ศาลยุคโบราณนี้ไม่ต่างจากยุคปีค.ศ.สองพันมากนัก มีตำแหน่งนั่งของคนเข้าดูบรรจุได้หลายสิบคน ตรงกลางเว้นไว้เป็นลานโล่งมีที่นั่งของจำเลย และทุกตำแหน่งนั่งหันไปทางตำแหน่งผู้พิพากษาและเหล่าเจ้าหน้าที่ตัดสินต่าง ๆ ซึ่งจัดไว้ในที่ปิดอย่างเหมาะสม
เมื่อกลุ่มของชินอ๋อง องค์รัชทายาทและเฟยเมี่ยวมาถึงก็มีคนอยู่เต็มศาลว่าคดีแล้ว พวกนางมาถึงก็ไปอยู่ตรงตำแหน่งหลังที่นั่งของชินอ๋องอันนั่งแทนตำแหน่งของเสนาบดีหลิงทันที
“เริ่มเลย”
สิ้นคำของเต๋อรุ่ย บุรุษเคราย้อยผู้หนึ่ง ก็เดินออกมาข้างหน้าพร้อมหนังสือในมือเตรียมเปิดอ่านรายละเอียดคดีให้ทุกคนในศาลว่าคดีรู้กันถ้วนทั่ว
เขาคือบิดาของเหลียงซู สหายใหม่ที่โดนไล่ออกจากการเป็นพระสหายของเหล่าองค์หญิงองค์ชายไปแล้วนั่นเอง เขามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมตุลาการ หรือที่คนเรียกกันว่า ผู้ช่วยเลี่ยง
“คดีนี้มีผู้ตายคือ นายตู้ อายุสี่สิบห้าปี อาชีพเก็บของป่าไปขาย ไม่มีภรรยา บิดามารดาตายหมดแล้ว เขาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าคนเดียว ในวันเกิดเหตุนั้นมีนายซางที่เป็นสหายมาร่วมดื่มสุราด้วยที่บ้าน เช้าวันต่อมามีชาวบ้านแถบนั้นพบศพนายตู้นอนสิ้นใจอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในที่ลับตาคน ไม่ไกลมีมีดที่น่าจะเป็นอาวุธในการฆ่าผู้ตายตกอยู่ ส่วนนายซางที่อยู่กับผู้ตายคนสุดท้ายพักอยู่ในบ้านของผู้ตายเอง นายซางให้การว่า เขาเมามากกลับไม่ไหว นายตู้จึงให้พักอยู่บ้านด้วยกันในคืนนั้นเอง ส่วนนายตู้ตายได้อย่างไรไม่ใช่ฝีมือเขา เขารู้เรื่องนี้พร้อมทุกคนเช่นกัน”
จำเลยตรงกลางที่นั่งหน้าหมดอาลัยตายอยากคือนายซางนั่นเอง เฟยเมี่ยวสังเกตท่าทางโดนรวมของจำเลยดูแล้วก็ไม่น่าจะฆ่าใครได้ ทว่าเพียงภาพลักษณ์ภายนอกนั้นมิสามารถตัดสินจิตใจคนเราได้หรอก ต้องอาศัยหลายอย่างประกอบกัน
จากรายละเอียดคดีที่ผู้ช่วยเลี่ยงเอ่ยมานั้นมองเผิน ๆ อาจดูไม่น่ามีอันใด เพราะทุกอย่างก็ดูว่าน่าจะชี้ชัดว่าคนฆ่าน่าจะเป็นนายซางที่อยู่กับผู้ตายคนสุดท้าย แต่หากเป็นเช่นนั้นกรมตุลาการและมือปราบย่อมมิรบกวนให้ชินอ๋องมาช่วยตัดสินคดีหรอก
ในความไม่มีอันใดนี่ล่ะ มันเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลมากมาย จนพวกเจ้าหน้าที่ศาลไม่สามารถสรุปคดีได้
“จำเลยลองเล่าเหตุการณ์วันก่อนหน้าอีกรอบ...”
เสนาบดีหลิงมองชินอ๋องอย่างฉงนทันที หากเป็นปรกติแล้วชินอ๋องจะถามรวดลัด มิมาถามในเรื่องคำให้การเหล่านี้แน่นอน เพราะล้วนมีให้ชินอ๋องอ่านหมดแล้วในหนังสือที่วางตรงหน้า ไฉนคำถามเมื่อครู่ออกจากปากชินอ๋องได้กัน !
“เสด็จอาคงกลัวข้าไม่รู้กระมัง ต้องไปอวยเสด็จอาให้เสด็จพ่อฟังเสียแล้ว ว่าพามาข้าเรียนรู้ไม่พอ ยังใส่พระทัยมากอีกด้วย ”
เฟยเมี่ยวพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหวงลู่ที่หันมาพูดกับนาง เพราะดูเหมือนว่าชินอ๋องคงอยากให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่กรมตุลาการรู้ถึงกระบวนการด้วยนั่นล่ะ
เฟยเมี่ยวชอบมาก นางอยากรู้รายละเอียดที่เขียนในหนังสือตรงหน้าเขามากแต่จะขอเอามาอ่านดูก็คงไม่ได้ ดีที่สามารถได้ยินจากปากของจำเลยเลยนางจะได้วิเคราะห์ความเป็นไปได้ถูกยิ่งขึ้น
“วันนั้นข้าไปดื่มสุราที่บ้านพี่ตู้เพราะเขาชวนข้า อีกทั้งยังบอกข้าอีกว่าจะเลี้ยงสุราทั้งหมด ข้าก็ไปตั้งแต่เย็นวันนั้น ดื่มกันจนดึกดื่น ดวงจันทร์เลยกลางฟ้าไปแล้วข้าเมาหนักมากจนยืนแทบไม่ไหว พี่ตู้จึงบอกข้าว่าให้นอนด้วยกันเสียเลยคืนนี้ ด้วยความที่ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่ไหวจริง ๆ จึงตอบตกลง เราทั้งสองนอนในห้องเดียวกัน ข้าหลับไปเดี๋ยวเดียวตื่นมาลุกไปฉี่ก็เห็นพี่ตู้นอนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน ช่วงสาย ๆ ข้าพอสร่างเมาบ้างก็พบว่าถูกปลุกโดยมือปราบที่มาล้อมจับข้าเสียแล้ว”
“จากคำให้การของจำเลยขัดกับที่เราตรวจสอบได้ขอรับ หมอบอกว่าผู้ตายน่าจะตายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เพราะศพเริ่มแข็งตัวหมด น้ำค้างก็เกาะจนเสื้อผ้าเปียกชุ่ม แต่นายซางบอกไว้ว่าเขายังเห็นนายตู้นอนอยู่ที่เดิมตอนกลางดึก”
“ข้าสาบานได้ว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ฆ่าพี่ตู้จริง ๆ ขอรับ ท่านอ๋องต้องช่วยข้าน้อยนะขอรับ”
เสียงพูดคุยของคนที่มาเข้าดูดังขึ้นกว่าเดิมแต่ก็ไม่ดังขนาดไปรบกวนเจ้าหน้าที่ระหว่างคุยเรื่องคดี
นายซางอาศัยเพียงคำพูด ไม่มีหลักฐานคนเห็นย่อมไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานว่าตนไม่ได้ฆ่ามิได้อยู่แล้ว
สำหรับเหล่ามือปราบหรือคนที่อยู่ในวงการนี้ย่อมรู้ว่าหากคนจะตั้งใจฆ่าใครนั้นย่อมไม่ทำให้หลักฐานทุกอย่างพุ่งเป้าไปที่ตนเองเพียงนี้หรอก อีกทั้งจากการสืบของเหล่ามือปราบก็พบว่าจำเลยไม่มีเหตุจูงใจให้ฆ่าผู้ตายเลย
“ผู้ตายมีปัญหาอันใดบ้างหรือไม่ ในช่วงนี้”
ชินอ๋องผู้มีหน้าที่สืบความดำเนินเรื่องต่อ ซึ่งคราวนี้เป็นผู้ช่วยเลี่ยงที่มีหน้าที่สาธยายสิ่งที่เหล่ามือปราบไปสืบมาแล้วก่อนหน้าให้ทุกคนในที่นี้ฟัง
“ผู้ตายเป็นคนตั้งใจทำมาหากินมาโดยตลอดไม่ค่อยมีปัญหากับใคร ด้วยความที่เขาไม่มีภาระใด ต้องหาเลี้ยงเพียงตนเองจึงพอมีพอใช้มาตลอด จากคำให้การของชาวบ้านแถวนั้น นายตู้มักไปทำงานแล้วก็กลับมาบ้าน จะมีก็แต่ช่วงหลายเดือนมานี้ที่มีไปร้านขายชุดบ้าง ร้านขายเครื่องประดับบ้าง มีไปที่ตลาดฝั่งตะวันออกบ้าง เท่านั้น ไม่เคยมีใครเห็นเขาทะเลาะกับใครเลย”
อา ข้อมูลสำคัญนอกเหนือจากผลการชันสูตรก็คือคำพูดของคนรอบข้างนี่ล่ะ แต่ฟังแล้วดูไม่น่าช่วยหาคนฆ่าได้เลย นอกจากพฤติกรรมที่แปลกไปของนายตู้ช่วงที่ผ่านมานี้ ซึ่งเฟยเมี่ยวก็คิดว่าทางมือปราบย่อมสืบหาต่อแล้วเช่นกัน
“เราไปตรวจสอบแล้ว ร้านค้านั้นมีลูกค้าเข้ามากมายจำไม่ได้ว่านายตู้เคยซื้อสิ่งใดไปบ้าง ส่วนที่นายตู้ไปที่ตลาดฝั่งตะวันออกเพราะเขานั้นชอบพอกับลูกสาวร้านขายเกี๊ยวคนหนึ่งอยู่ เหมือนว่าจะเทียวไปเกี้ยวพาขอรับ แต่พ่อของนางไม่ยกให้เพราะนายตู้ดูจนมาก กลัวพาลูกสาวเขาไปลำบาก แต่นายตู้ก็ไม่ย่อท้อเทียวไปหลายคราไม่ขาดจนมาตายลงนี่ล่ะขอรับ”
“ไปนำตัวทุกคนที่ถูกเอ่ยถึงมาให้หมด”
บทส่งท้าย“ถวายพระพรชินอ๋องพะยะค่ะ”คนตระกูลซุนที่ออกมาต้อนรับยังไม่ทันลงไปทำความเคารพที่พื้นก็ต้องชะงักลงก่อนเพราะคำพูดแปลกประหลาดผู้สูงศักดิ์ที่มาใหม่นั่นเอง“ไม่ต้องเคารพถึงเพียงนั้นหรอกท่านว่าที่พ่อตา...”เฟยเมี่ยวอึ้งเช่นเดียวกันกับคนอื่น เพราะเขาไม่เห็นบอกนางล่วงหน้าให้ทำใจก่อนเล่า ใครจะคิดว่าอยู่ที่ดีก็ยกขบวนหมั้นหมายมาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า“ท่านอ๋องหมายความอันใดหรือ ? กระหม่อมไม่เข้าใจ”ขนาดไม่เข้าใจของบิดานางนะเนี่ย น้ำเสียงยังแข็งกร้าวขึ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกมากเลยดูท่าการเป็นอริอย่างเช่นข่าวลือบิดาของนางจะอินเกินจนเข้ากระแสเลือดไปแล้วกระมัง“ก็วันนี้ข้ามาสู่ขอเมี่ยวเมี่ยวไปเป็นพระชายาเอกอย่างไรเล่า เดี๋ยวก็คงจะได้เรียกพ่อตาแล้วในอนาคต”เฟยเมี่ยวเห็นประกายไฟระหว่างสองสายตาที่จ้องกันอยู่ตอนนี้ของแม่ทัพใหญ่ซุนเหวินเชาและชินอ๋องขึ้นมาลาง ๆ แล้ว ดีที่มารดาของนางรีบเข้ามายืนขวางหน้าซุนเหวินเชาเสียก่อน“ท่านอ๋องมาแล้วก็เชิญข้างในจวนก่อนเถอะเพคะ เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว...”“ไม่ให้แต่ง อย่างไรก็ไม่ให้แต่ง !!!”“ใช่ขอรับ ลูกไม่ให้แต่งเช่นกัน!!”สองพ่อลูกตระกูลซุนตะโกนแทบจะพร้อมกันต่อ
24ตัดขาดภายในห้องรับรองตระกูลซุนสายรอง มีเจ้าของจวนนั่งเรียงหน้าเครียด โดยเฉพาะซุนเหวินเชา แม่ทัพไร้พ่ายที่หน้านิ่งแผ่รังสีความไม่พอใจ จนทำให้เหล่าแขกของจวนที่นั่งรวมกันอยู่ฝั่งที่นั่งแขกพากันนั่งเกร็งจนเฟยเมี่ยวที่มองอยู่แทบกลั้นขำไม่ไหวเหล่าแขกที่ว่าคือ พวกตระกูลซุนสายหลักนั่นเอง มีท่านลุงซุนโหว ท่านป้าสะใภ้ซูเม่ย และท่านย่า พวกเขามาคราวนี้เพื่อมาขอขมา ให้สายรองให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น“อาเหวิน เจ้าก็ให้อภัยพี่ชายเจ้าหน่อยเถอะ อย่างไรก็คนตระกูลซุนเช่นเดียวกัน”ท่านย่าเอ่ยเสียงอ่อน รอยยิ้มเหี่ยวย่นของหญิงชราผู้นี้จืดเจื่อนยิ่งนัก แต่ก็ทำใจดีสู้เสือเอ่ยทั้งที่น้ำเสียงติดสั่นระริกจากรังสีกดดันของแม่ทัพไร้พ่าย“ท่านแม่มิคิดหรือเจ้าคะ หากอาเมี่ยวรักษาไม่ทันจะเป็นเช่นไร ท่านพี่สะใภ้นั้นอาจถูกหลอกใช้ก็จริง แต่ว่าอย่างไรเสียเมื่อไม่รู้แหล่งที่มาดีดีไยต้องเสี่ยงให้บุตรสาวของข้ากินด้วย หรือว่าเพราะไม่ใช่บุตรสาวของตนจึงจะให้กินอันใดก็ได้”“ไม่เลย ๆ น้องสะใภ้อย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายใครทั้งสิ้น เจ้าอย่าได้คิดเช่นนั้น ทว่าอย่างไรบุตรสาวเจ้าก็ไม่เป็นอันใดนี่ เจ้าสบายดีใช่ไหมอาเ
23ไปหาหลักฐานเมื่อเป็นเรื่องความเป็นไประดับแคว้น พอเฟยเมี่ยวไปปรึกษากับชินอ๋องนางก็เพิ่งได้รู้ว่าเขากำลังติดตามเรื่องมีคนลักลอบจำหน่ายฝิ่นอยู่เช่นเดียวกัน พอเฟยเมี่ยวเอาสิ่งที่นางสืบมาโดยตลอดผนวกเข้ากับความจริงจากปากมารดามันทำให้เฟยเมี่ยวสงสัยไปที่ตระกูลซุนสายหลักโดยเฉพาะท่านป้าซูเม่ยทันที พอเอ่ยขอให้ชินอ๋องไปติดตามและสืบเชิงลึกที่ตระกูลหลิงก็พบเบาะแสบางอย่างที่พุ่งไปว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบค้าฝิ่นจริง โดยประมุขตระกูลหลิงที่เป็นถึงหัวหน้ากรมตุลาการหากลักลอบขายฝิ่นย่อมสะเทือนต่อแคว้นมากแน่ตอนนี้ขอเพียงหาหลักฐานมาก็สามารถจับกุมตัวการหลักแล้ว สิ่งที่ชินอ๋องกำลังทำอยู่ตอนนี้คือติดตามคนของตระกูลหลิงที่มีการเดินทางไปมาที่ชายแดนกับเมืองต่าง ๆ โดยแน่นอนว่าเฟยเมี่ยวขอติดตามมาด้วยซึ่งตอนแรกบิดานางจะไม่ให้ไปแต่เพราะชินอ๋องเอ่ยปากและบอกว่าให้พี่ใหญ่ตามมาด้วยได้ เฟยเมี่ยวจึงมีโอกาสได้ติดตามไปชายแดนเยี่ยงตอนนี้“อาเมี่ยวไหวหรือไม่อีกไม่ไกลก็ได้เข้าเมืองแล้ว”พี่ใหญ่เอ่ยถามนางมาตลอดทางทุก ๆ ครึ่งชั่วยาม เขาเป็นห่วงนางเกินไปจนเฟยเมี่ยวเหนื่อยจะตอบแล้ว คงเพราะการเดินทางครานี้รีบเร่งจนมิอ
22ไหน้ำส้มใครแตกกันนะวันนี้เฟยเมี่ยวออกจากจวนไปร่วมงานชมดอกไม่ที่ตระกูลไป๋จัดขึ้น นางมาถึงก็มีเหล่าคุณหนูที่ยังไม่ออกเรือนมาบ้างแล้ว พอเลี่ยงเหลียงซูเห็นเฟยเมี่ยวเข้างานมาก็รีบมาเดินด้วยกันทันที ทำให้เฟยเมี่ยวไม่เดินเหงาคนเดียวอีกต่อไปรอเวลาผ่านไปจนเริ่มงานชมดอกไม้แล้ว บ่าวตระกูลไป๋จึงมาเชิญเหล่าคุณหนูไปยังลานนั่งล้อมโต๊ะที่มีชาดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นวางตรงหน้า เป็นการให้ลิ้มรสชาก่อนที่จะไปยังสวนเพื่อชมดอกไม้นั่นล่ะ“ชาดีทีเดียว หนิงอันยังมีรสนิยมดีเยี่ยงเดิมนะ”ท่านหญิงเจียวจินเอ่ยชมเป็นคนแรก แล้วคุณหนูคนอื่น ๆ ก็เอ่ยชมตามมาอีกไม่ขาดส่วนเฟยเมี่ยวนั้นมิได้มางานชมดอกไม้เพียงหาสหาย แต่นางต้องการมารับข่าวสารจากวงสตรีด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่พี่ใหญ่สงสัยว่าตระกูลซุนสายหลักกำลังสู่ขอท่านหญิงตรงหน้านี้อยู่“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านหญิงถูกใจข้าน้อยก็เบาใจลงมากเลยเจ้าค่ะ”หนิงอันยิ้มหวานน้อมรับคำชม บทสนทนาของเหล่าสตรีลื่นไหลอย่างหยุดไม่อยู่ ส่วนเฟยเมี่ยวนั้นก็มีคุยบ้างเป็นครั้งคราวไม่ให้เงียบและแปลกพวกเกินไป แต่ไม่มีใครเอ่ยเข้าประเด็นที่เฟยเมี่ยวอยากรู้เลย“ว่าแต่ท่านหญิงเจียวจินผ่านวัยปักปิ่นมาแล้ว ค
21ลอบเข้าตำหนักเฮยลู่จากการที่มีข่าวลือในวันต่อมาว่ามีกลุ่มโจรซุ่มทำร้ายซุนฮูหยินที่ขอบเมืองหลวง สิ่งที่ชาวเมืองเดาไปต่าง ๆ นานา ก็คือกลุ่มโจรนั้นอาจเป็นคนของชินอ๋องก็ได้ เหตุเพราะการที่สองฝ่ายไม่ลงรอยกันนั่นเองเฟยเมี่ยวที่คุ้นชินกลยุทธ์การสร้างข่าวเท็จนี้มองออกทันที นางอยากไขข้อสงสัยมากจนตัดสินใจว่าจะไปสอบถามความจริงจากตัวการใหญ่ ทำให้ดึกคืนนั้นเองเฟยเมี่ยวในชุดดำล้วนอาศัยทางลับที่ตนสร้างไว้สมัยอยู่ในวังเข้ามาได้ในที่สุด นางพุ่งตรงไปยังตำหนักเฮยลู่ อันเป็นตำหนักที่มีเวรยามรัดกุมที่สุดจนนางไม่สามารถมีคนของตนในตำหนักแห่งนี้ได้เลยที่น่าแปลกคือ ตอนนี้เฟยเมี่ยวแอบเข้ามาจนจะถึงตำหนักหลักส่วนในแล้ว นางยังไม่เจอทหารเฝ้ายามเลยสักคน เฟยเมี่ยวคิดว่าตนเองอาจกำลังหลงกลไกการเฝ้ายามซับซ้อนอยู่นางจึงรีบหมุนตัวรีบกลับกลังทางเดิมเสียก่อนที่จะถูกจับได้ทันที“เมี่ยวเมี่ยวจะหนีอีกแล้ว เข้ามาไม่ใช่เพราะคิดถึงข้าหรือ ยังไม่ทันเจอก็จะกลับเสียแล้ว...”นั่นอย่างไร ที่แท้ชินอ๋องผู้นี้ก็คิดว่านางต้องมาหาเขาอยู่แล้ว ทหารเฝ้ายามจึงหายไปหมดเช่นนี้เมื่อเจอตัวการที่นางต้องการเจอแล้ว อันใดคือต้องหนีกันเล่า !“ทห
20อยากแสร้งเป็นลมล้มสลบให้ไม่ต้องพบหน้าใครอีกงืม ๆ“เช้าแล้วหรือ?...”“ใช่ เช้าแล้ว เมี่ยวเมี่ยวตื่นแล้ว ขี้เซายิ่งนัก”หืม นางไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนเดียวหรือไร ไยรู้สึกเหมือนเสียงพูดเมื่อครู่เกิดขึ้นที่ข้างหูนางนี้เองกันนะ ลมที่พัดผ่านใบหูมันชวนให้จั๊กกะจี้จนต้องย่นคอหนีทั้งที่ยังหลับตา ไหนจะสัมผัสบางอย่างที่คลอเคลียแก้มจนทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นดูแล้วค่อยหลับอีกคราก็แล้วกัน“ท่านอ๋องมาอยู่นี่ได้อย่างไร ! โอ๊ะ”ไม่สิ ตอนนี้นางนอนอยู่ในป่านี่นา นางลืมไปเสียได้ คงเพราะเมื่อวานเหนื่อยมากจนหลับไม่รู้เรื่องแน่เลย“แล้วไยถึงถูกท่านกอดได้ !! ปล่อยนะ”ได้สติแล้วเฟยเมี่ยวก็สังเกตว่าตนเองถูกเต๋อรุ่ยกอดอยู่ แก้มของนางแนบคางของเขาจนรู้สึกประหลาดไปหมด แต่แรงกอดรัดของคนที่บาดเจ็บนั้นเฟยเมี่ยวสู้ไม่ไหวจริง นี่ขนาดเขาบาดเจ็บนะแรงยังมากเพียงนี้เลย ไม่อยากจะคิดยามปรกติจะแรงเยอะเพียงใด แต่ที่แน่นอนคือแรงสตรีตัวเล็กอย่างนางสู้เขาไม่ได้แน่นอน“เมี่ยว ๆ กอดข้าเองนะ อีกทั้งยังกอดไม่ปล่อยอีกด้วย ข้าเลยต้องนอนรออยู่เยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ”“แต่เมื่อคืนหม่อมฉันไม่ได้นอนท่านี้ หม่อมฉันเพียงให้ความอบอุ่นแก่พระองค์ผ่า