Share

บทที่ 2.2 ค้าขายย่อมมีกำไร

last update Terakhir Diperbarui: 2025-02-13 15:15:49

บทที่ 2.2

ค้าขายย่อมมีกำไร

“พี่ใหญ่ท่านเร่งมาดูเร็วเข้า”

เสียงของซ่งหานลู่ดังก้อง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าบนโต๊ะเล็กมีอาหารสามจาน และข้าวพูนจานอีกสามถ้วย

“พี่ใหญ่ท่านตีข้าที นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ นะ... นี่ เนื้อหรือขอรับ”

ซ่งหานลู่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อมาจากจานผัด ดวงตากลมเปล่งประกายฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ไม่เพียงมีข้าวพูนจาน วันนี้เขายังมีเนื้อกินด้วย หรือว่านี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตที่สวรรค์ประทานมาให้

“น้องเล็ก เจ้าอย่ามัวแต่ตื่นเต้นรีบไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วมากินข้าวตอนที่ยังร้อนๆ จะได้ไม่เสียรส”

เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยบอก คนที่ตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้าก็รีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเก่าจวนพัง ใช้ตะเกียบคีบเนื้อและข้าวในชามใส่ปาก ดวงตากลมเบิกกว้างเอ่ยเสียงอู้อี้

“พี่รองนี่เป็นอาหารฝีมือของท่านจริงๆ หรือ”

เพราะที่ผ่านมาซ่งไป๋ลู่ไม่เคยจับงานทั้งหนักทั้งเบา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอกบ้านในบ้านล้วนมีซ่งต้าลู่จัดการ ดังนั้นอาหารมื้อแรกที่นางทำและยังทำได้ดีถึงเพียงนี้จึงทำให้น้องชายตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง

“แน่นอนว่าเป็นฝีมือพี่รองของเจ้า”

“เช่นนั้นท่านทำอาหารทุกวันได้หรือไม่ ข้าชอบฝีมือท่าน”

แน่นอนว่าประโยคนี้ซ่งหานลู่เอ่ยมาจากความจริงแปดส่วน อีกสองส่วนล้วนเอ่ยขึ้นเพราะต้องการให้พี่รองของตนช่วยงานพี่ใหญ่ที่แสนดีของเขา

“พี่รองของเจ้าอายุยังน้อย เรื่องเข้าครัวข้าจะจัดการเอง”

ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันตอบรับคำขอของน้องชาย ซ่งต้าลู่ก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยื่นตะเกียบคีบผักในจานใส่ถ้วยข้าวของตนเอง ตลอดมื้ออาหารไม่แตะต้องเนื้อหมูเลยสักชิ้น ของดีๆ ควรมีไว้ให้น้องทั้งสองของเขา

“พี่ใหญ่ท่านทำงานเหนื่อยมากแล้ว เรื่องในครัวต่อไปให้ข้าดูแลเถอะนะเจ้าคะ”

ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกพลางคีบเนื้อหมูให้คนเป็นพี่ชาย ซ่งต้าลู่มองความใส่ใจของน้องสาวตรงหน้าด้วยความเต็มตื้นในอก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

“เช่นนั้นก็ได้”

“พี่ใหญ่ท่านลำเอียง! ยามเป็นข้าบอกท่านไม่เคยรับฟัง ทว่าพอเป็นพี่รองบอกไม่ว่าคำใดก็ล้วนตามใจนาง”

ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ หากแต่ตะเกียบยังคงคีบข้าวในถ้วยลงท้อง ซ่งไป๋ลู่ยกยิ้มกว้างแสร้งหยิบจานเนื้อหนีตะเกียบเล็ก

“อ่ะ! พี่รองท่านจะเอาผัดเนื้อของข้าไปไหน”

“เจ้าไม่เชื่อฟังพี่รอง...”

“ฟังๆ ข้าล้วนฟังท่าน พี่รองข้าขอกินเนื้ออีกสักชิ้นนะ ชิ้นเดียวเท่านั้น”

ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงอ่อนพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ซ่งไป๋ลู่ที่ไม่ได้คิดรังแกอีกฝ่ายจริงจังเห็นเช่นนี้ก็ยื่นจานเนื้อส่งให้คนเป็นน้อง แล้วคีบหมูใส่ชามให้คนเป็นพี่อีกสองชิ้น

“พี่ใหญ่ท่านเองก็ควรกินเนื้อให้มากหน่อย เป็นบุรุษต้องมีร่างกายกำยำจึงจะปกป้องข้ากับน้องเล็กได้”

ซ่งต้าลู่มองเด็กหญิงที่คล้ายจะเติบโตขึ้นในช่วงข้ามคืนแล้วพลันเกิดแววตาสงสัยหวาดระแวง นางใช่ซ่งไป๋ลู่น้องสาวคนเดิมของเขาอยู่หรือไม่

“ผ่านความตายมาครั้งหนึ่งให้ข้าก่อนหน้าโง่งมแค่ไหนก็ต้องมีความคิดขึ้นมาบ้าง”

ซ่งไป๋ลู่อ่านสายตาของเด็กชายตรงหน้าออกก็รีบเอ่ยบอกเขา โชคดีที่นางเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วจึงสามารถหลบเลี่ยงข้อสงสัยของซ่งต้าลู่ไปได้อย่างแนบเนียน

“น้องเล็ก พรุ่งนี้ไปช่วยข้าเก็บลูกท้อบนเขาดีหรือไม่”

“ข้าเชื่อฟังพี่รอง”

ซ่งหานลู่ตอบทั้งที่ยังมีข้าวอยู่เต็มกระพุ้งแก้มทั้งสอง มือเล็กจับจานเนื้อเอาไว้ เกรงว่าถ้าคำตอบของตนไม่ถูกใจพี่สาวอีกฝ่ายจะยึดจานเนื้อตรงหน้าไปอีกรอบ

ซ่งไป๋ลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ก็อดที่จะขบขันไม่ได้ บ้านหลังเล็กจึงก้องไปด้วยเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรก

......................................................

วันต่อมาซ่งไป๋ลู่พาน้องชายตัวน้อยขึ้นเขามาเก็บผลท้อ หลังจากสอนอีกฝ่ายแยกแยะผลสุกผลดิบตัวนางก็เดินไปสำรวจรอบๆ แม้ผลท้อจะขายได้ดี ทว่าคงไม่สามารถใช้เลี้ยงชีวิตไปได้ตลอด อีกอย่างต้นท้อบนเขามีไม่มากไม่นานก็คงถูกนางเก็บจนหมด ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงต้องหาผลผลิตอย่างอื่นเพิ่มเติม

เดินมาได้ไม่ไกลนักนางก็พบผักป่า มือเล็กเดินเก็บมาหนึ่งหอบก็พบต้นบ๊วยใหญ่ ริมฝีปากเล็กยิ้มอย่างพึงพอใจ วางผักป่าในมือปีนป่ายขึ้นต้นบ้วยเก็บผลของมันใส่จนเต็มตะกร้า

สองพี่น้องคนหนึ่งเก็บผลท้อ อีกคนเก็บผลบ๊วยยามที่ตะวันคล้อยต่ำ ซ่งต้าลู่ก็เอาล้อลากมาขนตะกร้าสานแปดใบที่ตีนเขาไปส่งยังบ้านตระกูลกู้

“อาไป๋เจ้ามาแล้ว”

กู้เหยียนร้องอย่างดีใจก่อนจะวิ่งออกจากบ้านมารับตะกร้าท้อจากไหล่เล็ก โดยไม่สนใจสหายที่กำลังเข็นผลท้อแปดตะกร้า

“ข้ากำลังเป็นห่วงกลัวว่าอาต้าจะไปรับเจ้าที่ตีนเขาไม่ทันฟ้ามืด”

“พี่ใหญ่เป็นคนตรงเวลามาก พี่กู้เหยียนไม่ต้องกังวลแทนพี่รองไปหรอกขอรับ”

ซ่งหานลู่เอ่ยแทนพี่ชาย พร้อมทั้งขยับตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างพี่สาวและพี่ชายต่างแซ่

“พี่สาวข้าอายุสิบปีแล้ว พี่กู้เหยียนท่านต้องระวังสักหน่อยอย่าอยู่ใกล้นางมากเกินไป คนจะนินทาพี่สาวข้าได้”

คิ้วเล็กของซ่งไป๋ลู่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะขบขันกับท่าทางหวงพี่สาวของซ่งหานลู่

“พี่กู้เหยียนอย่าถือสาน้องเล็กของข้าเลยนะเจ้าคะ”

“อาหาน ห่วงใยเจ้าข้าจะถือสาเขาได้อย่างไร เป็นพี่กู้เหยียนของเจ้าที่คิดไม่รอบคอบอาหานอย่าได้ตำหนิเลย”

กู้เหยียนเอ่ยเสียงอ่อนอย่างเอาใจ ซ่งไป๋ลู่ให้ความสำคัญกับพี่น้อง ดังนั้นเขาย่อมต้องใส่ใจพี่น้องของนางเช่นกัน

“อ่อ... นี่เมล็ดพืชที่เจ้าฝากข้าซื้อมา”

กู้เหยียนบอกพร้อมกับส่งถุงผ้าหลายใบให้ซ่งไป๋ลู่

“ขอบคุณพี่กู้หยียน”

“เรื่องเล็กน้อยจะขอบคุณทำไมกัน ว่าแต่เจ้าซื้อเมล็ดพันธุ์มามากมายจะปลูกผักหรือ”

“เจ้าค่ะ ที่ดินหลังบ้านว่างอยู่ข้าเลยคิดว่าจะปลูกผักไว้กินสักหน่อย”

“เช่นนั้นหากอยากให้ข้าไปช่วยขึ้นแปลงก็บอก ข้าจะไปทำให้”

เมื่อกู้เหยียนอาสาเสียงหนักแน่น ซ่งไป๋ลู่จึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณในน้ำใจของอีกฝ่าย

“ส่งของเสร็จแล้วพวกเราไม่รบกวนท่าน ขอตัวก่อน”

เมื่อเห็นว่าซ่งต้าลู่ขนของลงจากรถลากหมดแล้ว ซ่งไป๋ลู่ก็เอ่ยขอตัวกลับบ้านในทันที

“เย็นมากแล้วข้าจะไปตักน้ำมาให้พวกเจ้าใช้ล้างเนื้อล้างตัว”

เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่เอ่ยบอกพร้อมกับหยิบถังไม้เดินจากไป ซ่งไป๋ลู่หยิบผักป่าที่เก็บมาวันนี้ออกมาล้าง จัดการทำมือเย็นง่ายๆ

“พี่รองวันนี้มีเนื้อกินหรือไม่”

ซ่งหานลู่ขยับตัวเล็กๆ ของตนเองมาประชิดพี่สาวแล้วเอ่ยถามเสียงคาดหวัง ซ่งไป๋ลู่ใช้ปลายนิ้วหงิกแก้มตอบของน้องชายที่สูงแค่เอวของนางเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงดุไม่จริงจังนัก

“ก่อนหน้าพี่ใหญ่ลงครัวเจ้าก็ก่อกวนเขาเช่นนี้ใช่หรือไม่”

“พี่ใหญ่ทั้งเข้มงวด ทั้งดุขนาดนั้น ข้าจะกล้าได้อย่างไร มีเพียงพี่รองที่ใจดีข้าจึงกล้ามาออดอ้อนเช่นนี้”

“น้องเล็ก อย่ากวนพี่รองของเจ้า เร่งไปอาบน้ำล้างตัว”

น้ำเสียงราบเรียบของซ่งต้าลู่ที่ดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง ทำเอาซ่งหานลู่ตกใจจนไหล่เล็กยกขึ้น หมุนตัวช้าๆ หันไปยิ้มให้พี่ชายคนโต ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่พี่ใหญ่ออกไปตักน้ำที่ลำธารหรือเหตุใดกลับมาเร็วนัก เช่นนี้ประโยคเมื่อครู่ของเขาอีกฝ่ายก็ย่อมได้ยินใช่หรือไม่

“พี่ใหญ่เมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินสิ่งใดใช่หรือไม่”

“ย่อมไม่ได้ยิน”

ซ่งหานลู่ถอนหายใจยาว ยิ้มกว้าง หากแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของพี่ชายใบหน้าก็พลันซีดลงในทันที

“เพียงแต่ข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและดุมาก หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้าวเย็นมื้อนี้ก็คงต้องงด”

“เชื่อฟัง เชื่อฟัง ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่จะเร่งไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”

ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายคนเล็กที่กลายร่างเป็นม้าเร็ววิ่งออกจากห้องครัวออกไปแล้วหัวเราะขบขัน ขณะที่ซ่งต้าลู่เดินเข้ามารับตะหลิวจากมือเล็ก

“เจ้าเองก็ไปล้างตัวเถิดงานในครัวเดี๋ยวข้าทำต่อเอง”

“แล้วท่านเล่าไม่ไปล้างตัวหรือเจ้าคะ”

“ข้าจัดการตัวเองเรียบร้อย”

เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยเช่นนี้ซ่งไป๋ลู่ก็ยอมปล่อยมือจากตะหลิว แล้วไปจัดการตนเอง ราวครึ่งชั่วยามต่อมาบนโต๊ะเล็กเก่าๆ กลางบ้านก็มีอาหารสองจาน และข้าวสวยพูนชามอีกสามชาม คนที่ยินดีจนยิ้มกว้างย่อมเป็นซ่งหานลู่ ดวงตากลมมองผักป่าผัดหมูสามชั้นด้วยสายตาเป็นประกาย สองแก้มเคี้ยวข้าวจนใบหน้าตอบกลมขึ้นมา

ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายของตนแล้วจินตนาการถึงยามที่ซ่งหานลู่มีเนื้อมีหนังขึ้นมา ย่อมต้องเป็นเด็กชายที่น่ารักมากผู้หนึ่ง ดังนั้นหลังจากที่ข้าวของอีกฝ่ายพร่องไปครึ่งถ้วยนางก็แบ่งข้าวในชามของตนเองให้เขาอีกครึ่งชาม

“ขอบคุณพี่รอง ท่านใจดีที่สุด”

ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงยินดี ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วแน่น มองการกระทำของน้องสาวอย่างไม่ยินดีนัก

“น้องรอง เจ้าทำเช่นนี้ตนเองจะอิ่มได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินคำของพี่ชาย ตะเกียบของซ่งหานลู่ก็ชะงัก กลืนข้าวในปากลงท้องแล้วส่งชามข้าวของตนให้พี่สาว

“ใช่แล้วๆ พี่รองท่านต้องกินให้มากๆ ท้องอิ่มจะได้มีแรงทำงานหาเงินมาซื้อเนื้อให้พวกเรากินอีก”

ซ่งไป๋ลู่ที่เดิมทีกำลังจะซาบซึ้งกับคำพูดของเจ้าก้อนแป้งตัวกลมพลันชะงักค้าง ก่อนจะขบขันดันชามข้าวคืนคนช่างพูด

“วันนี้เจ้ากินมากหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเก็บผลท้อเพิ่มอีกสักสองตะกร้าชดเชยดีหรือไม่”

“ย่อมได้ ข้าจะเก็บชดเชยให้ท่านสี่ตะกร้าเลย”

ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างกับท่าทีของน้องชาย แล้วคีบเนื้อหมูใส่ชามพี่ชายของตน

“ข้าเป็นสตรีกินมากไปหากอ้วนเป็นแม่หมู ภายหน้าคงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอไปเป็นภรรยา”

“เป็นเช่นนั้นก็ดี”

ซ่งต้าลู่เอ่ยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ซ่งไป๋ลู่กลับคิดว่าเขาหยอกเย้า คีบหมูใส่ชามข้าวเขาเพิ่มแล้วเอ่ยอีกประโยค

“จะดีได้อย่างไร ยามที่ท่านกับน้องเล็กแต่งภรรยาเข้ามา ข้าจะไปอยู่ที่ใดเล่า”

“ชีวิตนี้ข้าไม่แต่งภรรยา เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวล”

ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำของเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างส่ายหน้าไปมา ยามนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้จักเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงจะยึดติดกับพี่น้องเช่นนางและซ่งหานลู่ก็ไม่แปลกนัก เพียงแต่เมื่อนึกเรื่องราวในนิยาย ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่กล่าวถึงภรรยาของซ่งต้าลู่ หรือว่าทั้งชีวิตเขาจะไม่แต่งภรรยาจริงๆ

หลังมื้อเย็นซ่งไป๋ลู่ก็เข้าครัวอีกครั้งไม่นานนักก็ยกกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกขัดจนเกลี้ยงเกลาเข้ามาสามใบ

“พี่รองนั่นอะไรหรือขอรับ”

“นมแพะอุ่นอย่างไรเล่า”

“สิ่งนี้เป็นของมีราคามากไม่ใช่หรือขอรับพี่รอง พวกเรากินบ่อยๆ จะดีหรือ”

นับจากที่พี่สาวเขาเริ่มขายผลท้อ นอกจากอาหารจานเนื้อและข้าวสวยพูนจานแล้ว สิ่งที่นางมักนำมาให้เขากับพี่ใหญ่กินเป็นประจำก็คือนมแพะ ทว่าของเหล่านี้ล้วนมีราคา หากกินบ่อยๆ ย่อมไม่สมควร

“ของดีย่อมต้องมีราคา”

ซ่งไป๋ลู่เอ่ยตอบพร้อมกับหยิบนมแพะส่งให้เจ้าก้อนแป้งตัวน้อย ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาเมื่อเขาก็ได้รับนมแพะจากน้องสาวด้วยเช่นกัน

“น้องรอง ข้าไม่จำเป็นต้องดื่มนมแล้ว”

ตอนนี้เขาอายุสิบสี่ ชุนเกาอี้ลูกชายของนายช่างชุนอายุสิบห้าก็แต่งภรรยาแล้ว ยังจะให้ดื่มนมราวเด็กน้อยเช่นน้องเล็กของเขาได้อย่างไร

“ข้าอยากได้พี่ชายที่แข็งแรง พี่ใหญ่ท่านดื่มเถิดสิ่งนี้ข้าใช้ความยากลำบากไม่น้อยจึงแลกมาได้ หากทิ้งไปย่อมน่าเสียดายนะเจ้าคะ”

ซ่งต้าลู่เดิมทีไม่คิดจะรับนมแพะมาดื่ม ทว่าเมื่อได้ฟังคำของน้องสาวก็ไม่อาจต่อต้าน ยื่นมือไปรับมาดื่มอย่างว่าง่าย

ความหวังดีของน้องรองเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร

......................................................

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทพิเศษ

    บทพิเศษสายลมเหมันต์พัดผ่าน หิมะขาวโปรยปรายร่วงหล่นองค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันยืนอยู่บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมเสี่ยวอัน สายตาทอดมองไปยังถนนเบื้องล่าง“ถวายพระพรองค์ชายรอง”เสียงเอ่ยด้วยความนอบน้อมจากด้านหลังดึงสายตาของเขาให้หมุนตัวกลับมามองอีกฝ่าย“ลุกขึ้นเถิด ท่านอาจารย์หลิว หมอหลวงถัง”หลิวชงซิว และ ถังซานอี้ ขยับตัวลุกขึ้น หากแต่ยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบ“หลายปีมานี้ลำบากพวกท่านแล้ว”“ได้ทำงานให้ฝ่าบาทนับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ของพวกกระหม่อม”ฟู่ฉ่าคังอันยกมุมปากขึ้นยิ้ม สายตามองคนทั้งสองด้วยความภาคภูมิใจและขอบคุณอยู่ในที การซ่อนตัวแฝงกายเพื่อสืบข่าวในต่างแคว้นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ที่ยากกว่าคือการแทรกซึมขึ้นเป็นคนสำคัญที่ต่างแคว้นไว้วางใจ“ตอนนี้เจียงเป่ยและต้าหยางลงนามผูกพันธมิตรร้อยปี ต่อไปคงไม่มีสงครามอีก ดังนั้นเสด็จพ่อจึงเรียกตัวพวกท่านกลับเจียงเป่ยเพื่อตกรางวัล”เมื่อได้ยินว่าถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด สองสายลับก็ทรุดตัวลงก้มหน้าคุกเข่า“องค์ชายได้โปรดเมตตา พวกกระหม่อมไม่ปรารถนาของรางวัลหรือลาภยศใดๆ เพียงแต่ต่อจากนี้ขอให้ลบชื่อพวกเราออกจากบัญชีสายลับ”ลบชื่อออก นี่ไม่เท่ากับลบผลงานในหลายสิบ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.3 บทสุดท้าย 

    “เสี่ยวไป๋!”น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาในคราวแรกนั้นค่อนข้างตื่นตระหนกดีใจ หากแต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นเศร้าหมอง ยืนนิ่งเอ่ยออกมาเสียงบางเบา“สบายดีหรือไม่”ซ่งไป๋ลู่ในชุดสีแดงอ่อนแถบขาว เม้มริมฝีปากบางพยักหน้าตอบกลับ เมิ่งเฟยอวี่ยิ้มด้วยสายตาเจือความทุกข์ เอ่ยถามเสียงสั่น“มีเรื่องทุกข์ใจ หรือใครทำให้รู้สึกยากลำบากไหม”ดวงตาคมมองใบหน้าที่ส่ายไปมา ด้วยใจคะนึงหาก่อนจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกเมื่อเห็นเท้าเล็กก้าวเข้ามาหาตน“อย่า อย่าเข้ามา...”“อาเล่อ ทำไม...”“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเพียงภาพลวงตา แต่ช่วยอยู่ให้นานหน่อยได้หรือไม่”คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันของซ่งไป๋ลู่พลันคลายออก ในดวงตาปรากฏความรู้สึกผิดที่ชัดเจน ไม่สนใจคำห้ามปรามของเขาวิ่งเร็วพร้อมโถมตัวเข้าโอบกอดร่างหนา“เสี่ยวไป๋ ทำไมเจ้าจึงกอดข้าได้”เมิ่งเฟยอวี่ยังคงตื่นตกใจ สองมือแข็งค้างอยู่กลางอากาศไม่กล้าแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ด้วยกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะจางหายไป“ข้าไม่เพียงแค่กอดเจ้าได้แต่ยัง... จูบเจ้าได้ด้วย”ซ่งไป๋ลู่กล่าวจบสองมือที่กอดกายหนาก็ขยับขึ้นโอบลำคอแกร่ง เขย่งปลายเท้ากดแนบริมฝีปากของตนลงบนปากหยักของเมิ่งเฟยอวี่ร่างกายของเมิ่งเฟยอวี

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.2 บทสุดท้าย

    ห้าวันต่อมาทั่วทั้งต้าหยางก็เกิดเรื่องที่ทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เมื่อราชโองการถูกประกาศออกมาว่าองค์ชายห้าหลงเจิ้นซีก่อกบฏ ตระกูลจางเก้ารุ่นถูกสังหารภายในคืนเดียว บรรดาขุนนางที่ร่วมมือถูกประหารไปนับสิบคน พระสนมจางเฟยถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย หากแต่เพียงครึ่งเดือนต่อมาทุกอย่างก็สงบลง“ได้ยินว่าองค์ชายห้าใช้โอกาสตอนไปจัดการปัญหาทางเหนือ ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้ โชคดีที่องค์ชายรองแคว้นเจียงเป่ยยื่นมือเข้ามาช่วยเปิดโปง ไม่เช่นนั้นหากเกิดกบฏกลางเมืองขึ้นมาจริงๆ ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่รู้จะมีชะตากรรมอย่างไร”“ยังต้องขอบคุณที่ปรึกษาเมิ่งด้วย ได้ยินว่าเขาให้บัณฑิตใหม่ปีนี้แฝงตัวเข้าสืบความ จึงได้รายชื่อขุนนางโฉดทั้งหมดออกมา”“ใช่ๆ เขายังเป็นพันธมิตรที่ดีกับหัวหน้าหวงแห่งกองอาชาเหล็กร่วมมือกันเข้าจับกุมองค์ชายกบฏ ดังนั้นจึงจัดการทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและไม่เดือดร้อนชาวบ้านอย่างพวกเราเลย”เรื่องราวการปราบกบฏครั้งนี้ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองด้วยความตื่นเต้นของชาวบ้าน ขณะที่ซ่งไป๋ลู่ได้แต่รับฟังอย่างสงบ“พี่รอง เหตุใดท่านจึงดูสงบนัก ราวกับว่ารู้ทุกอย่างอยู่แล้ว”“หากข้าบอกว่าข้ารู้ทุกอย่าง

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 33.1 บทสุดท้าย

    “อาไป๋นอนหรือยัง”เสียงซ่งต้าลู่ดังขึ้นที่หน้าห้อง ซ่งไป๋ลู่ก็หมุนตัวออกมาเปิดประตูในทันที“พี่ใหญ่ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”เพราะช่วงนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงตื่นตัวและกังวลอยู่ตลอดเวลา“ไม่ได้มีเรื่องร้ายอะไร ข้าเพียงต้องการบอกบางอย่างกับเจ้า”ซ่งไป๋ลู่เห็นใบหน้าของพี่ชายมีความกังวลแฝงอยู่ก็คาดเดาได้ว่าบางอย่างที่เขากำลังจะบอกกับนางนั้นน่าจะเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นจึงให้เขาเข้ามานั่งด้านในห้อง รินชาร้อนแล้วส่งให้เขาซ่งต้าลู่รับถ้วยชามาจากน้องสาว ทว่ากลับไม่ได้ยกมันขึ้นดื่ม มือข้างหนึ่งกำถ้วยชาแน่น ส่วนอีกข้างกำกล่องไม้บนตักเอาไว้แน่นหากซ่งไป๋ลู่รู้ว่าระหว่างเขากับนางไม่มีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด สายตาที่ห่วงใยนี้จะเปลี่ยนไปหรือไม่ซ่งต้าลู่ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย แต่ที่เขากลัวก็คือ สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความไว้วางใจ และห่วงใยคู่นี้จะเปลี่ยนไป เพียงแต่ให้หวาดกลัวเพียงใดเรื่องนี้ก็ไม่อาจปิดบังได้อีก ดังนั้นมือหนาจึงวางกล่องไม้ที่เขาเก็บเอาไว้เกือบสิบหกปีลงตรงหน้าซ่งไป๋ลู่“พี่ใหญ่นี่คือ...”“ของที่มารดาเจ้ามอบไว้ให้”มารดาของนาง ไม่ใช่มารดาของเขาหรือ

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 32.3 สตรีของข้า

    “เช่นนั้นคงต้องรบกวนองค์ชายห้า แสดงของในมือแล้ว”“เมิ่งเฟยอวี่!”“กระหม่อมอยู่นี่ รอดูของในมือพระองค์ด้วยความตั้งใจ”“บังอาจ! เหวินเสียนไปชิงสตรีของข้าคืนมา”สิ้นคำสั่งของหลงเจิ้นซี องครักษ์ลับร่วมห้าสิบชีวิตก็ปรากฏเบื้องหน้า ทว่าแม้จะตกเป็นรองแต่เมิ่งเฟยอวี่ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่สงบนิ่ง ดวงตาคมดุจดจ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะโต้กลับด้วยเสียงเยือกเย็น“มีใครกล้าก็เข้ามา”มือหนาดึงซ่งไป๋ลู่ไปไว้เบื้องหลัง ขยับเท้าอยู่ในท่าพร้อมปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง ข้างกายมีคนติดตามอีกร่วมสิบชีวิตกระชับกระบี่ในมือด้วยท่าพร้อมสู้เช่นเดียวกัน“ปกป้องแม่นางซ่ง!”เสียงปริศนาดังขึ้น พริบตาชายในชุดสีน้ำตาลก็ทะยานตัวมาเป็นเกราะคุ้มกันที่ด้านหน้าเมิ่งเฟยอวี่อีกชั้น หลงเจิ้นซีตวัดสายตามองไปยังต้นเสียงก็เห็นร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมเนื้อดีตามแบบวัฒนธรรมชาวเจียงเป่ย“องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอัน!”คำเรียกขานที่แจ้งสถานะของผู้สอดมือทำให้องค์ชายห้าหลงเจิ้นซีขบกรามแน่น“นี่เป็นเรื่องภายในของต้าหยาง องค์ชายรองฟู่ฉ่าคังอันทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง”“แม่นางซ่งเป็นน้อง... เป็นผู้มีพระคุณของข้า ดังนั้นไม่ว่าใคร

  • สามีอยากก้าวหน้าต้องช่วยข้าทำสวน   บทที่ 32.2 สตรีของข้า

    เสวียนรั่วซีกำกระบี่ในมือแน่น นางอยู่บ้านซ่งมาหลายปีเสี่ยวโกวแม้เป็นเพียงสุนัขแต่ก็ผูกพันราวญาติคนหนึ่ง หากแต่แม้แค้นเคืองจนตัวสั่นทว่าเสวียนรั่วซีก็ไม่คิดทำให้ซ่งไป๋ลู่เดือดร้อนเพราะความวู่วามของตน“สักวันข้าจะต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เสี่ยวโกว”“รั่วซีระวังหน่อย”ซ่งไป๋ลู่เอ่ยเตือนออกมาเสียงเบา แม้คำพูดของเสวียนรั่วซีจะดังเพียงแค่ให้ได้ยินเข้ามาในเกี้ยว แต่คนของหลงเจิ้นซีล้วนมากฝีมือ ดังนั้นจึงควรระวังให้มาก เพียงแต่แม้จะเอ่ยเตือนเสวียนรั่วซีไปเช่นนั้น ทว่าในความเป็นจริงตัวนางเองก็ยากจะควบคุมโทสะในใจ มือกำเข้าหากันแน่น จนปลายเล็บกดลงไปในอุ้งมือเป็นรอยแผล สองตาแดงก่ำใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตาตำหนักเจิ้นซีอยู่ทางตะวันออกของเมืองหลวง ในขณะที่จวนซ่งอยู่ทางตะวันตกดังนั้นขบวนเจ้าสาวนี้จึงเดินทางผ่านผู้คนมากมายกว่าครึ่งเมือง เพียงไม่นานเรื่องที่ซ่งไป๋ลู่ทิ้งกู้เหยียน ขึ้นเกี้ยวใหม่แต่งเข้าเป็นพระชายาองค์ชายห้าก็ดังไปทั่ว“หยุดเกี้ยว!”เสียงแม่สื่อด้านหน้าขบวนร้องบอก ก่อนที่เกี้ยวเจ้าสาวจะหยุดลง ซ่งไป๋ลู่ใจสั่นระรัว แม้จะบอกว่านางเตรียมตัวรับมือกับเรื่องนี้แล้ว แต่ส่วนลึกก็ยังคงคาดหวังว่าสวรรค์จ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status