เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบ
เสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัว
ฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างาม
ร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขา
หลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้
แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"
เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...
ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
ภายในวังน้ำแข็ง...
ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลย
ตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจ
ห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้
เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —
มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้า
เพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพัน
แต่ละเม็ดเจียระไนเป็นรูปทรงดวงดาวและดอกไม้เรืองแสงจาง ๆ ส่องประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาวที่จับต้องได้
แสงสีฟ้าจาง ๆ ลอดผ่าน หน้าต่างกระจกน้ำแข็งหนา รอบห้องโถง
สร้างเงาสะท้อนเลือนลางบนพื้นน้ำแข็งใสที่ขัดเงาจนเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เงาของฉันเดินขนานไปกับเงาของเขา — คล้ายกับเราเป็นสองภาพเงาในโลกที่หยุดหมุนไปแล้ว
ทุกอย่างเงียบสงบ...
เงียบจนแม้แต่เสียงลมหายใจยังชัดเจน
อากาศเย็นจัด แต่แฝงด้วยความอบอุ่นลึก ๆ บางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
เหมือนว่าที่นี่...ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา แต่เป็นห้วงเวลาที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้โดยฤดูหนาวนิรันดร์
'สวยเหมือน...โลกในเทพนิยายเลย'
ฉันคิดในใจอย่างตื่นตะลึง ดวงตากลมโตไล่มองไปรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่อาจละสายตาได้เลย
แต่ในความงามตระการตาเหล่านั้น...
กลับแฝงไว้ด้วยความเงียบเหงา และความเย็นยะเยือกที่ซึมลึกเข้าถึงกระดูก
มันเป็นความเงียบที่ไม่ใช่แค่ไร้เสียง
แต่มันคือความว่างเปล่าที่ชวนอ้างว้าง เหมือนกาลเวลาทั้งหมดถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่ในห้วงหนาวนิรันดร์
เหมือนตัวเจ้าของวังแห่งนี้ — ผู้ซึ่งเดินนำฉันอยู่เบื้องหน้า
หลงอวิ๋น
ร่างสูงในชุดคลุมสีเงินนั้นหยุดลงตรงกลางโถงน้ำแข็งที่เงียบสงัด เขาหันกายกลับมาอย่างช้า ๆ — ผ้าคลุมหนาหนักสะบัดแผ่วในอากาศ ดวงตาสีฟ้าเข้มนิ่งสงบเย็นเฉียบ จ้องตรงมาโดยปราศจากคลื่นอารมณ์ใด ๆ เหมือนผิวน้ำแข็งที่แข็งตัวมาแล้วพันปี
"ส่งมันมา"
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ — ไม่มีคำสั่ง ไม่มีความก้าวร้าว — แต่แผ่แรงกดดันอ่อน ๆ พอให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะ
ฉันรีบถอดกล่องราเมนออกจากกระเป๋าส่งอย่างลนลาน สองมือสั่นน้อย ๆ ขณะยื่นกล่องเรืองแสงอ่อน ๆ ไปให้เขา
กล่องอาหารพิเศษของ Omnibite ยังแผ่ไออุ่นบางเบาออกมา — กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของราเมนร้อน ๆ ลอยอวลเป็นม่านบาง ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของวัง
หลงอวิ๋นเอื้อมมือมารับอย่างสงบนิ่ง นิ้วเรียวยาว ขาวซีดอย่างกับน้ำแข็ง แตะเบา ๆ ลงบนฝากล่อง
เขาเปิดมันออกด้วยท่วงท่าเรียบง่าย —
เหมือนเปิดกล่องสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
ทันใดนั้น...
กลิ่นราเมนอันหอมกรุ่นก็พวยพุ่งขึ้น
ไออุ่นร้อน ๆ กระทบกับอากาศเย็นจัดจนกลายเป็นม่านหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นเหนือกล่อง ราวกับเวทมนตร์แห่งฤดูหนาวกำลังเต้นระบำ
ฉันเผลอกลั้นหายใจ — เฝ้าจับตามองเขาอย่างตื่นตระหนก
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างลังเล
สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังตัดสินใจอยู่ระหว่างความระแวงระวัง และความอยากรู้อย่างลึกซึ้งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว
ในที่สุด...
เขาก็ค่อย ๆ หยิบตะเกียบที่แนบมาในกล่อง จับเส้นราเมนอวบอิ่มขึ้นมาอย่างประณีต —เส้นราเมนสีแดงทอง เปล่งประกายเล็กน้อยในแสงสะท้อนของคริสตัลน้ำแข็ง ไออุ่นจากเส้นราเมนยังคงระเหยขึ้นเป็นม่านบาง ๆ ลมหายใจแผ่วเบาของเขาเป่าเส้นราเมนเบา ๆ — ทำให้ม่านไออุ่นนั้นเต้นระริก
ทุกกิริยาของเขาช่างระมัดระวัง อ่อนโยน จนฉันเกือบลืมหายใจตาม
แล้ว...
เขาก็ลิ้มรสเส้นราเมนคำแรก
หลงอวิ๋นเคี้ยวช้า ๆ ไม่รีบร้อน
แววตานิ่งเฉยตามแบบฉบับของเขา...แต่ชั่วขณะหนึ่ง —
ชั่วเสี้ยววินาทีที่แทบมองไม่ทัน
ดวงตาสีฟ้าเยือกแข็งคู่นั้นไหววูบลงเล็กน้อย
เศษเสี้ยวบางสิ่งแวะมาเยือนสายตาเขา —
บางสิ่งที่อบอุ่น อ่อนโยน และเปราะบาง...
เหมือนน้ำแข็งพันปีถูกแตะต้องด้วยไออุ่นจากวันวาน
แม้สีหน้าของเขาจะกลับมาเยือกเย็นดังเดิมในพริบตา
แม้ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีรอยยิ้ม
แต่ฉันสัมผัสได้ —
ว่ามีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นในหัวใจที่เคยแข็งทื่อของเขาแล้ว
เพราะเพียงราเมนชามหนึ่ง เพราะเพียงไออุ่นเล็ก ๆ จากอีกโลกหนึ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมานานแสนนาน
ฉันยืนกอดกระเป๋าแน่น ใจยังเต้นระรัวไม่หาย
ขณะที่หลงอวิ๋นวางตะเกียบลงข้างกล่องราเมนอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางโถงน้ำแข็งที่เงียบงัน
สายตาเขาเหลือบต่ำลงเล็กน้อย —
จับจ้องไปยังอกเสื้อของฉันที่กระเพื่อมไหวอย่างน่าสงสัย
ฉันก้มตามสายตาเขา แล้วรีบเบิกตากว้าง
เจ้าก้อนขนขาวที่ฉันห่อไว้ในผ้าพันคอเริ่มขยุกขยิก ดิ้นน้อย ๆ ส่งเสียง "คิ๊ว~" เบา ๆ ราวกับกำลังงัวเงียตื่นจากฝัน
"เอ่อ..."
ฉันยิ้มแห้ง ๆ รีบคลี่ผ้าเผยให้เห็นเจ้าลูกจิ้งจอกน้อยตัวนั้น ขนสีขาวระยิบระยับราวเกล็ดหิมะ ท่ามกลางลมหายใจอุ่น ๆ ที่ไหลวนอยู่รอบตัวมัน
หลงอวิ๋นก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด
สายตาของเขาจับจ้องลูกจิ้งจอกเล็กด้วยแววตานิ่งสงบ — แต่ในความนิ่งนั้นมีบางอย่างเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ความเย็นชาอีกต่อไป
แต่เป็นแววระแวดระวัง...ปนกับความเศร้าลึก ๆ ที่แทบไม่สังเกตเห็น
"นั่นคือ..."
เขาพึมพำเสียงแผ่ว ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน
"คะ?" ฉันถามเบา ๆ
"ลูก 'ไป๋หลิง'"
เขากล่าว ดวงตาสีน้ำแข็งสะท้อนประกายครุ่นคิดลึกซึ้ง
"สัตว์จิตวิญญาณประจำหิมะ...มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการแบ่งลมหายใจจากแม่เท่านั้น"
ฉันเบิกตากว้าง หัวใจร่วงวูบ
"ถ้ามันหลงจากแม่...ไม่นานนัก มันจะ..."
เขาหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบเย็น
"...ตาย"
คำว่า "ตาย" สั้น เรียบ และหนักพอจะทำเอาอกของฉันปวดแปลบ
ฉันกอดเจ้าก้อนขนน้อยแน่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนสัญชาตญาณกำลังพยายามปกป้องมันไว้
"ไม่ได้นะ..."
ฉันกระซิบ รู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา
"นายต้องรอดนะ...เจ้าจิ้งจอกน้อย..."
หลงอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ
ปลายนิ้วของเขาวาดเส้นเวทสีฟ้าอ่อนกลางอากาศ แสงเย็น ๆ ส่องสว่างเหมือนริบบิ้นน้ำแข็งที่ไหลเคลื่อนไปตามปลายนิ้วเรียวยาวนั้น
เส้นเวทค่อย ๆ ทอประกาย ร้อยเรียงกันกลายเป็น กรงน้ำแข็งใสกริบ ประดับด้วยเกล็ดหิมะละเอียดที่ระยิบระยับราวเพชร
กรงนั้น...สวยงามราวกับหลุดมาจากตำนาน
"ข้าจะผนึกพลังชีวิตจำลองของแม่มัน...ไว้ในกรงนี้"
เสียงของหลงอวิ๋น...นุ่มลง แทบสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ หลังผืนน้ำแข็งหนาแน่นนั้น
"มันจะอยู่ได้...จนกว่าจะพบแม่ตัวจริง"
ฉันจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
"คุณ...ช่วยมันไว้จริง ๆ เหรอ..."
หลงอวิ๋นไม่ตอบ เขาเพียงเบือนหน้าหลบเบา ๆ อย่างไม่ต้องการรับคำขอบคุณหรือคำชมใด ๆ
ฉันประคองเจ้าจิ้งจอกน้อยเข้าไปวางลงในกรงเวท
กรงน้ำแข็งเปล่งไออุ่นจาง ๆ โอบล้อมเจ้าก้อนขนขาวราวกับอ้อมแขนอ่อนโยนของแม่
เจ้าตัวน้อยส่งเสียง "คิ๊ว~" อย่างพอใจ ขยับหูนิด ๆ แล้วขดตัวหลับปุ๋ย ท่ามกลางแสงเวทอันอบอุ่น
ฉันยิ้มกว้างอย่างโล่งใจ หัวใจอุ่นวาบเหมือนไฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นในอก
ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้เย็นเยียบตรงหน้า
"ขอบคุณค่ะ...จากใจจริง"
หลงอวิ๋นยังคงไม่ตอบ
แต่แค่การที่เขายืนนิ่ง ไม่เร่งรัด ไม่ผลักไส...
ก็เหมือนกับว่าเขากำลังฟัง — และรับรู้ความรู้สึกของฉันอย่างเงียบ ๆ
ฉันก้มมองเจ้าก้อนขนขาวในกรงเวทอีกครั้ง แล้วยิ้มบาง ๆ
"นายต้องมีชื่อนะ..."
ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างตัดสินใจได้
"งั้น...เรียกว่า 'หยกหิมะ' ละกัน"
"เพราะนายตัวนุ่ม ๆ ขาว ๆ เหมือนก้อนหยกในหิมะเลย"
เจ้าก้อนน้อยขยับหูเบา ๆ เหมือนตอบรับอย่างอารมณ์ดี
ทุกอย่างในโถงน้ำแข็ง...เงียบสงบลง
หลงอวิ๋นสะบัดชายเสื้อเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ตามข้ามา"
แล้วเขาก็หันหลัง เดินต่อไป
ราวกับทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพสะท้อนน้ำที่ปลิวหายไปกับสายลม
ฉันหอบเจ้ากรงน้ำแข็งแนบอก กระชับกระเป๋าอาหารไว้แน่น แล้วรีบก้าวเท้าตามเขาไป
ในใจฉันอบอุ่นแปลก ๆ ราวกับว่า...
ความเย็นยะเยือกที่เคยโอบล้อมตัวมาตลอด เริ่มมีแสงไฟดวงน้อย ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นทีละนิด
❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉
เสียงคำรามของเนรูไซร์ระเบิดขึ้นอีกครั้ง หางขนาดยักษ์กวาดทำลายผนังถ้ำเวทเหมือนกระดาษชื้น เวทแสงและเงาปะทะกันกลางอากาศจนเกิดการสั่นสะเทือนระลอกใหญ่ฝุ่นเวทปลิวว่อน—เสียงเวทร้องดังก้องในทุกสรรพางค์ของโลกเวทหลงอวิ๋นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวท ร่างกายบาดเจ็บจากการรับเวทแทนเอลาเรียดวงตาสีฟ้าของเขาเรืองแสงเย็นราวน้ำแข็งที่กำลังแตกร้าว เขากำมือแน่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่คำรามลั่นกลางอากาศ“...พอแล้ว”เสียงเขาดังแน่น…แต่ราบเรียบราวหิมะที่กำลังตก พลังเวทเริ่มปะทุจากใต้ฝ่าเท้า—วงเวทมังกรน้ำแข็งเรืองแสงใต้พื้นหิน“เอลิอาน”“ดูแลเอลาเรีย...จนกว่าข้าจะหยุดมันได้”เอลิอานสบตาเขานิ่ง ก่อนพยักหน้ารับหลงอวิ๋นยื่นมือแตะอกตนเอง—จุดที่พลังแก่นมังกรหลับใหล เวทน้ำแข็งทะลักออกจากผิวหนัง กลายเป็นเกล็ดสีฟ้าระยับ เสื้อคลุมของเขาฉีกออก—เผยร่างที่ค่อย ๆ ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดมังกร เสียงกระดูกและกล้ามเนื้อแปรสภาพดังกรอบแกรบแสงเวทแตกกระจาย—ปีกกว้างกางออกกลางอากาศ
เสียงคำรามของมังกรดึกดำบรรพ์ เนรูไซร์ ดังสะท้านห้องเวททั้งมวล แท่นผนึกกลางถ้ำใต้ทะเลสาบจันทราสั่นไหวเหมือนจะพังทลายลงในทุกวินาที แสงเวทบนพื้นแตกร้าวเป็นทางยาว หินศิลาโบราณสะเทือนจนผงธุลีร่วงเหมือนน้ำตาของกาลเวลาหางมังกรยาวสีเงินดำของมันตวัดกวาดแนวกำแพงเวท กระแทกผนังเวทที่เจิ้งอู่สร้างไว้แตกเป็นเสี่ยงเสียง ครืน!! ดังสนั่นจนหูแทบชาฉันหอบหายใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะพลังเวทในตัวกำลังเดือดพล่านเหมือนถูกกระชากให้ตื่นขึ้นสุดขีด มือทั้งสองข้างสั่น—แต่ยังยืนอยู่ตรงหน้าแท่นเวทดวงตาของเนรูไซร์…เป็นสีเงินมืดที่ไม่มีประกายชีวิตแต่ในแววตานั้นแฝงไว้ด้วยบางอย่าง—เศษเสี้ยวของความทรงจำพันปีที่ยังถูกผนึกอยู่“...มังกรตื่นแล้ว”เสียงของเอลิอานดังขึ้นข้างตัวฉัน เขามีบาดแผลที่ไหล่ แต่ยังคงยืนมั่น ดาบเวทยังคงเรืองแสงอยู่ในมือเซรีฟิน่าเงยหน้าขึ้นมองเนรูไซร์ที่กำลังอาละวาด ดวงตาของนางเป็นประกายเรืองแสงสีม่วงเข้ม พลังเงาดำแผ่ออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง“ใจเย็น…ที่รักข
แสงจากไพ่ทาโรห์ใบสุดท้าย— “The Star” ลอยขึ้นเหนือฝ่ามือฉัน มันส่องประกายสีเงินอ่อน กระเพื่อมช้า ๆ ไปตามแรงเวทจากแท่นศิลาเบื้องล่างณ วินาทีนั้น…โลกทั้งใบคล้ายถูกแช่แข็งลงชั่วขณะ รอบกายเงียบงันราวกับกาลเวลาเองก็หยุดหายใจฉันยืนข้างหลงอวิ๋น มือของเราประสานกันแนบแน่น พลังเวทของเราค่อย ๆ ไหลซึมผ่านปลายนิ้ว—หลอมรวมกันเป็นสายใยเรืองแสงที่โยงถึงจิตวิญญาณเสียงหัวใจของเขา...ประสานกับจังหวะหัวใจของฉันอย่างไร้รอยต่อ“จงผนึกซากจันทรา…”เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา แสงเวทสีเยือกแข็งเริ่มเรืองขึ้นจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ ลากเป็นเส้นเวทรอบแท่นกลาง ลวดลายเวทพันกันวนซ้อน กลายเป็น ‘อักขระมังกรพันธะ’ โบราณ—อักขระที่ไม่มีผู้ใดยุคนี้อ่านออก…นอกจากเขาเพียงผู้เดียวฉันหลับตาลง ปล่อยให้จิตเงียบลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียว—ภาพของเขาที่ชัดเจนที่สุดในใจเส้นเวทวนทบซ้อนกันเป็นรูป ‘อักขระมังกรพันธะ’ ซึ่งไม่เคยมีใครในยุคนี้อ่านออกได้นอกจากเขา“ด้วยเส้นชะตาที่ผูกพัน…”“ด้วยหัวใจที่มิได้เลือกเพียงชาตินี้…”“จงคื
ลมหิมะยามเช้าเอื่อยพัดผ่านช่องหน้าต่าง แสงอ่อนจากผลึกเวทสีเงินวาวสาดลงบนผืนพรมขนสัตว์สีเทาอ่อนที่ปูอยู่กลางห้อง ฉันยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกทรงสูง บิดตัวน้อย ๆ ให้มั่นใจว่าเกราะเวทเบาเข้ารูปสีขาวเงินที่สวมอยู่แนบตัวพอดีทุกส่วนสายคาดเอวสีเทาอ่อนปักลายจันทร์เสี้ยวไขว้ทับด้านหน้า ผ้าคลุมยาวสีเงินชายผ้าคลุมยาวจนแตะข้อเท้า พาดจากไหล่ซ้ายลงไปด้านหลังอย่างสง่างาม ถุงมือเวทสีขาวไข่มุกสวมเฉพาะมือขวา เพื่อเปิดการสัมผัสเวทร่วม และปลายผมของฉันถูกรวบด้วยปิ่นเวทผลึกสีฟ้า...ที่เขาเป็นคนสวมให้ฉันเมื่อคืน...แค่คิดถึงสัมผัสของเขาบนเส้นผม ฉันก็เผลอยิ้มเสียงขยับผ้าเบา ๆ ด้านหลังทำให้ฉันหันกลับไปมอง—ภาพที่เห็นคือเขา...หลงอวิ๋นกำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้แกะสลัก จัดเกราะชิ้นสุดท้ายเข้าที่อย่างเงียบ ๆเขาสวมเสื้อคลุมเวทชั้นในสีดำแนบตัว พาดทับด้วยเกราะหน้าอกสีเงินเข้มที่สลักอักขระเวทน้ำแข็ง และเสื้อคลุมสีเทาน้ำแข็งชายยาวลากพื้น ด้านในเป็นเส้นด้ายเวทสีฟ้าประกายปลอกแขนและถุงมือเวทสีน้ำเงินเข้มแนบข้อมือ และผ้าคาดเอวปักตราประจำตระกูลมังกรน้ำแข็งทับด้วยดาบประจำตัวสีเงิ
หลงอวิ๋นกวาดสายตามองไปรอบห้องโถงประชุม ดวงตาสีฟ้าของเขานิ่งลึก ยากจะคาดเดาได้ว่าภายในใจเขากำลังสั่นไหวเพียงใด“มีผู้ใดสงสัยในแผนหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดังชัดในห้องประชุมหินน้ำแข็ง ความเงียบโรยตัวลงอีกครั้ง ราวกับแม้แต่ลมหายใจก็ลังเลที่จะดังขึ้นแม่ทัพเถาอู่ขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่พยักหน้า ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น“กองกำลังพร้อมแล้วพะยะค่ะ ไม่มีข้อสงสัยใด”เจิ้งอู่ที่ยืนอยู่ใกล้แผนภาพเวทบนโต๊ะเอ่ยขึ้นเสริม“กองรบแนวหน้าจะเริ่มเคลื่อนพลล่วงหน้าในคืนนี้ ส่วนหน่วยซึมลึกผ่านอุโมงค์ จะเริ่มลงจุดตามแผนตั้งแต่ยามก่อนรุ่งอรุณ”หลงอวิ๋นพยักหน้า ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงต่ำเยือกเย็น—แต่มั่นคง“ถ้าแผนหลักล้มเหลว…”เขาหยุดมองหน้าทุกคนทีละคน—รวมถึงฉัน“แผนสำรองคือการเร่ง ‘พันธะผนึก’ ระหว่างข้ากับเอลาเรียทันที”“นั่นจะทำให้พลังของเราเชื่อมถึงกันได้ลึกยิ่งขึ้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่พลังสั่นสะเทือนของข้าอาจทำลายแท่นเวทก่อนมันจะกลืนข้า”เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้นจากมุมแม่ทัพสายเวท แต่ก็เงียบลงทันทีเมื่อหลงอวิ๋นปรายตามอง
ห้องประชุมเงียบไปอีกครั้งความกล้าของฉันอาจดูบ้าบิ่นในสายตาใครหลายคนแต่ไม่มีใครรู้...ว่าหัวใจฉันมันดื้อแค่ไหนแล้วทันใดนั้นเอง—“ดูเหมือนการประชุมจะเข้มข้นขึ้นนะ…”เสียงทุ้มต่ำและเรียบนิ่งดังขึ้นจากประตูด้านในบานประตูน้ำแข็งที่ควรจะถูกผนึกไว้ด้วยเวทรุนแรง…กลับเปิดออกอย่างไร้เสียง ด้วยแรงเวทที่หนักแน่นแต่แผ่วเบาเงาร่างสูงระหงในชุดคลุมดำล้วนก้าวเข้ามาอย่างสงบนิ่งผ้าคลุมของเขาทอดยาวสะบัดเบา ๆ กับพื้นหินเย็นเยียบ ปักลายมังกรดำด้วยด้ายเงินวาววับ เงามันราวกับสะท้อนแสงจากห้วงอเวจีต่างหูข้างเดียวที่เขาสวมไว้สะท้อนแสงเทียนเป็นประกาย...และดวงตาสีแดงเข้มราวเถ้าถ่านจับจ้องมาที่ฉัน—เพียงคนเดียว“เจ้าช่างกล้าจริง ๆ ...เจ้ามนุษย์น้อย”ไคเซอร์ ดราโคนิส—องค์ชายดำแห่งแดนเหนือเขาก้าวผ่านเหล่าแม่ทัพอย่างไม่แม้แต่จะปรายตามองใคร ร่างสูงสง่าของเขาหยุดลงหน้าฉัน พร้อมแรงกดดันที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ทั่วห้อง“อย่าได้หลงคิดว่า