รับสั่งของชินอ๋องผ่านไปไม่นาน นอกจากเก้าอี้ของจำเลยที่ถูกมัดมือและมีทหารยืนคุมแล้ว ตรงกลางลานก็ปรากฏเป็นพ่อลูกร้านเกี๊ยวเพิ่มมา
เฟยเมี่ยวมองพ่อค้าร้านเกี๊ยวแล้วเขาดูนิ่งเฉยติดจะมีอารมณ์กรุ่นโกรธเล็ก ๆ ไม่ได้ดูร้อนรนอย่างคนทำความผิดเท่าไหร่ ผิดก็แต่ลูกสาวที่ถูกนายตู้ไปชื่นชอบนั่นล่ะ ที่มีสีหน้าลุกลี้ลุกลนแปลก ๆ อีกทั้งการแต่งตัวของสตรีนางนี้ก็ดูฟุ้งเฟ้อเกินจะเป็นเพียงลูกสาวร้านขายเกี๊ยวเสียด้วย ทั้งปิ่นทอง กำไล และชุดตัวใหม่ ทุกอย่างถูกประโคมเข้ามาอย่างคนไม่เคยมี พอได้มีก็กำลังเห่อของใหม่อย่างไรอย่างนั้น สมัยที่เฟยเมี่ยวเป็นสายลับในชาติก่อนนั้น ตอนที่ยังไม่มีภารกิจให้ออกไปปฏิบัติการเป็นสายลับที่ประเทศอื่น นางเคยไปช่วยทำงานในศาลช่วยสืบคดีกับนักสืบเก่ง ๆ มาบ้าง นางเคยได้รับบทเรียนมาว่า การจะหาคนร้ายในคดีที่ยากไขนั้น สิ่งหนึ่งที่ต้องมีคือทักษะการสังเกตและจินตนาการ คนสืบคดีต้องเอะใจในสิ่งที่แปลกและใส่จินตนาการเข้าไปเพื่อตั้งสมมติฐานขึ้นมา ลองพิสูจน์ดูว่าจริงหรือไม่ หากใช่ก็จบ หากสมมติฐานนี้ไม่ใช่ก็แค่เปลี่ยนใหม่ไปจินตนาการอีกอย่างก็เท่านั้น จากที่นางสังเกตและฟังเรื่องราวการสืบคดีของเหล่ามือปราบมานั้น นางคิดสมมติฐานออกอยู่อย่างหนึ่ง ตอนนี้เหลือแค่ว่านางต้องหาทางพิสูจน์ว่าเป็นจริงไหมแล้ว “องค์รัชทายาทเคยไปร้านชุดและเครื่องประดับที่นายตู้ไปหรือไม่เพคะ” เฟยเมี่ยวเอ่ยคุยกับหวงลู่ด้วยเสียงไม่ดังมากและไม่เบาขนาดเสียงกระซิบ “ไม่หรอก ร้านนั้นเป็นร้านขนาดกลางน่ะ แต่สินค้าข้างในก็ดีในระดับที่เหล่าขุนนางขั้นสามลงไปไปจับจ่ายใช้สอยได้เดือนละชิ้นสองชิ้น” “คงคล้ายกับที่แม่นางน้อยร้านเกี๊ยวสวมอยู่ใช่ไหมเพคะ ?” คำถามของเฟยเมี่ยวไม่ใช่เพราะต้องการคำตอบหรอก นางเพียงเอ่ยถามให้คนได้ยินเอะใจบางอย่างเท่านั้น เหล่าเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงบังเอิญได้ยินก็คิดตามบ้าง แต่เป็นชินอ๋องที่ออกตัวก่อนผู้ใด “ไปนำตัวหลงจู๊ร้านขายเครื่องประดับและชุดมาเดี๋ยวนี้ !” เฟยเมี่ยวอยากปรบมือดังดังให้ชินอ๋องผู้นี้แล้ว เขาหลักแหลมมากอีกทั้งทำสิ่งใดก็รวดเร็วเด็ดขาดยิ่ง ไม่นานบุรุษสามคนก็ถูกพาตัวเข้ามา “นั่นใช่สินค้าร้านพวกเจ้าหรือไม่ ?!” จำลูกค้าไม่ได้ แต่ย่อมจำสินค้าของร้านตนได้แน่อยู่แล้ว ชินอ๋องช่างร้ายกาจจริงเชียว เฟยเมี่ยวได้พิสูจน์สิ่งที่ตนคิดเปาะแรกแล้วว่าเป็นจริง เพราะเหล่าหลงจู๊ล้วนพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างมั่นใจว่าเครื่องประดับและชุดบนร่างของลูกสาวร้านเกี๊ยวมาจากร้านพวกเขาจริง คราวนี้ด้วยเพราะองค์รัชทายาทกำลังตื่นเต้นที่เหมือนว่าคดีกำลังดำเนินไปใกล้ความจริงเขาจึงเป็นฝ่ายออกปากถามเองบ้างแล้ว “แม่นางซื้อมาจากร้านเอง ? หรือว่ามีผู้ใดซื้อมาให้เจ้ากันแน่” จะปฏิเสธก็กลัวถูกทำโทษ แต่หากพูดไปตามตรง ลูกสาวร้านเกี๊ยวก็กลัวถูกหาว่าเป็นคนฆ่านายตู้ ท่าทางจึงเต็มไปด้วยความร้อนรน ร่างกายสั่นเทา พูดแล้วแทบจับใจความไม่ได้แต่พอสรุปได้ว่า เป็นนายตู้ที่แอบพ่อ นัดนางแล้วมอบของสิ่งนี้ให้เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนนี้ ทว่านางยังบอกอีกว่าไม่ได้เจอนายตู้มาหลายวันแล้ว คำให้การนี้ค่อนข้างโยงมาที่บิดาร้านเกี๊ยวที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยทันที แต่เฟยเมี่ยวคิดว่าไม่น่าจะใช่เขาเท่าไรนักหรอก เพราะเหตุจูงใจดูอ่อนเกินไป แค่เพียงเพราะมาเกี้ยวพาลูกสาวถึงกับต้องฆ่ากันเลยหรือ นั่นหมายความว่าบิดาร้านเกี๊ยวกำจัดคนมายุ่งกับลูกสาวได้แต่ต้องเสียอนาคตเลยนะ นอกเสียจากว่ามีเหตุจูงใจเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ เฟยเมี่ยวตัดสินใจหันกลับมาสนใจที่นายซางอีกครา เพราะยังไม่สามารถอธิบายได้เลยว่าหากเขาไม่ใช่คนฆ่าแล้วเหตุใดคำพูดของเขา ไยมีหลายจุดที่คลาดเคลื่อนจากความจริง ...ทำไมเขาถึงบอกว่านายตู้ยังนอนอยู่กับเขา ในช่วงเวลาที่หมอชันสูตรบอกว่านายตู้ตายแล้ว ไม่น่าใช่หมอคิดพลาด แต่มันต้องมีบางอย่างที่ไม่ถูกน่ะนะ แต่มันคือสิ่งใดกัน “นายซาง ไยตอนลุกขึ้นมาถ่ายเบาเจ้าถึงไม่เดินกลับบ้านไปเลยเล่า ?” เฟยเมี่ยวกลับมาสนใจที่จำเลยอีกครา ทำให้ดึงคนกลับมาจ้องนายซางอีกรอบทั้งที่เขาก็เหมือนกำลังหลุดพ้นแล้วจึงมีสีหน้าไม่พอใจยามมองคนถามอย่างสตรีวัยอ่อนที่มิรู้ว่าคือใคร “ตอบ !” ต้องขอบพระทัยชินอ๋องที่ทำให้สายตาสงสัยปนกร่นไล่ปัดไปจากตัวนาง เมื่อครู่นางตั้งใจวิเคราะห์มากเกินไปจึงหลุดปากถามสิ่งที่ตนสงสัยออกมาทันที นางลืมคิดไปว่าที่นี่คือยุคโบราณที่สตรีนั้นไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ “ข้าน้อยตื่นมาหลังจากนอนไปไม่น่าถึงชั่วยามด้วยซ้ำ ยังไม่สร่างเมาเสียหน่อย กลับบ้านอันใดไหวกัน” ฟังคำของนายซางแล้ว เฟยเมี่ยวก็พอเข้าใจเรื่องใดบางอย่างแล้วล่ะ “เรียนท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเรื่องเล่าหนึ่งที่คิดขึ้นมาได้ รบกวนพระองค์ทรงสละเวลาฟังหม่อมฉันหน่อยได้ไหมเพคะ” เฟยเมี่ยวคำนับขอความกรุณาและตั้งใจเอ่ยขอร้องบุคคลที่นางอยากเลี่ยงจะคุยด้วยเป็นคราแรก เพราะสิ่งที่นางคิดได้เมื่อสักครู่นั้น หากไม่ได้อำนาจของเขาปิดปากทุกคนในที่นี้ให้เงียบไว้ก่อนนางพูดจบ ย่อมถูกขัดตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว สายตาดำลึกล้ำดั่งสายน้ำไหลปรวนแปรมองสบมาอย่างอ้อนวอน มันทำให้เต๋อรุ่ยมีความสนใจอยากรู้แล้วสิว่าเรื่องเล่าอันใดทำให้นางเอ่ยปากขอร้องเขาได้ จากที่ก่อนหน้าเจอกันก็ทำเพียงคำนับและรีบจากไปเสียทุกที “ข้ารอฟังเจ้า พูดมาเถิด...” “ขอบพระทัยท่านอ๋องเพคะ” เฟยเมี่ยวคำนับเสร็จก็กลับมายืนตัวตรงพร้อมเอ่ยต่อไปทันที “นายซางมิได้นอนอยู่กับนายตู้ตลอดคืนหรอก หลังจากที่ทั้งสองเมามายแล้ว นายตู้ได้ออกไปข้างนอกยังที่เกิดเหตุและถูกฆ่าตายในที่สุดตามเวลาที่หมอชันสูตรบอก แต่ที่นายซางบอกว่าเห็นนายตู้หลับอยู่ที่เดิม น่าจะมองพลาดไปด้วยอาการเมาในตอนนั้นมากกว่า ข้าขอถามท่านผู้ช่วยเจ้าค่ะ ว่าที่ห้องนอนที่ทั้งสองนอนด้วยกันมีหมอนหรือสิ่งอื่นใดที่สามารถนำมาวางต่อกันแล้วเอาผ้าคลุมหน่อยก็คล้ายคนนอนอยู่ได้ไหมเจ้าคะ” ผู้ช่วยเลี่ยงนิ่งไปช่วยครู่ก็พยักหน้าตอบมา “มีอยู่จริง ตอนไปถึงเหมือนว่าหมอนเหล่านั้นจะถูกคนตั้งใจวางแล้วเอาผ้าห่มคลุมไว้ด้วย เช่นนั้นจึงถูกเจ้าหน้าที่บันทึกไว้นั่นแหละ” ประหลาดนะ นางคิดไว้ว่าแค่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่ฟังไปฟังมากลับเหมือนมีคนตั้งใจให้นายซางมองพลาดอย่างไรอย่างนั้น “แล้วผ้าคลุมหรือไม่ก็สีของหมอนคล้ายกับชุดของนายตู้ที่สวมใส่ตอนถูกฆ่าด้วยใช่ไหมเจ้าคะ” “อ่า คล้ายจริง” เฟยเมี่ยวพยักหน้าเป็นการขอบคุณในความร่วมมือก่อนหันมาเอ่ยกับนายซางตรง ๆ “ที่จริงแล้วนายตู้ที่เห็นเป็นเพียงหมอนถูกผ้าคลุมเท่านั้น ไม่แปลกที่เจ้าจะเห็นว่าเป็นคน เพราะตอนนั้นทั้งเมาและก็มืดมาก ทีนี้ข้ามีคำถามถามเจ้าเสียหน่อย” สีหน้าที่เคยมองอย่างดูแคลนของนายซางดีขึ้นจนเห็นได้ชัด คราวนี้เขามีท่าทีพร้อมตอบคำถามของเฟยเมี่ยวอย่างเต็มใจเลยล่ะ “ตอนดื่มสุรานายตู้เอ่ยอันใดกับเจ้าบ้าง พูดมาให้หมด”บทส่งท้าย“ถวายพระพรชินอ๋องพะยะค่ะ”คนตระกูลซุนที่ออกมาต้อนรับยังไม่ทันลงไปทำความเคารพที่พื้นก็ต้องชะงักลงก่อนเพราะคำพูดแปลกประหลาดผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่นั่นเอง“ไม่ต้องเคารพถึงเพียงนั้นหรอกท่านว่าที่พ่อตา...”เฟยเมี่ยวอึ้งเช่นเดียวกันกับคนอื่น เพราะเขาไม่เห็นบอกนางล่วงหน้าให้ทำใจก่อนเล่า ใครจะคิดว่าอยู่ที่ดีก็ยกขบวนหมั้นหมายมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า“ท่านอ๋องหมายความอันใดหรือ ? กระหม่อมไม่เข้าใจ”ขนาดไม่เข้าใจของบิดานางนะเนี่ย น้ำเสียงยังแข็งกร้าวขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกมากเลยดูท่าการเป็นอริอย่างเช่นข่าวลือบิดาของนางจะอินเกินจนเข้ากระแสเลือดไปแล้วกระมัง“ก็วันนี้ข้ามาสู่ขอเมี่ยวเมี่ยวไปเป็นพระชายาเอกอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็คงจะได้เรียกพ่อตาแล้วในอนาคต”เฟยเมี่ยวเห็นประกายไฟระหว่างสองสายตาที่จ้องกันอยู่ตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชาและชินอ๋องขึ้นมาลาง ๆ แล้ว ดีที่มารดาของนางรีบเข้ามายืนขวางหน้าซุนเหวินเชาเสียก่อน“ท่านอ๋องมาแล้วก็เชิญข้างในจวนก่อนเถอะเพคะ เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว...”“ไม่ให้แต่ง อย่างไรก็ไม่ให้แต่ง !!!”“ใช่ขอรับ ลูกไม่ให้แต่งเช่นกัน!!”สองพ่อลูกตระกูลซุนตะโกนแทบจะพร้อมกันต่อ
24ตัดขาดภายในห้องรับรองตระกูลซุนสายรอง มีเจ้าของจวนนั่งเรียงหน้าเครียด โดยเฉพาะซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่ายที่หน้านิ่งแผ่รังสีความไม่พอใจ จนทำให้เหล่าแขกของจวนที่นั่งรวมกันอยู่ฝั่งที่นั่งแขกพากันนั่งเกร็งจนเฟยเมี่ยวที่มองอยู่แทบกลั้นขำไม่ไหวเหล่าแขกที่ว่าคือ พวกตระกูลซุนสายหลักนั่นเอง มีท่านลุงซุนโหว ท่านป้าสะใภ้ซูเม่ย และท่านย่า พวกเขามาคราวนี้เพื่อมาขอขมา ให้สายรองให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น“อาเหวิน เจ้าก็ให้อภัยพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะ อย่างไรก็คนตระกูลซุนเช่นเดียวกัน”ท่านย่าเอ่ยเสียงอ่อน รอยยิ้มเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นี้จืดเจื่อนยิ่งนัก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทั้งที่น้ำเสียงติดสั่นระริกจากรังสีกดดันของแม่ทัพไร้พ่าย“ท่านแม่มิคิดหรือเจ้าคะ หากอาเมี่ยวรักษาไม่ทันจะเป็นเช่นไร ท่านพี่สะใภ้นั้นอาจถูกหลอกใช้ก็จริง แต่ว่าอย่างไรเสียเมื่อไม่รู้แหล่งที่มาดีดีไยต้องเสี่ยงให้บุตรสาวของข้ากินด้วย หรือว่าเพราะไม่ใช่บุตรสาวของตนจึงจะให้กินอันใดก็ได้”“ไม่เลย ๆ น้องสะใภ้อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น ทว่าอย่างไรบุตรสาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดนี่ เจ้าสบายดีใช่ไหมอาเ
23ไปหาหลักฐานเมื่อเป็นเรื่องความเป็นไประดับแคว้น พอเฟยเมี่ยวไปปรึกษากับชินอ๋องนางก็เพิ่งได้รู้ว่าเขากำลังติดตามเรื่องมีคนลักลอบจำหน่ายฝิ่นอยู่เช่นเดียวกัน พอเฟยเมี่ยวเอาสิ่งที่นางสืบมาโดยตลอดผนวกเข้ากับความจริงจากปากมารดามันทำให้เฟยเมี่ยวสงสัยไปที่ตระกูลซุนสายหลักโดยเฉพาะท่านป้าซูเม่ยทันที พอเอ่ยขอให้ชินอ๋องไปติดตามและสืบเชิงลึกที่ตระกูลหลิงก็พบเบาะแสบางอย่างที่พุ่งไปว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าฝิ่นจริง โดยประมุขตระกูลหลิงที่เป็นถึงหัวหน้ากรมตุลาการหากลักลอบขายฝิ่นย่อมสะเทือนต่อแคว้นมากแน่ตอนนี้ขอเพียงหาหลักฐานมาก็สามารถจับกุมตัวการหลักแล้ว สิ่งที่ชินอ๋องกำลังทำอยู่ตอนนี้คือติดตามคนของตระกูลหลิงที่มีการเดินทางไปมาที่ชายแดนกับเมืองต่าง ๆ โดยแน่นอนว่าเฟยเมี่ยวขอติดตามมาด้วยซึ่งตอนแรกบิดานางจะไม่ให้ไปแต่เพราะชินอ๋องเอ่ยปากและบอกว่าให้พี่ใหญ่ตามมาด้วยได้ เฟยเมี่ยวจึงมีโอกาสได้ติดตามไปชายแดนเยี่ยงตอนนี้“อาเมี่ยวไหวหรือไม่อีกไม่ไกลก็ได้เข้าเมืองแล้ว”พี่ใหญ่เอ่ยถามนางมาตลอดทางทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาเป็นห่วงนางเกินไปจนเฟยเมี่ยวเหนื่อยจะตอบแล้ว คงเพราะการเดินทางครานี้รีบเร่งจนมิอ
22ไหน้ำส้มใครแตกกันนะวันนี้เฟยเมี่ยวออกจากจวนไปร่วมงานชมดอกไม่ที่ตระกูลไป๋จัดขึ้น นางมาถึงก็มีเหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาบ้างแล้ว พอเลี่ยงเหลียงซูเห็นเฟยเมี่ยวเข้างานมาก็รีบมาเดินด้วยกันทันที ทำให้เฟยเมี่ยวไม่เดินเหงาคนเดียวอีกต่อไปรอเวลาผ่านไปจนเริ่มงานชมดอกไม้แล้ว บ่าวตระกูลไป๋จึงมาเชิญเหล่าคุณหนูไปยังลานนั่งล้อมโต๊ะที่มีชาดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นวางตรงหน้า เป็นการให้ลิ้มรสชาก่อนที่จะไปยังสวนเพื่อชมดอกไม้นั่นล่ะ“ชาดีทีเดียว หนิงอันยังมีรสนิยมดีเยี่ยงเดิมนะ”ท่านหญิงเจียวจินเอ่ยชมเป็นคนแรก แล้วคุณหนูคนอื่น ๆ ก็เอ่ยชมตามมาอีกไม่ขาดส่วนเฟยเมี่ยวนั้นมิได้มางานชมดอกไม้เพียงหาสหาย แต่นางต้องการมารับข่าวสารจากวงสตรีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยว่าตระกูลซุนสายหลักกำลังสู่ขอท่านหญิงตรงหน้านี้อยู่“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านหญิงถูกใจข้าน้อยก็เบาใจลงมากเลยเจ้าค่ะ”หนิงอันยิ้มหวานน้อมรับคำชม บทสนทนาของเหล่าสตรีลื่นไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นก็มีคุยบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้เงียบและแปลกพวกเกินไป แต่ไม่มีใครเอ่ยเข้าประเด็นที่เฟยเมี่ยวอยากรู้เลย“ว่าแต่ท่านหญิงเจียวจินผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว ค
21ลอบเข้าตำหนักเฮยลู่จากการที่มีข่าวลือในวันต่อมาว่ามีกลุ่มโจรซุ่มทำร้ายซุนฮูหยินที่ขอบเมืองหลวง สิ่งที่ชาวเมืองเดาไปต่าง ๆ นานา ก็คือกลุ่มโจรนั้นอาจเป็นคนของชินอ๋องก็ได้ เหตุเพราะการที่สองฝ่ายไม่ลงรอยกันนั่นเองเฟยเมี่ยวที่คุ้นชินกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จนี้มองออกทันที นางอยากไขข้อสงสัยมากจนตัดสินใจว่าจะไปสอบถามความจริงจากตัวการใหญ่ ทำให้ดึกคืนนั้นเองเฟยเมี่ยวในชุดดำล้วนอาศัยทางลับที่ตนสร้างไว้สมัยอยู่ในวังเข้ามาได้ในที่สุด นางพุ่งตรงไปยังตำหนักเฮยลู่ อันเป็นตำหนักที่มีเวรยามรัดกุมที่สุดจนนางไม่สามารถมีคนของตนในตำหนักแห่งนี้ได้เลยที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เฟยเมี่ยวแอบเข้ามาจนจะถึงตำหนักหลักส่วนในแล้ว นางยังไม่เจอทหารเฝ้ายามเลยสักคน เฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงกลไกการเฝ้ายามซับซ้อนอยู่นางจึงรีบหมุนตัวรีบกลับกลังทางเดิมเสียก่อนที่จะถูกจับได้ทันที“เมี่ยวเมี่ยวจะหนีอีกแล้ว เข้ามาไม่ใช่เพราะคิดถึงข้าหรือ ยังไม่ทันเจอก็จะกลับเสียแล้ว...”นั่นอย่างไร ที่แท้ชินอ๋องผู้นี้ก็คิดว่านางต้องมาหาเขาอยู่แล้ว ทหารเฝ้ายามจึงหายไปหมดเช่นนี้เมื่อเจอตัวการที่นางต้องการเจอแล้ว อันใดคือต้องหนีกันเล่า !“ทห
20อยากแสร้งเป็นลมล้มสลบให้ไม่ต้องพบหน้าใครอีกงืม ๆ“เช้าแล้วหรือ?...”“ใช่ เช้าแล้ว เมี่ยวเมี่ยวตื่นแล้ว ขี้เซายิ่งนัก”หืม นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนเดียวหรือไร ไยรู้สึกเหมือนเสียงพูดเมื่อครู่เกิดขึ้นที่ข้างหูนางนี้เองกันนะ ลมที่พัดผ่านใบหูมันชวนให้จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนีทั้งที่ยังหลับตา ไหนจะสัมผัสบางอย่างที่คลอเคลียแก้มจนทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นดูแล้วค่อยหลับอีกคราก็แล้วกัน“ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้อย่างไร ! โอ๊ะ”ไม่สิ ตอนนี้นางนอนอยู่ในป่านี่นา นางลืมไปเสียได้ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากจนหลับไม่รู้เรื่องแน่เลย“แล้วไยถึงถูกท่านกอดได้ !! ปล่อยนะ”ได้สติแล้วเฟยเมี่ยวก็สังเกตว่าตนเองถูกเต๋อรุ่ยกอดอยู่ แก้มของนางแนบคางของเขาจนรู้สึกประหลาดไปหมด แต่แรงกอดรัดของคนที่บาดเจ็บนั้นเฟยเมี่ยวสู้ไม่ไหวจริง นี่ขนาดเขาบาดเจ็บนะแรงยังมากเพียงนี้เลย ไม่อยากจะคิดยามปรกติจะแรงเยอะเพียงใด แต่ที่แน่นอนคือแรงสตรีตัวเล็กอย่างนางสู้เขาไม่ได้แน่นอน“เมี่ยว ๆ กอดข้าเองนะ อีกทั้งยังกอดไม่ปล่อยอีกด้วย ข้าเลยต้องนอนรออยู่เยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ”“แต่เมื่อคืนหม่อมฉันไม่ได้นอนท่านี้ หม่อมฉันเพียงให้ความอบอุ่นแก่พระองค์ผ่า