เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบ
เสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัว
ฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างาม
ร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขา
หลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้
แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"
เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...
ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว
ภายในวังน้ำแข็ง...
ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลย
ตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจ
ห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้
เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —
มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้า
เพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพัน
แต่ละเม็ดเจียระไนเป็นรูปทรงดวงดาวและดอกไม้เรืองแสงจาง ๆ ส่องประกายระยิบระยับเหมือนดวงดาวที่จับต้องได้
แสงสีฟ้าจาง ๆ ลอดผ่าน หน้าต่างกระจกน้ำแข็งหนา รอบห้องโถง
สร้างเงาสะท้อนเลือนลางบนพื้นน้ำแข็งใสที่ขัดเงาจนเห็นเงาตัวเองสะท้อนอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เงาของฉันเดินขนานไปกับเงาของเขา — คล้ายกับเราเป็นสองภาพเงาในโลกที่หยุดหมุนไปแล้ว
ทุกอย่างเงียบสงบ...
เงียบจนแม้แต่เสียงลมหายใจยังชัดเจน
อากาศเย็นจัด แต่แฝงด้วยความอบอุ่นลึก ๆ บางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้
เหมือนว่าที่นี่...ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา แต่เป็นห้วงเวลาที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้โดยฤดูหนาวนิรันดร์
'สวยเหมือน...โลกในเทพนิยายเลย'
ฉันคิดในใจอย่างตื่นตะลึง ดวงตากลมโตไล่มองไปรอบห้องอย่างตื่นตาตื่นใจ ไม่อาจละสายตาได้เลย
แต่ในความงามตระการตาเหล่านั้น...
กลับแฝงไว้ด้วยความเงียบเหงา และความเย็นยะเยือกที่ซึมลึกเข้าถึงกระดูก
มันเป็นความเงียบที่ไม่ใช่แค่ไร้เสียง
แต่มันคือความว่างเปล่าที่ชวนอ้างว้าง เหมือนกาลเวลาทั้งหมดถูกตรึงให้หยุดนิ่งอยู่ในห้วงหนาวนิรันดร์
เหมือนตัวเจ้าของวังแห่งนี้ — ผู้ซึ่งเดินนำฉันอยู่เบื้องหน้า
หลงอวิ๋น
ร่างสูงในชุดคลุมสีเงินนั้นหยุดลงตรงกลางโถงน้ำแข็งที่เงียบสงัด เขาหันกายกลับมาอย่างช้า ๆ — ผ้าคลุมหนาหนักสะบัดแผ่วในอากาศ ดวงตาสีฟ้าเข้มนิ่งสงบเย็นเฉียบ จ้องตรงมาโดยปราศจากคลื่นอารมณ์ใด ๆ เหมือนผิวน้ำแข็งที่แข็งตัวมาแล้วพันปี
"ส่งมันมา"
น้ำเสียงของเขาราบเรียบ — ไม่มีคำสั่ง ไม่มีความก้าวร้าว — แต่แผ่แรงกดดันอ่อน ๆ พอให้หัวใจฉันเต้นผิดจังหวะ
ฉันรีบถอดกล่องราเมนออกจากกระเป๋าส่งอย่างลนลาน สองมือสั่นน้อย ๆ ขณะยื่นกล่องเรืองแสงอ่อน ๆ ไปให้เขา
กล่องอาหารพิเศษของ Omnibite ยังแผ่ไออุ่นบางเบาออกมา — กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของราเมนร้อน ๆ ลอยอวลเป็นม่านบาง ๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บของวัง
หลงอวิ๋นเอื้อมมือมารับอย่างสงบนิ่ง นิ้วเรียวยาว ขาวซีดอย่างกับน้ำแข็ง แตะเบา ๆ ลงบนฝากล่อง
เขาเปิดมันออกด้วยท่วงท่าเรียบง่าย —
เหมือนเปิดกล่องสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก
ทันใดนั้น...
กลิ่นราเมนอันหอมกรุ่นก็พวยพุ่งขึ้น
ไออุ่นร้อน ๆ กระทบกับอากาศเย็นจัดจนกลายเป็นม่านหมอกจาง ๆ ลอยขึ้นเหนือกล่อง ราวกับเวทมนตร์แห่งฤดูหนาวกำลังเต้นระบำ
ฉันเผลอกลั้นหายใจ — เฝ้าจับตามองเขาอย่างตื่นตระหนก
หลงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างลังเล
สายตาคู่นั้นเหมือนกำลังตัดสินใจอยู่ระหว่างความระแวงระวัง และความอยากรู้อย่างลึกซึ้งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ทันรู้ตัว
ในที่สุด...
เขาก็ค่อย ๆ หยิบตะเกียบที่แนบมาในกล่อง จับเส้นราเมนอวบอิ่มขึ้นมาอย่างประณีต —เส้นราเมนสีแดงทอง เปล่งประกายเล็กน้อยในแสงสะท้อนของคริสตัลน้ำแข็ง ไออุ่นจากเส้นราเมนยังคงระเหยขึ้นเป็นม่านบาง ๆ ลมหายใจแผ่วเบาของเขาเป่าเส้นราเมนเบา ๆ — ทำให้ม่านไออุ่นนั้นเต้นระริก
ทุกกิริยาของเขาช่างระมัดระวัง อ่อนโยน จนฉันเกือบลืมหายใจตาม
แล้ว...
เขาก็ลิ้มรสเส้นราเมนคำแรก
หลงอวิ๋นเคี้ยวช้า ๆ ไม่รีบร้อน
แววตานิ่งเฉยตามแบบฉบับของเขา...แต่ชั่วขณะหนึ่ง —
ชั่วเสี้ยววินาทีที่แทบมองไม่ทัน
ดวงตาสีฟ้าเยือกแข็งคู่นั้นไหววูบลงเล็กน้อย
เศษเสี้ยวบางสิ่งแวะมาเยือนสายตาเขา —
บางสิ่งที่อบอุ่น อ่อนโยน และเปราะบาง...
เหมือนน้ำแข็งพันปีถูกแตะต้องด้วยไออุ่นจากวันวาน
แม้สีหน้าของเขาจะกลับมาเยือกเย็นดังเดิมในพริบตา
แม้ไม่มีถ้อยคำ ไม่มีรอยยิ้ม
แต่ฉันสัมผัสได้ —
ว่ามีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นในหัวใจที่เคยแข็งทื่อของเขาแล้ว
เพราะเพียงราเมนชามหนึ่ง เพราะเพียงไออุ่นเล็ก ๆ จากอีกโลกหนึ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมานานแสนนาน
ฉันยืนกอดกระเป๋าแน่น ใจยังเต้นระรัวไม่หาย
ขณะที่หลงอวิ๋นวางตะเกียบลงข้างกล่องราเมนอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางโถงน้ำแข็งที่เงียบงัน
สายตาเขาเหลือบต่ำลงเล็กน้อย —
จับจ้องไปยังอกเสื้อของฉันที่กระเพื่อมไหวอย่างน่าสงสัย
ฉันก้มตามสายตาเขา แล้วรีบเบิกตากว้าง
เจ้าก้อนขนขาวที่ฉันห่อไว้ในผ้าพันคอเริ่มขยุกขยิก ดิ้นน้อย ๆ ส่งเสียง "คิ๊ว~" เบา ๆ ราวกับกำลังงัวเงียตื่นจากฝัน
"เอ่อ..."
ฉันยิ้มแห้ง ๆ รีบคลี่ผ้าเผยให้เห็นเจ้าลูกจิ้งจอกน้อยตัวนั้น ขนสีขาวระยิบระยับราวเกล็ดหิมะ ท่ามกลางลมหายใจอุ่น ๆ ที่ไหลวนอยู่รอบตัวมัน
หลงอวิ๋นก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด
สายตาของเขาจับจ้องลูกจิ้งจอกเล็กด้วยแววตานิ่งสงบ — แต่ในความนิ่งนั้นมีบางอย่างเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ความเย็นชาอีกต่อไป
แต่เป็นแววระแวดระวัง...ปนกับความเศร้าลึก ๆ ที่แทบไม่สังเกตเห็น
"นั่นคือ..."
เขาพึมพำเสียงแผ่ว ราวกับพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับฉัน
"คะ?" ฉันถามเบา ๆ
"ลูก 'ไป๋หลิง'"
เขากล่าว ดวงตาสีน้ำแข็งสะท้อนประกายครุ่นคิดลึกซึ้ง
"สัตว์จิตวิญญาณประจำหิมะ...มีชีวิตอยู่ได้ด้วยการแบ่งลมหายใจจากแม่เท่านั้น"
ฉันเบิกตากว้าง หัวใจร่วงวูบ
"ถ้ามันหลงจากแม่...ไม่นานนัก มันจะ..."
เขาหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยเสียงเรียบเย็น
"...ตาย"
คำว่า "ตาย" สั้น เรียบ และหนักพอจะทำเอาอกของฉันปวดแปลบ
ฉันกอดเจ้าก้อนขนน้อยแน่นโดยไม่รู้ตัว เหมือนสัญชาตญาณกำลังพยายามปกป้องมันไว้
"ไม่ได้นะ..."
ฉันกระซิบ รู้สึกเหมือนน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา
"นายต้องรอดนะ...เจ้าจิ้งจอกน้อย..."
หลงอวิ๋นยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยกมือขึ้นช้า ๆ
ปลายนิ้วของเขาวาดเส้นเวทสีฟ้าอ่อนกลางอากาศ แสงเย็น ๆ ส่องสว่างเหมือนริบบิ้นน้ำแข็งที่ไหลเคลื่อนไปตามปลายนิ้วเรียวยาวนั้น
เส้นเวทค่อย ๆ ทอประกาย ร้อยเรียงกันกลายเป็น กรงน้ำแข็งใสกริบ ประดับด้วยเกล็ดหิมะละเอียดที่ระยิบระยับราวเพชร
กรงนั้น...สวยงามราวกับหลุดมาจากตำนาน
"ข้าจะผนึกพลังชีวิตจำลองของแม่มัน...ไว้ในกรงนี้"
เสียงของหลงอวิ๋น...นุ่มลง แทบสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ หลังผืนน้ำแข็งหนาแน่นนั้น
"มันจะอยู่ได้...จนกว่าจะพบแม่ตัวจริง"
ฉันจ้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา
"คุณ...ช่วยมันไว้จริง ๆ เหรอ..."
หลงอวิ๋นไม่ตอบ เขาเพียงเบือนหน้าหลบเบา ๆ อย่างไม่ต้องการรับคำขอบคุณหรือคำชมใด ๆ
ฉันประคองเจ้าจิ้งจอกน้อยเข้าไปวางลงในกรงเวท
กรงน้ำแข็งเปล่งไออุ่นจาง ๆ โอบล้อมเจ้าก้อนขนขาวราวกับอ้อมแขนอ่อนโยนของแม่
เจ้าตัวน้อยส่งเสียง "คิ๊ว~" อย่างพอใจ ขยับหูนิด ๆ แล้วขดตัวหลับปุ๋ย ท่ามกลางแสงเวทอันอบอุ่น
ฉันยิ้มกว้างอย่างโล่งใจ หัวใจอุ่นวาบเหมือนไฟเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ลุกโชนขึ้นในอก
ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มผู้เย็นเยียบตรงหน้า
"ขอบคุณค่ะ...จากใจจริง"
หลงอวิ๋นยังคงไม่ตอบ
แต่แค่การที่เขายืนนิ่ง ไม่เร่งรัด ไม่ผลักไส...
ก็เหมือนกับว่าเขากำลังฟัง — และรับรู้ความรู้สึกของฉันอย่างเงียบ ๆ
ฉันก้มมองเจ้าก้อนขนขาวในกรงเวทอีกครั้ง แล้วยิ้มบาง ๆ
"นายต้องมีชื่อนะ..."
ฉันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างตัดสินใจได้
"งั้น...เรียกว่า 'หยกหิมะ' ละกัน"
"เพราะนายตัวนุ่ม ๆ ขาว ๆ เหมือนก้อนหยกในหิมะเลย"
เจ้าก้อนน้อยขยับหูเบา ๆ เหมือนตอบรับอย่างอารมณ์ดี
ทุกอย่างในโถงน้ำแข็ง...เงียบสงบลง
หลงอวิ๋นสะบัดชายเสื้อเบา ๆ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ตามข้ามา"
แล้วเขาก็หันหลัง เดินต่อไป
ราวกับทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพสะท้อนน้ำที่ปลิวหายไปกับสายลม
ฉันหอบเจ้ากรงน้ำแข็งแนบอก กระชับกระเป๋าอาหารไว้แน่น แล้วรีบก้าวเท้าตามเขาไป
ในใจฉันอบอุ่นแปลก ๆ ราวกับว่า...
ความเย็นยะเยือกที่เคยโอบล้อมตัวมาตลอด เริ่มมีแสงไฟดวงน้อย ๆ ค่อย ๆ ลุกขึ้นทีละนิด
❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉❄️ 🐉
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
เช้าวันใหม่ในวังน้ำแข็งเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด แสงเงินบาง ๆ จากดวงอาทิตย์ที่ไม่เคยส่องแรงเกินไปในดินแดนหิมะ ทอผ่านหน้าต่างน้ำแข็งหนาเป็นลำแสงอ่อน ๆ คลี่ตัวลงบนพื้นพรมขนสัตว์หนานุ่มฉันขยับตัวใต้ผ้าห่มขนสัตว์ สูดกลิ่นอุ่น ๆ ของไฟเวทย์ที่ยังคงลุกโชนในเตาผิงก๊อก ก๊อกเสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอย่างสุภาพ“คุณผู้มาเยือน...”เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากหลังบานประตู“ข้ามีนามว่า เสี่ยวหนิง มาดูแลท่านตามบัญชาขององค์ชาย”ฉันสะดุ้งเล็กน้อย รีบลุกขึ้นจากเตียง กอดผ้าห่มขนสัตว์แนบอกด้วยความเคยชินของคนแปลกที่แล้วตอบเสียงเบา ๆ“เข้ามาได้ค่ะ”บานประตูเปิดออกเบา ๆ อย่างนุ่มนวลหญิงสาวร่างเล็กในชุดสีขาวสะอาดก้าวเข้ามาใบหน้าของเธออ่อนหวาน ดวงตากลมโค้งรับรอยยิ้มสุภาพ ทำให้บรรยากาศแข็งกร้าวของวังน้ำแข็งดูนุ่มนวลลงทันทีที่เธอปรากฏตัว“ข้ามีหน้าที่นำอาหาร เครื่องใช้ และช่วยดูแลท่านระหว่างที่พักอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ”เสี่ยวหน
วังน้ำแข็งเบื้องหน้าเงียบสงบเหมือนความฝันผนังน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนแสงคริสตัลระยิบระยับ ดั่งหมื่นดวงดาวแขวนอยู่ในคืนหนาวแต่หัวใจของฉัน...กำลังเต้นสับสนและร้อนรุ่มอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหลังจากส่งราเมนเสร็จ ฉันคิดว่างานจบแล้วแค่กดเปิดระบบ Omnibite แล้วกลับบ้านเหมือนทุกครั้งฉันกวาดนิ้วลงบนหน้าจอนาฬิกาอย่างคล่องแคล่วด้วยความเคยชิน ใจเฝ้าฝันถึงห้องเช่าอันคับแคบ ผ้าห่มขาด ๆ และกลิ่นกาแฟที่เก่าจนขมขื่นแต่...[Error: ไม่สามารถเชื่อมต่อมิติปกติ][ระบบเสียหาย: โปรดรอการรีเซ็ตพลังงานใน 7 วัน]ฉันกะพริบตาปริบ ๆมองข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับมันจะเปลี่ยนคำตอบได้ถ้าฉันจ้องนานพอ“...หา?”มือไม้เย็นเฉียบจนแทบไม่รู้ตัวฉันกดรีเซ็ต กดสแกน กดทุกอย่างที่จำได้จากคู่มือฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไร...ข้อความเดิมก็ยังคงสว่างอยู่บนหน้าจอ[คุณติดอยู่ในโลกนี้ 7 วัน]“...ฉันติดอยู่ที่นี่จริง ๆ เหรอ?”เสียงตัวเองเบาเสียย
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของฉันก้าวย่ำลงบนหิมะกรอบกรับในความเงียบเสียงนั้นเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตของลานหิมะที่แผ่ขยายอยู่รอบตัวฉันกอดกระเป๋าส่งอาหารแนบตัวแน่น เดินตามหลังชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีครามเข้มที่ปลิวลู่ตามแรงลมเบา ๆ อย่างสง่างามร่างสูงโปร่งของเขาเป็นเหมือนเส้นทางนำทางเดียวในโลกที่ไร้จุดหมายนี้ลมหิมะที่เคยเกรี้ยวกราด ราวกับโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ บัดนี้กลับสงบนิ่งอย่างประหลาด ราวกับธรรมชาติเองยังยอมสยบให้กับการปรากฏตัวของเขาหลงอวิ๋น — ฉันยังไม่รู้จักชื่อจริงของเขาในตอนนี้แต่ในใจของฉัน...ได้ตั้งชื่อให้เขาเงียบ ๆ ว่า "เจ้าชายน้ำแข็ง"เมื่อก้าวผ่านประตูวังเข้าไป...ฉันเผลออ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัวภายในวังน้ำแข็ง...ไม่ได้เยือกเย็นน่ากลัวเหมือนที่ฉันเคยจินตนาการเอาไว้เลยตรงกันข้าม — มันสวยงามจนแทบหยุดหายใจห้องโถงใหญ่เบื้องหน้าสูงเสียดเพดาน ราวกับแผ่นฟ้าถูกยกมาครอบวังแห่งนี้เสาหินน้ำแข็งบริสุทธิ์ตั้งตระหง่านแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างประณีต —มังกรน้ำแข็ง พันตัวลอยละลิ่วขึ้นไปสู่ความสูง ราวกับจะทะยานสู่ท้องฟ้าเพดานประดับด้วย คริสตัลน้ำแข็งนับพันแต่ละเม็ดเจียระไน
ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มยังคงจ้องฉันนิ่ง ๆ ไม่ไหวติง สายตาของเขาเย็นเยียบ ปราศจากอารมณ์เหมือนผืนน้ำแข็งโบราณที่ไม่เคยละลายตลอดกาลฉันยืนเกร็งอยู่ท่ามกลางลมหิมะที่กระหน่ำใส่ราวกับจะพัดฉันปลิวได้ทุกเมื่อกอดกล่องราเมนแนบอกไว้แน่นจนแทบจะฝังเข้าไปในร่าง ราวกับมันคือโล่ป้องกันตัวสุดท้ายที่ฉันมีในโลกใบนี้'ยิ้มเข้าไว้เอลาเรีย...อย่างน้อยก็ตายอย่างมีมารยาท...'ฉันพยายามยิ้มแหย ๆ แต่ริมฝีปากสั่นระริกจนแทบเก็บไม่อยู่ ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจได้ว่าจะหนีหรือสู้...เสียงฝีเท้าหนัก ๆ หลายคู่ก็ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงจากด้านหลังวังน้ำแข็งกึก กึก กึก กึก!ชายในชุดเกราะสีเงินวาววับวิ่งกรูออกมา เสียงเกราะกระทบกันดังแกรก ๆ ลั่นสะท้อนในอากาศเย็นจัดพวกเขาล้อมฉันไว้ในพริบตา ท่าทางแข็งกร้าวเหมือนหินน้ำแข็งที่ไม่มีวันแตก"บุกรุกพื้นที่หวงห้าม!"เสียงหนึ่งตะโกนกร้าว"จับตัวไว้!"อีกเสียงตะโกนซ้ำ ขณะที่มือข้างหนึ่งหยิบเชือกเวทย์ที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา"หาาาา?! เดี๋ยว ๆ ฉันแค่ส่งราเมนนะ!"ฉันโบกไม้โบกมือรัว ๆ จนกล่องราเมนแทบหลุดจากมือ พยายามถอยหลังหนีโดยไม่คิดชีวิตแต่พื้นหิมะลื่นอย่างร้ายกาจ เท้าที่จมหายอยู่ในห
ท่ามกลางทุ่งหิมะขาวโพลนที่แผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา ลมหิมะเย็นเฉียบพัดกรูใส่หน้าแบบไม่ปรานีเกล็ดหิมะละเอียดปลิวว่อนอยู่ในอากาศหนาแน่นจนแทบมองไม่เห็นเส้นขอบฟ้า ทุกย่างก้าวที่ฉันเดินเหมือนเหยียบลงไปในมหาสมุทรเย็นเยียบที่ไม่รู้จุดจบ"ฮ่าาา...อะไรกันเนี่ย..."ฉันกัดฟันแน่น เสียงลมหายใจของตัวเองกลายเป็นไอขาวพวยพุ่งออกมาเป็นจังหวะ ยกแขนปิดหน้าบังลม และก้าวเท้าออกไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นที่รวบรวมมาแทบหมดทั้งชีวิตข้างหลัง —ประตูเชื่อมต่อกับโลกเดิม ที่ครั้งหนึ่งยังมองเห็นเป็นบานประตูไม้ธรรมดา บัดนี้ค่อย ๆ เลือนหายไปเหมือนเงาฝันจาง ๆ ถูกลบหายไปกับหิมะเหมือนไม่เคยมีอยู่เลยตั้งแต่แรกทิ้งฉันไว้กลางโลกที่ไม่รู้จักตอนนี้...ฉันมีแค่ตัวเอง กับ...กล่องราเมนที่อบอุ่นในมือเท่านั้นมือข้างที่กอดกล่องไว้แน่นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเล็ก ๆมันเหมือนจุดไฟเล็ก ๆ ในทะเลน้ำแข็งนี้ กลิ่นหอมกรุ่นที่แทรกออกมาจากกล่อง ยังช่วยเตือนว่าฉันมีภารกิจ — มีเป้าหมาย — และยังมีอะไรบางอย่างที่ต้องไปให้ถึงเสียงลมหิมะพัดหวิวดังครืนครางอยู่รอบตัว — มันไม่ใช่แค่เสียงลมธรรมดา แต่ฟังดูเหมือนเสียงคำรามอันแผ่วเบาของบางสิ่งที่ซ่อน
ถนนสายเช้ายังคงว่างเปล่า มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านตรอกแคบ ๆ ที่ทอดยาวเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเร่งก้าวเท้าไปตามทาง ลมหายใจเปลี่ยนเป็นไอขาวลอยวูบวาบในอากาศหนาวเหน็บ ทั้งที่ปฏิทินบอกว่ากำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วแท้ ๆมือข้างหนึ่งกอดกระเป๋าส่งอาหารแน่น ขณะที่อีกข้างกำเสื้อแจ็กเก็ตไว้แน่นเพื่อกันลมที่เย็นเฉียบแทงทะลุเข้ามาในทุกอณูผิว‘Omnibite...นั่นไง’ฉันหยุดยืนหน้าร้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง — มันดูธรรมดาจนน่าเหลือเชื่อว่าที่นี่คือศูนย์กลางการส่งอาหารทะลุมิติป้ายหน้าร้านเป็นกระจกสีดำเรียบลื่น ไม่มีโลโก้ ไม่มีชื่อร้าน ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรใด ๆ ที่บอกว่านี่คืออะไร นอกจากเส้นสายแสงเงินบางเบาที่ไหลวูบไหวไปมาใต้ผิวกระจก ราวกับเป็นลมหายใจของบางสิ่งที่หลับใหลอยู่ภายในแสงนั้นสั่นระริก เหมือนเส้นทางของแม่น้ำบนท้องฟ้า พริบพรายอย่างเงียบงันในยามเช้ามืดฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ ก่อนจะยื่นมือออกไปผลักประตูกระจกเบา ๆ —ทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสบานประตู โลกทั้งใบก็เหมือนพลิกตัวไปอีกมิติหนึ่งประตูเปิดออกอย่างไร้เสียงแสงสีเงินจาง ๆ พร่างพรายออกมาและทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตู..."ยินดีต้อนรับสู่ Omnibite
เสียงหัวเราะเยาะ... เสียงซุบซิบกระซิบกระซาบ... และเสียงก่นด่าอันแสบแก้วหู ดังก้องสะท้อนอยู่ในความฝันอันพร่าเลือนเอลาเรีย เวลเลนไฮม์ ยืนโดดเดี่ยวอยู่กลางจัตุรัสเมืองเก่า ที่ครั้งหนึ่งเคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมปังสดใหม่และเสียงหัวเราะของผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชม ตลาดที่เคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเป็นเวทีประจานเย้ยหยันเธอยืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นสะท้านในเสื้อคลุมสีกรมท่าขาดรุ่งริ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มแห้งกรอบปิดใบหน้าที่สวยสด สายลมหนาวกรูกราวพัดกระโชกจนชายเสื้อของเธอสะบัดฟาดไปมาเหมือนธงแห่งความพ่ายแพ้ผู้คนมากมายรายล้อมเธอเป็นวงกลม แววตาที่เคยมองเธอด้วยความเลื่อมใส บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นสายตาแข็งกร้าว เคลือบด้วยความโกรธและความผิดหวังโต๊ะไพ่ตัวเดิมที่เธอเคยนั่งประจำ ถูกพลิกคว่ำกลางลานหิน เสียงไม้กระแทกพื้นดังกึกก้อง ไพ่ทาโรต์สีสดปลิวกระจัดกระจายไปตามแรงลม ราวกับนกน้อยที่สิ้นแรงบิน พร็อพเวทมนตร์—ลูกแก้วพยากรณ์ กระดิ่งเงิน และเครื่องรางสีหม่น—กระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้น เหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือสภาพแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่า "เอลาเรีย เวลเลนไฮม์ - หมอดูผู้หยั่งรู้โชคชะตา" ถูกเหยียบซ้ำแล้