Episode 06 ข้อเสนอ
ธีลินชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังอาคิราสวนกลับมาแบบนั้น เธออยากจะเข้าไปขยุ้มหัวเขาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้าง แต่จากสายตาของกายที่มองมาเหมือนพร้อมจะกำจัดเธออยู่ทุกเมื่อทำให้ไม่สามารถทำอย่างที่ใจคิดเอาไว้ได้
"งั้นฉันขอถอนคำพูดตอนนี้ทันไหมคะ"
"คิดว่าทันไหมล่ะ"
"ก็คิดว่าไม่ทันหรอกค่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องมาเป็นสาวใช้ให้มาเฟียจริงๆ คุณคิดว่าถ้าฉัน หรือคนอื่นๆ ที่มาทำงานก่อนหน้านี้รู้จะมีใครเต็มใจรับทำงานนี้จริงๆ งั้นเหรอคะ คิดว่าคนอื่นเขาไม่รักชีวิตตัวเองกันเหรอ ไม่คิดว่าเขาตั้งใจมาทำงานส่งเงินให้ที่บ้านบ้างเหรอ หรือคิดแค่ในมุมของตัวเองที่ไม่อยากให้ใครมารู้ความลับของคุณ แต่กลับพูดจาโจ่งแจ้งออกมาได้หน้าตาเฉยแบบนั้น" ธีลินพยายามควบคุมสติตัวเองอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้ ทั้งกลัว ทั้งโกรธที่เขาเจตนาให้เธอได้ยินอย่างตั้งใจ
"ฉันมีข้อเสนอให้เธอเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีจุดจบเหมือนสาวใช้คนก่อนๆ"
"ฉันเลือกที่จะไม่รับข้อเสนอได้ไหม"
"ไม่รับก็ได้ แต่ฉันก็ไม่รับประกันว่าการเลือกที่จะปฏิเสธข้อเสนอของฉันจะมีจุดจบแบบไหน"
"แบบนั้นไม่เรียกข้อเสนอค่ะ เรียกข้อบังคับ" ธีลินตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวถึงแม้จะกลัวจนใจสั่น แต่ก็พยายามทำใจดีสู้มาเฟียเอาไว้
"เธอก็แค่ต้องทำงานของเธอให้ครบตามกำหนดสัญญาเดิมเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรยากเลย" ธีลินคลี่ยิ้มบางๆ ออกมาถึงรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม
ไม่ยากแต่ไม่อยากทำแล้วนั่นคือประโยคแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของเธอ แต่คิดว่าไม่พูดออกไปคงจะดีกว่า
"ถ้าครบสัญญาฉันจะได้กลับไปแบบมีชีวิตรอดออกไปใช่ไหมคะ"
"อืม"
"ได้เงินค่าจ้างเหมือนเดิมด้วยใช่ไหมคะ" ไหนๆ ก็ตกกระไดพลอยโจนมาขนาดนี้แล้วก็ขอเอาเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นกำลังใจให้ทนทำงานที่นี่ต่อไปหน่อยแล้วกัน
"เพิ่มให้เป็นสองเท่า"
"ฮะ!" คนตัวเล็กตาโตด้วยความตกใจ อันนี้เขาเรียกเงินพิเศษค่าความเสี่ยงในการทำงานรึเปล่านะ "ฉันขอเซ็นสัญญาใหม่ด้วยนะคะ ฉันมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งคือฉันต้องมีชีวิตรอดปลอดภัยร่างกายครบสามสิบสองตลอดระยะเวลาทำงาน รวมไปถึงหลังหมดสัญญาว่าจ้างแล้วด้วย สองเรื่องค่าจ้างที่เพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อกี้ห้ามกลับคำทีหลังนะคะ จริงๆ ควรให้เป็นสามเท่าด้วยซ้ำการทำงานมีความเสี่ยงสูงขนาดนี้" ประโยคหลังธีลินแอบก้มหน้าพึมพำเบาๆ คนเดียว
"ตกลงเพิ่มค่าจ้างให้เป็นสามเท่า มึงไปจัดการร่างสัญญาใหม่มา" อาคิราตอบตกลง พร้อมกับเอ่ยบอกกายให้ไปดำเนินการเรื่องสัญญาการว่าจ้างใหม่ให้เรียบร้อย ถึงแม้กายจะไม่รู้ว่าเจ้านายของเขาคิดอะไรถึงได้ตัดสินใจทำแบบนี้ แต่เขาก็มีหน้าที่เพียงทำตามคำสั่งด้วยความภักดีเท่านั้น
"ครับนายน้อย"
ธีลินมองตามหลังกายที่เดินออกจากห้องไปด้วยความงุนงงว่าเรื่องทุกอย่างมันจะง่ายแค่นี้จริงๆ เหรอ อีกทั้งยังตาวาวกับจำนวนเงินค่าจ้างที่สูงเพิ่มขึ้นไปถึงสามเท่าตัว
"ง่ายๆ แค่นี้เลยเหรอคะ" ธีลินเอียงคอถามชายหนุ่มด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ เพราะตอนนี้ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาเปลี่ยนไปจากเดิมสิ้นเชิง
"อืม"
"ไม่มีกฎเกี่ยวกับวงการมาเฟียที่ฉันควรรู้เอาไว้บ้างเหรอคะ" ธีลินที่ถูกเลื่อนขั้นจากสาวใช้คนพิการมาเป็นสาวใช้มาเฟียตาบอดถามเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมกับตำแหน่งงานอันตรายของเธอ
"การไม่รู้อะไรนั่นแหละดีที่สุดแล้วสำหรับวงการนี้ ทำหน้าที่ของเธอไปก็พอ เรื่องอื่นไม่ใช่หน้าที่ของเธอ"
"ค่ะ"
ช่วงบ่ายวันเดียวกันกายเอาสัญญาฉบับใหม่มาให้ธีลินเซ็น เธออ่านรายละเอียดสัญญาอย่างละเอียดถี่ถ้วนกว่าฉบับแรกเสียอีก เพราะสัญญาฉบับนี้เป็นเหมือนตั๋วทองคุ้มกันภัยให้เธอมีชีวิตรอดกลับไป หลังจากสัญญาเป็นไปตามที่ตกลงกันเอาไว้เธอจึงยอมจรดปลายปากกาเซ็นชื่อตัวเองลงไปเป็นลายลักษณ์อักษร
"เรียบร้อยแล้วครับนายน้อย" กายบอก
"อืม"
กายนำเอกสารไปถือเอาไว้เพื่อนำไปจัดเก็บต่อไป ส่วนอาคิราก็ยืนขึ้นเตรียมตัวเดินไปไหนสักที่เขายื่นมือมาตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร ธีลินลอบถอนหายใจเรียกขวัญกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินไปวางมือลงบนฝ่ามือหนาเพื่อนำทางให้เขา
"นายน้อยจะไปไหนคะ" ธีลินเอ่ยถามเพราะไม่รู้ว่าเขาจะให้เธอพาไปไหน
"ห้องใต้ดิน"
"แต่ว่าห้องใต้ดินมัน..." เธอชะงักไปเพราะห้องใต้ดินเป็นหนึ่งในพื้นที่หวงห้ามที่เขาไม่อนุญาตให้เธอเข้าไป
"ถ้ารู้เรื่องนั้นแล้ว ห้องใต้ดินก็ไม่ใช่ความลับสำหรับเธออีกต่อไปแล้วละ"
"แต่การรู้น้อยก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ ไม่ลงไปได้ไหมคะ" ธีลินพยายามต่อรอง แค่รู้เรื่องที่เขาเป็นมาเฟียยังเกือบขิตเอาชีวิตไม่รอด ถ้าไปรู้ว่ามาเฟียเขาทำอะไรกันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก
"สัญญาใหม่ไม่ได้มีข้อไหนที่ระบุว่าเธอสามารถขัดคำสั่งฉันได้นะ" ธีลินยู่หน้าใส่อีกฝ่ายด้วยความมันเขี้ยว ก่อนจะจำใจพาเขาไปยังห้องใต้ดิน
ตอนเป็นนายจ้างธรรมดาเธอก็แทบไม่มีปากมีเสียงอยู่แล้ว ตอนนี้นายจ้างของเธอยังเป็นมาเฟียฆ่าคนเป็นผักปลาจะให้เธอไปสู้อะไรเขาได้
หัวใจดวงน้อยเต้นกระหน่ำทุกย่างก้าวที่เดินลึกลงไปภายในห้องใต้ดินที่มีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนาหากจะเข้าไปต้องใช้ทั้งรหัส และลายนิ้วมือของอาคิราเพื่อเปิดทาง
"ระวังนะคะมันมืดมากเลย"
"แล้วถ้าสว่างฉันจะมองเห็นใช่ไหม"
ธีลินหันมามองมาเฟียหนุ่มที่ตอบกลับมา เพราะความประหม่าเลยทำให้เธอลืมไปว่าเขามองไม่เห็น ด้านล่างมีกระบอกปืนอยู่จำนวนหนึ่งอีกทั้งยังมีสนามมวย และอุปกรณ์ในการใช้ต่อสู้อื่นๆ อีกมากมาย แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนห้องเชือดเสียมากกว่า
กลุ่มชายกำยำที่เดินตามลงมาจำนวนหนึ่งทำให้ธีลินตกใจเผลอออกแรงบีบมืออาคิราเอาไว้แน่น เธอมองแต่ละคนด้วยความหวาดกลัว ทว่าพวกเขากลับมีเพียงใบหน้าไร้อารมณ์ยามมองมาที่เธอเท่านั้น
ทั้งที่อยากถามว่าลงมาทำอะไรข้างล่างในสถานที่ที่ทั้งน่ากลัว และอึดอัดจนหายใจไม่ทั่วท้องแบบนี้ แต่เธอก็ไม่กล้าเอ่ยถามออกไป ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเงยหน้ามองใครในห้องนี้เลยด้วยซ้ำ
อาคิราที่สัมผัสได้ถึงแรงบีบ และมือที่สั่นระริกของหญิงสาวรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เธอรู้สึกหวาดกลัวขนาดไหน
"ฉันอยู่ใครก็ทำอะไรเธอไม่ได้"
บทส่งท้ายสิ่งแรกที่คาร์ลินทำหลังจากกลับมาจากอิตาลีคือการตรงไปหาเฟลิกซ์ ซึ่งแน่นอนว่าเธอได้ขออนุญาตเจโรมก่อนมาแล้ว และเขาเองก็นั่งรอเธออยู่ที่ด้านนอก“ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์มาหากันนะ” เฟลิกซ์ทักทายร่างบางที่เดินเข้ามาหาเขาภายในห้องทำงานที่กาสิโนพร้อมแหวนเพชรเม็ดโตบนนิ้วนางข้างซ้าย“ฉันก็ต้องมาหาอยู่แล้วสิ”“ตอบตกลงไปแล้วฉันจะมีค่าอะไรอีก”“ขี้น้อยใจจัง เดี๋ยวหาสวยๆ ให้เอาไหม”“ถ้าแค่เป็นผู้หญิงสวยๆ ก็พอ ฉันหาใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องรอลินมานานขนาดนี้หรอก”“เพราะรู้ว่านายรอวันนี้ถึงได้ตั้งใจมาบอกไม่ให้รอไง คนดีๆ แบบนายสมควรได้เจอคนดีๆ นะ ฉันไม่เหมาะสมกับนายหรอก” คาร์ลินพยายามปลอบโยนเฟลิกซ์เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเธอกับเขาเอาไว้"ทำไมถึงเป็นมัน ทำไมไม่เป็นฉัน ลินรับปากฉันแล้วนี่ว่าจะหย่ากับมัน”“เพราะไม่อยากผิดคำพูดที่รับปากไว้ฉันเลยหย่ากับเขาแล้ว” คาร์ลินบอกพร้อมกับหยิบเอกสารการหย่าออกมาจากกระเป๋าให้เฟลิกซ์ดู
Episode 36 สัญญาตายและดูเหมือนว่าทั้งสองคนเองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าคาร์ลินกำลังรอคำตอบจากพวกเขาทั้งสองคน ถึงได้เอ่ยปากพูดขัดจังหวะขึ้นมา“มองหน้าป๊ะป๋าเหมือนจะมีคำถามนะ”“เราสองคนพ่อลูกแค่มองตาก็รู้ใจแล้วไม่ใช่เหรอคะ งั้นก็ตอบมาเลยสิคะไม่เห็นต้องรอให้ถามเลย” คาร์ลินบอกกับอาคิรา“แค่อยากมาอยู่ในทุกช่วงชีวิตของลูกน่ะ”“แล้วป๊ะป๋าไม่มีความคิดเห็นเรื่องเจโรมกับหนูหน่อยเหรอคะ”“โตแล้วตัดสินใจเองสิ ถึงจะหวงมากแต่ก็ทำได้แค่คอยปกป้องอยู่ห่างๆ เพราะตอนนี้ลูกสาวพ่อโตแล้ว”“ทำไมไม่บอกเจ๊ไปด้วยว่าพ่อให้พี่สาวเขา กับเขาเซ็นสัญญายินยอมตายหากทำให้เจ๊เสียใจ” อาคินพูดแทรกขึ้นพร้อมกับชูสัญญาที่พึ่งเซ็นมาหมาดๆ ในมือ“ว่าไงนะ!”“อย่างโหด/โหดฉิบหายเลย” ไม่ใช่แค่คาร์ลินที่ส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ทั้งเม็ดฝุ่น และเซเวียร์ซึ่งไม่คุ้นชินกับวงการมืดของเหล่ามาเฟียต่างก็พากันตกใจไปตามๆ กันอาคินเองก็ช่วยให้ทั้งสองคนได้เห็นอะไรแปลกใหม่โดยการหยิบสัญญาส่งให้เม็ดฝุ่นกับเซเวียร์ดู“สีแดงๆ ที่ใช้ประทับรอยนิ้วมือนี่อย่าบอกนะว่า...”“เลือด” คำตอบจากน้ำเสียงทุ้มของอาคินทำเอาเม็ดฝุ่นตัวหดเหลือเพียงคืบเท่านั้น
Episode 35 เซอร์ไพรส์เป็นอีกหนึ่งในหลายครั้งที่เธอมักจะมองลึกไปในดวงตาของเขาเพื่อรอคำตอบที่มันสะท้อนออกมาเพื่อยืนยันคำตอบของเขาว่าจริงเท็จมากแค่ไหน“พูดไปเธอก็คงจะไม่เชื่อ”“ก็พูดมาก่อนสิ เพราะฉันอยากฟังไม่ว่าคำตอบมันจะจริง หรือเป็นแค่เรื่องโกหกก็ตาม”“ฉัน...”“คุณลูกค้ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ” คาร์ลินกลอกตาขึ้นบนด้วยความหงุดหงิดที่ถูกพนักงานส่งเสียงขัดจังหวะเสียก่อนเธอรีบจัดการเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินนำเจโรมออกไป เธอยืนสบตากับพนักงานที่รบกวนช่วงเวลาสำคัญเธอครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงเดินถือชุดที่ลองไปวางลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน เจโรมเดินตามออกมาจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย พร้อมกับจัดแจงนำของไปส่งยังโรงแรมที่เขาจองเอาไว้“ไม่ฟังฉันตอบก่อนเหรอ”“ไม่มีอารมณ์จะฟังแล้ว”“งั้นอยากฟังเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” เขาบอกพร้อมกับบีบแก้มนุ่มนิ่มด้วยความมันเขี้ยว “ไปหาข้าวกินกันไหม หรือจะกลับไปกินที่โรงแรม”“ไปกินที่โรงแรมดีกว่าเหนื่อยแล้ว”“ยืนเฉยๆ ก็เหนื่อยด้วยเหรอ”คาร์ลินหันมามองอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ เธอดึงแขนเขามาคล้องเอาไว้ ก่อนจะพากันเดินกลับไปที่รถเพื่อกลับยังโรงแรมหลังจากเข้าพักท
Episode 34 รื้อฟื้นความหลังสายตาหวานเยิ้มมองการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผ่านกระจกสะท้อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงลูบไล้เนินสามเหลี่ยมอวบนูนไปมาจนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหวานที่ถูกกระตุ้นออกมา“ไหนว่าไม่ให้จับ” อีกฝ่ายเอ่ยแซวย้อนคำพูดของหญิงสาวที่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้“ก็ตอนนั้นยังไม่อยากนี่” คนตัวเล็กตอบตาใส ไม่ได้รู้สึกกระดากอายที่ถูกยอกย้อนเลยแม้แต่น้อย“หืม อยากอะไร” เจโรมแกล้งเอ่ยถามทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว หนำซ้ำยังยิ่งกลั่นแกล้งเธอด้วยการดันเอาปลายนิ้วเรียวยาวเข้าไปทักทายปากช่องทางรักเปียกชื้นของคนตัวเล็กจนร่างบางบิดเกร็งไปมาใบหน้าหวานเหยเกไปตามสัญชาตญาณ ยิ่งเธอตอบช้ามากเท่าไหร่ปลายนิ้วร้ายก็ยิ่งดันเข้าไปลึกมากขึ้นเท่านั้น“ตกลงอยากอะไรไม่เห็นพูด” ยิ่งคนตัวเล็กพยายามกลั้นเสียงครางกระเส่าเอาไว้ อีกฝ่ายก็ยิ่งกระตุ้นแกล้งให้เธอเปล่งเสียงออกมา“อะ...อยากได้”“อยากได้อะไร”“อยากได้แรงๆ ได้ไหม” ประโยคคำตอบกลับที่เต็มไปด้วยความออดอ้อน และมารยาของคนตัวเล็กทำเอาเจโรมอดที่จะเอ็นดูตอบสนองต่อคำขอของเธอไม่ได้“งั้นก็ต้องเก็บเสียงดีๆ นะ” เขาโน้มมากระซิบข้างเรือ
Episode 33 ฮันนีมูนคาร์ลินมองปลายทางที่เครื่องลงจอดยังประเทศอิตาลีด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะพาเธอมาไกลถึงขนาดนี้ ที่สำคัญเธอยังไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยต่างหาก“กระเป๋าฉันล่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามหากระเป๋าสะพายคู่ใจที่มีของสำคัญของเธออยู่ในนั้นหลายอย่างทั้งเอกสาร โทรศัพท์ และบัตรเครดิตต่างๆ“เก็บเอาไว้ให้แล้ว เราจะไม่ใช้โทรศัพท์กันตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่”“แล้วทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ ตกลงลักพาตัวฉันมาทำไม” คนตัวเล็กกระแนะกระแหนอย่างไม่เกรงกลัวสถานการณ์ในตอนนี้เลย“แค่จะพาเมียมาฮันนีมูนนี่เรียกลักพาตัวเลยเหรอ ไม่ดูรุนแรงเกินไปหน่อยรึไง” เจโรมแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำถูกกล่าวหาให้ความเท็จ“ฮันนีมูน?”“ใช่ เราจะมาฮันนีมูนกันที่นี่ ที่นี่จะมีแค่เราสองคน”คำตอบที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจากริมฝีปากหยักได้รูปทำเอาคาร์ลินชะงักไปครู่หนึ่ง หัวใจดวงน้อยเผลอเต้นผิดจังหวะเพียงแค่ปล่อยใจจินตนาการภาพเธอกับเขาฮันนีมูนด้วยกันในหัว“เราจะเริ่มจากการไปช็อปปิงกันก่อน เพราะเธอไม่ได้เอาอะไรมาเลย ดีไหม?”“คุณจ่าย?”“แน่นอนสิ ฉันต้องเป็นคนจ่ายอยู่แล้ว แล้วฉันก็จะตามใจเธอทุกอย่างด้วย”
Episode 32 ลักพาตัวหน้าตาที่โดดเด่นบวกกับการแต่งตัวที่เน้นเรือนร่างที่สมส่วนตามมาตรฐานทำให้แม้จะนั่งดื่มอยู่เฉยๆ แต่ก็มีผู้ชายมากมายให้ความสนใจอยากเข้ามาทำความรู้จักกับเธอ“สวัสดีครับมาคนเดียวเหรอ”คาร์ลินเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมากระซิบข้างหูเธอท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังแข่ง เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่ยกแก้วตัวเองขึ้นจิบแทนทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับเธอ ยิ่งเห็นหน้าเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เพราะสีผมบลอนด์ทองของเขามันทำให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เธอกำลังบ่นถึงเมื่อครู่“ผมชื่อ...”“ฉันไม่ได้อยากรู้จัก” คาร์ลินถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญ ก่อนจะพูดดักอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์“ดูเหมือนคุณจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”“เพราะเห็นหน้าคุณไงเลยอารมณ์ไม่ค่อยดี” คำตอบที่ไร้ซึ่งมิตรภาพสำหรับคนแปลกหน้า ทำให้อีกฝ่ายเองก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่มีคนเข้ามาช่วยห้ามไม่ให้เรื่องบานปลายเอาไว้เสียก่อน“เขาไม่อยากคุยด้วยก็รีบไสหัวไปดีกว่า” น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังแทรกขึ้นทำให้มือที่กำลังจะกระดกแก้วเครื่องดื่มเข้าปากชะงักไป เธอมองเจ้าของมือที่นั่งลงโอบเอวเธอเอาไว้ด้วยสายตาราบ