเป็นอยู่ของสามพี่น้องก็แล้วไป ยังคิดให้เด็กวัยสิบสี่ปีทำงานหาเลี้ยงอีก ซ่งหลี่เถียนเจ้าเป็นสตรีมือตีนพิการหรือไรกันจึงไม่รู้จักหาเงินเลี้ยงตัวเอง”
“ข้า...”
“ข้า... ข้าอะไร หากที่ข้าว่านชุนผู้นี้เอ่ยไม่เป็นความจริงก็โต้แย้งมา ดูเอาเถิดเด็กสามคนอยู่ในบ้านดินเก่าๆ ที่แทบจะพังลงมาอยู่แล้ว แม้แต่ห้องครัวก็มีไม่กำแพง มีแค่เตาเก่าๆ กับกะทะผุๆ ใบหนึ่ง ช่างเป็นป้าใหญ่ที่น่านับถือนัก”
แม้จะบอกให้เอ่ยโต้แย้ง ทว่าซ่งหลี่เถียนเพียงอ้าปาก ว่านชุนก็เอ่ยยาวไปห้าประโยค
“เจ้าจะไปรู้อะไร ข้า...”
“ยังมีอะไรที่ข้าไม่รู้อีก ตระกูลกู้ของข้าอยู่ห่างจากบ้านสามพี่น้องแซ่ซ่งนี้เพียงไม่กี่หลัง เรื่องที่เจ้ารังแกคน เอาเปรียบเด็กๆ มีหรือข้าจะไม่รู้ ก่อนหน้าเพียงรังแกคนใช้แรงงานพวกเขาก็แล้วไป แต่นี่ยังคิดมาระรานก่อกวนแม้กระทั่งการสร้างครัวที่พวกเราช่วยกันลงแรง ซ่งหลี่เถียนเจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่ จิตสำนึกถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ”
ซ่งหลี่เถียนแม้จะไม่ยินยอมทว่ากลับไม่อาจโต้ตอบได้ สุดท้ายใบหน้าก็ไม่อาจด้านไปมากกว่านี้เร่งหมุนตัวเดินกลับไปในทันที
“เป็นอย่างไรฝีปากของข้า ยอดเยี่ยมมากหรือไม่”
ว่านชุนยกมือขึ้นกอดอกหันมาทางเด็กน้อยทั้งสาม ซ่งหานลู่ยกหัวแม่มือสองข้างให้อีกฝ่ายพร้อมเอ่ยชมชุดใหญ่
“ยอดเยี่ยมมากเลยขอรับ ท่านป้ากู้คือเทพที่สวรรค์ส่งมาปกป้องพวกเราสามพี่น้อง ทั้งงดงามและเก่งกาจที่สุด”
ซ่งหานลู่เอ่ยเยินยอ แม้จะรู้ว่าเป็นประโยคกล่าวชมเกินตัวทว่าว่านชุนก็อารมณ์ดียิ่งนัก จะมีผู้ใดไม่ชอบคำชื่นชมกันบ้างเล่า
“สายมากแล้ว ข้ากับน้องเล็กจะขึ้นเขาไปเก็บผลท้อ พี่ใหญ่ท่านอย่าได้ลืมกินข้าวด้วย”
เพราะตนเองเป็นเพียงเด็กหญิงวัยสิบขวบ กับเด็กชายวัยห้าขวบ อยู่ที่บ้านก็ไม่อาจช่วยงานก่อสร้างได้ หรือหากคิดจะช่วยพี่ชายตัวโตของนางก็คงไม่ยินยอม
“อืม...”
ซ่งต้าลู่มองตามแผ่นหลังเล็กของน้องทั้งสองเดินออกจากบ้านไปด้วยสายตาห่วงใย หากแต่ไม่ทันได้คิดอะไรบ่าเล็กก็มีมือของใครบางคนวางลงมา
“นางหนูไป๋ช่างเป็นเด็กฉลาด ขยัน สมกับเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ของข้าจริงๆ”
ว่านชุนเอ่ยชม เรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ขึ้นเขาเก็บผลท้อแล้วนำไปขายเมื่อวานนี้กู้เหยียนลูกชายของนางเล่าให้ฟังโดยละเอียด ยิ่งคิดถึงวิธีการแบ่งเงินโดยไม่ตระหนี่ ในใจของว่าที่แม่สามีเช่นว่านชุนก็ยิ่งชื่นชมเด็กหญิงผู้นี้มากขึ้น
“อาต้าข้าทาบทามนางไว้ให้อาเหยียนได้หรือไม่”
ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาเล็กน้อย มือเล็กกำเข้าหากันแน่นทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบปกติ เอ่ยเสียงสุภาพไร้ท่าทีขุ่นเคือง
“ตอนนี้อาไป๋เพิ่งสิบขวบเท่านั้น ข้าคิดว่า...”
“สิบขวบเท่านั้นอะไรกัน ยัยหนูบ้านฮวาอายุเก้าขวบก็แต่งให้บุรุษบ้านฉินแล้ว สามีภรรยาได้ทำความคุ้นเคยพอถึงวัยปักปิ่นก็เข้าหอ มีลูกทันกินทันใช้”
ซ่งต้าลู่ในใจคล้ายมีไฟกองหนึ่งกำลังก่อขึ้นเงียบๆ ทว่าใบหน้ายังคงราบเรียบเอ่ยเสียงนิ่งสงบ
“เรื่องของอาไป๋ ย่อมต้องให้อาไป๋ตัดสินใจขอรับ”
“อ่า... เช่นนั้นก็ดี ได้ยินอาเหยียนบอกว่าเขากับนางเข้ากันได้ดี เช่นนั้นอนาคตสะใภ้ของข้าย่อมต้องเป็นนาง”
สะใภ้อะไรกัน อาไป๋ของเขาอายุเพียงสิบขวบ อีกฝ่ายก็มาเอ่ยเรื่องการแต่งงานออกเรือนแล้ว ช่างน่าหงุดหงิดนัก หรือเขาควรให้
ซ่งไป๋ลู่เก็บตัวอยู่ในบ้านเช่นเดิมดี“มาๆ พวกเจ้าตั้งใจทำงานหน่อย ห้องครัวของว่าที่ลูกสะใภ้ข้าจะผิดพลาดไม่ได้ อั๊ยยะตรงนั้นทำให้ดีหน่อย ยังต้องมีช่องระบายลมด้วยอากาศในครัวจะได้ถ่ายเท”
ได้ยินคำพูดของมารดาสหาย ในใจของซ่งต้าลู่ก็ทวีความหงุดหงิดขึ้นมา ก่อนจะคิดถึงบทสนทนาหนึ่งของซ่งไป๋ลู่และกู้เหยียน
ที่ดินหลังบ้านว่างอยู่ข้าเลยคิดว่าจะปลูกผักไว้กินสักหน่อย
เช่นนั้นหากอยากให้ข้าไปช่วยขึ้นแปลงก็บอก ข้าจะไปทำให้
ความต้องการของน้องสาวเหตุใดต้องให้ผู้อื่นมาจัดการให้ เมื่อเห็นว่าเรื่องการสร้างครัวไม่มีอะไรต้องกังวล ซ่งต้าลู่จึงหยิบจอบไปขึ้นแปลงผักที่หลังบ้านไว้รอน้องสาวของเขา
......................................................
ใช้เวลาประมาณเจ็ดวัน ครัวของบ้านซ่งก็สร้างเสร็จ แน่นอนว่าผู้คนล้วนแสดงความยินดีกับความสำเร็จนี้ เว้นเพียงซ่งหลี่เถียนที่ในใจทั้งหงุดหงิดแค้นใจ ทั้งสงสัยว่าสามพี่น้องไปหาเงินจากที่ไหนมาต่อเติมบ้านกัน
ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าตัวภาระพวกนั้นไปเอาเงินมาจากที่ไหน
ซ่งไป๋ลู่กลับมาจากส่งผลไม้ที่บ้านตระกูลกู้ เมื่อเห็นว่าห้องครัวสร้างเสร็จแล้วก็ยิ้มกว้าง กวาดสายตามองรอบห้องด้วยความภาคภูมิใจ โดยเฉพาะเตาใหญ่ที่ถูกก่อขึ้น
“พี่ใหญ่เตานี่เราใช้ได้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“เตาพึ่งก่อต้องรออีกสักสองสามวัน”
ซ่งไป๋ลู่พยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย ทว่าท่าทางที่เข้าใจทุกสิ่งอย่างง่ายดายแตกต่างจากอดีตของนางทำให้ซ่งต้าลู่รู้สึกแปลกใจทุกครั้ง เพียงแต่ไม่ว่านางจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร เขาก็จะดูแลปกป้องนางไปตลอดชีวิตเช่นเดิม
“เย็นมากแล้วเจ้ารีบไปอาบน้ำเถิด วันนี้ข้าขอท่านลุงชุนทำห้องเล็กเพิ่มให้ที่ด้านหลังบ้าน ไว้ให้เจ้าใช้ปลดทุกข์และอาบน้ำ”
เพราะวันนี้ได้ยินว่านชุนเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของซ่งไป๋ลู่กับ
กู้เหยียน ซ่งต้าลู่จึงตระหนักได้ว่าน้องสาวของเขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกแล้ว ดังนั้นจึงสมควรต้องระวังตัวให้มากขึ้น โดยเฉพาะยามอาบน้ำและทำกิจส่วนตัวเช่นนี้เรื่องห้องน้ำนับว่าเป็นสิ่งที่ซ่งไป๋ลู่กังวลใจมากตั้งแต่ทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ เมื่อได้ยินซ่งต้าลู่บอกว่าเขาได้จัดการเรื่องนี้ให้ตน ในใจก็ยินดียิ้มกว้างเอ่ยขอบคุณเขาอยู่หลายครั้งก่อนจะวิ่งออกไปจากห้องครัวเพื่อสำรวจห้องน้ำใหม่ ซ่งต้าลู่ยกยิ้มตามแผ่นหลังเล็ก เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาคงกังวลมากเกินไป
......................................................
บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ
“เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี
ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง
“อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร
เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ