Episode 07 อีกด้านของมาเฟีย
ถึงแม้ประโยคที่ฟังดูเหมือนจะคุ้มกันภัยเธอได้ แต่ธีลินกลับรู้สึกว่าเขาอันตรายที่สุดในบรรดาพวกผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว
ธีลินปล่อยมือออกจากมือหนาส่วนเขาก็ค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าเพียงลำพังอย่างใจเย็น โดยมีสายตาหลายสิบคู่จับจ้องมองมาที่อาคิราจนเธอที่มองเห็นสายตาพวกนั้นรู้สึกขนลุกแทนเขา
ชายคนหนึ่งเดินออกจากแถวตรงไปหาอาคิรา ขณะที่คนอื่นกระจายแถวออกล้อมเป็นวงกลมทำให้เธอเป็นหนึ่งในคนที่ติดอยู่ภายในด้วย เธอพยายามประเมินสถานการณ์ด้วยความระมัดระวัง ในสถานการณ์แบบนี้เธอจะไว้ใจคนตาบอดอย่างเขาได้จริงๆ งั้นเหรอ?
"คุณคราม!!!" ธีลินกรีดร้องออกมาเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ผู้ชายที่เดินนำเข้าไปคนแรกก็เหวี่ยงหมัดใส่อาคิราที่ยืนอยู่ แต่เขาก็เบี่ยงตัวหลบได้ทันเพียงเสี้ยววินาที
เธอยกมือขึ้นปิดปากเก็บเสียงของตัวเองเอาไว้มองดูอาคิราค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น เขายื่นมือออกมาตรงหน้าเพื่อควานหาคู่ต่อสู้จังหวะนั้นเองที่อีกฝ่ายจับข้อมือของเขากระชากเข้ามาเตรียมปล่อยหมัดใส่ แต่อาคิรากลับจับอีกฝ่ายทุ่มลงพื้นอย่างง่ายดายจนธีลินอ้าปากค้างตกตะลึงกับความสามารถของเขาที่แม้กระทั่งมองไม่เห็นยังสามารถจัดการกับคู่ต่อสู้ได้ เมื่อคนแรกพ่ายแพ้ไปคนที่สองสามก็ตามเข้ามาสมทบ
อาคิราต่อสู้กับอีกฝ่ายโดยใช้เพียงสัมผัสจากเสียงที่ดังอยู่รอบๆ กายเท่านั้น จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเสียหลักล้มลงให้กับคู่ต่อสู้ ธีลินมองดูเขาด้วยความเป็นห่วงถึงแม้เขาจะสามารถจัดการกับคนก่อนๆ ที่ผ่านมาได้ แต่การมารุมทีละหลายๆ คนทำให้มาเฟียหนุ่มเริ่มเสียสมาธิ
ซีกหน้าคมคายถูกหมัดหนักๆ ซัดลงจังหวะที่เขากำลังลุกขึ้นทำให้เสียหลักล้มลงไปอีกครั้ง เขายกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่ปากอย่างไม่จริงจังนัก แต่การที่เขาล้มลงไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายมีทีท่าว่าจะหยุด ทำให้ธีลินทนไม่ไหวรีบวิ่งไปผลักผู้ชายพวกนั้นออกให้พ้นจากรัศมีของชายหนุ่ม
"พอได้แล้ว!"
ทว่าการกระทำของเธอทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนสิ้นคิดขึ้นมาในทันที เมื่อเป้าหมายถูกเปลี่ยนมาที่เธอแทน เธอมองกลุ่มผู้ชายที่เดินเข้ามาหาเธอขณะประคองอาคิราขึ้นมาด้วยร่างกายที่สั่นเกร็ง
"ไหนคุณบอกว่ามีคุณอยู่ไม่มีใครทำอะไรฉันได้ไง พะ…พวกนั้นจะเข้ามาแล้วนะ ทำอะไรหน่อยสิ" ธีลินเอียงใบหน้าไปกระซิบเบาๆ ข้างหูชายหนุ่ม พลางกระตุกแขนรบเร้าขอความช่วยเหลือจากเขาด้วยความหวาดกลัว
"วันนี้พอแค่นี้"
"ครับนายน้อย"
สิ้นสุดคำสั่งของอาคิรากลุ่มชายร่างกำยำก็พากันทยอยเดินออกไปทีละคนจนภายในห้องใต้ดินเหลือเพียงแค่เขากับเธอสองคน
"ถ้าขี้ขลาดขนาดนั้นจะวิ่งพรวดพราดเข้ามาทำไม"
"ก็ใครจะไปรู้ล่ะถ้าพวกนั้นฆ่าคุณขึ้นมาจริงๆ ล่ะ" ธีลินผ่อนลมหายใจออกมาเต็มปอดเมื่อในห้องไม่มีใครแล้ว
"ฉันตายไปก็เข้าทางเธอไม่ใช่เหรอ"
"ฉัน…ฉันกลัวคุณตายแล้วไม่ได้ค่าจ้างต่างหาก"
"ไม่ต้องห่วงถ้าฉันตายก่อนยังไงเธอก็ได้ค่าจ้างตามที่ทำสัญญาไว้ แต่ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอก เพราะฉันยังใช้งานไม่ทันคุ้มค่าตัวเธอเลย" อาคิราบอกพลางจับมือเล็กขึ้นมาสูดดมราวกับฆาตกรโรคจิตจนธีลินรู้สึกขนลุกชันในทันที
"ต่อให้ตายก็ต้องจ่ายสามเท่านะคะ" ธีลินรีบดึงมือออกพร้อมกับพยายามเบี่ยงประเด็น "เจ็บไหม ไปหาหมอไหมคะ" เธอหันกลับมาเห็นคราบเลือดบนใบหน้าของเขาจึงเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในกระเป๋ามาซับเลือดให้อย่างเบามือ
อาคิราไม่ตอบอะไรกลับมาเขายืนนิ่งให้คนตัวเล็กซับเลือดให้ทั้งที่ปกติแล้วเขาแทบจะไม่เคยสนใจแผลเพียงเล็กน้อยแค่นี้เลยด้วยซ้ำ
"ทำไมถึงปล่อยให้พวกเขาทำแบบนั้นล่ะ"
"เธอว่าคนที่จะดูแลเธอได้ดีที่สุดคือใครถ้าไม่ใช่ตัวเอง ถ้าฉันไม่เรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดป่านนี้ฉันตายไปนานแล้วคงไม่ใช่แค่มองไม่เห็น"
"อย่าบอกนะว่า…"
"โดนสะเก็ดระเบิด"
คำตอบสั้นๆ ของอาคิราทำให้ธีลินเงียบไป เธอเงยหน้ามองดวงตาเลื่อนลอยของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเห็นใจที่เขาต้องแบกรับหน้าที่อันตรายนี้เอาไว้ถึงแม้นี่จะเป็นเส้นทางที่เขาเลือกเองก็ตาม ลำพังคนธรรมดาแค่ต้องใช้ชีวิตในความมืดก็ยากอยู่แล้ว แต่เขากลับต้องอยู่ในความมืดภายใต้ความอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่
"ไปหาหมอไหมคะ"
"ไม่ต้อง"
"งั้นขึ้นไปทำแผลข้างบนกันเถอะค่ะ" ธีลินบอกพร้อมกับประคองอาคิราขึ้นไปด้านบน
เธอเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้เขาที่ห้องนั่งเล่น ธีลินตั้งใจทำแผลให้เขาอย่างชำนาญจนมาเฟียหนุ่มเกิดคำถาม
"ทำให้คนอื่นบ่อยเหรอ?"
"คงงั้นมั้งคะ ทำวันเว้นวันเลยก็ได้มั้ง"
"ทำให้ใคร"
"ตัวเองบ้าง น้องชายบ้าง ส่วนใหญ่ก็น้องชายค่ะวัยรุ่นเลือดร้อนชอบไปตีกับคนอื่นเขา" ธีลินเล่าเรื่องราวที่ไม่น่ายินดีเหล่านี้ออกมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ เพราะเธอรู้ดีว่าน้องชายเธอต่อยตีไปเพื่ออะไร
"เธอดูมีความสุขที่น้องชายเป็นนักเลงนะ ให้มาทำงานกับฉันไหมล่ะ?"
"ต่อยกับพ่อเลี้ยงกับเป็นลูกน้องมาเฟียมันต่างกันค่ะ ถึงน้องฉันมันจะชอบกวนประสาทไปบ้าง แต่ฉันก็อยากให้เขาอยู่รอดโตไปอย่างปลอดภัย" ธีลินปฏิเสธคำชวนของอาคิราแบบติดตลกราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
"ทำไมต้องไปต่อยกับพ่อเลี้ยง"
"ก็เขาเป็นคนไม่ดีไงคะ ถ้าดีก็คงไม่ถูกต่อย"
"งั้นฉันโดนสะเก็ดระเบิดโดนคนหมายหัวอยู่ทุกวันก็คงเลวในสายตาเธอเหมือนกันใช่ไหม"
"ให้ตอบตามความเป็นจริงหรือตอบเพราะหน้าเงินคะ ฉันมีให้สองคำตอบ"
"งั้นฉันฟังทั้งสองคำตอบ"
"ให้แค่คำตอบเดียวค่ะ" ธีลินบอกขณะเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่องยา
"งั้นฉันเลือกตามความจริง"
"ก็ใช่ค่ะ ขึ้นชื่อว่ามาเฟียคงไม่ใช่คนดีหรอก"
"งั้นเธอก็ต้องกลัวฉันให้มากๆ สิ ไม่ใช่ทำเหมือนไม่กลัวฉันแบบนี้" มาเฟียหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
"ใครบอกว่าฉันไม่กลัวคุณคะ มีใครบ้างอยู่ใกล้มาเฟียแล้วจะไม่กลัว เพียงแต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่นเท่านั้นเอง ถ้ามีตัวเลือกให้ฉันไปจากตรงนี้ได้…ฉันก็จะไป"
"แล้วถ้าฉันไม่ให้เธอไปล่ะ?"
บทส่งท้ายสิ่งแรกที่คาร์ลินทำหลังจากกลับมาจากอิตาลีคือการตรงไปหาเฟลิกซ์ ซึ่งแน่นอนว่าเธอได้ขออนุญาตเจโรมก่อนมาแล้ว และเขาเองก็นั่งรอเธออยู่ที่ด้านนอก“ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์มาหากันนะ” เฟลิกซ์ทักทายร่างบางที่เดินเข้ามาหาเขาภายในห้องทำงานที่กาสิโนพร้อมแหวนเพชรเม็ดโตบนนิ้วนางข้างซ้าย“ฉันก็ต้องมาหาอยู่แล้วสิ”“ตอบตกลงไปแล้วฉันจะมีค่าอะไรอีก”“ขี้น้อยใจจัง เดี๋ยวหาสวยๆ ให้เอาไหม”“ถ้าแค่เป็นผู้หญิงสวยๆ ก็พอ ฉันหาใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องรอลินมานานขนาดนี้หรอก”“เพราะรู้ว่านายรอวันนี้ถึงได้ตั้งใจมาบอกไม่ให้รอไง คนดีๆ แบบนายสมควรได้เจอคนดีๆ นะ ฉันไม่เหมาะสมกับนายหรอก” คาร์ลินพยายามปลอบโยนเฟลิกซ์เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างเธอกับเขาเอาไว้"ทำไมถึงเป็นมัน ทำไมไม่เป็นฉัน ลินรับปากฉันแล้วนี่ว่าจะหย่ากับมัน”“เพราะไม่อยากผิดคำพูดที่รับปากไว้ฉันเลยหย่ากับเขาแล้ว” คาร์ลินบอกพร้อมกับหยิบเอกสารการหย่าออกมาจากกระเป๋าให้เฟลิกซ์ดู
Episode 36 สัญญาตายและดูเหมือนว่าทั้งสองคนเองก็รู้ตัวเหมือนกันว่าคาร์ลินกำลังรอคำตอบจากพวกเขาทั้งสองคน ถึงได้เอ่ยปากพูดขัดจังหวะขึ้นมา“มองหน้าป๊ะป๋าเหมือนจะมีคำถามนะ”“เราสองคนพ่อลูกแค่มองตาก็รู้ใจแล้วไม่ใช่เหรอคะ งั้นก็ตอบมาเลยสิคะไม่เห็นต้องรอให้ถามเลย” คาร์ลินบอกกับอาคิรา“แค่อยากมาอยู่ในทุกช่วงชีวิตของลูกน่ะ”“แล้วป๊ะป๋าไม่มีความคิดเห็นเรื่องเจโรมกับหนูหน่อยเหรอคะ”“โตแล้วตัดสินใจเองสิ ถึงจะหวงมากแต่ก็ทำได้แค่คอยปกป้องอยู่ห่างๆ เพราะตอนนี้ลูกสาวพ่อโตแล้ว”“ทำไมไม่บอกเจ๊ไปด้วยว่าพ่อให้พี่สาวเขา กับเขาเซ็นสัญญายินยอมตายหากทำให้เจ๊เสียใจ” อาคินพูดแทรกขึ้นพร้อมกับชูสัญญาที่พึ่งเซ็นมาหมาดๆ ในมือ“ว่าไงนะ!”“อย่างโหด/โหดฉิบหายเลย” ไม่ใช่แค่คาร์ลินที่ส่งเสียงร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ทั้งเม็ดฝุ่น และเซเวียร์ซึ่งไม่คุ้นชินกับวงการมืดของเหล่ามาเฟียต่างก็พากันตกใจไปตามๆ กันอาคินเองก็ช่วยให้ทั้งสองคนได้เห็นอะไรแปลกใหม่โดยการหยิบสัญญาส่งให้เม็ดฝุ่นกับเซเวียร์ดู“สีแดงๆ ที่ใช้ประทับรอยนิ้วมือนี่อย่าบอกนะว่า...”“เลือด” คำตอบจากน้ำเสียงทุ้มของอาคินทำเอาเม็ดฝุ่นตัวหดเหลือเพียงคืบเท่านั้น
Episode 35 เซอร์ไพรส์เป็นอีกหนึ่งในหลายครั้งที่เธอมักจะมองลึกไปในดวงตาของเขาเพื่อรอคำตอบที่มันสะท้อนออกมาเพื่อยืนยันคำตอบของเขาว่าจริงเท็จมากแค่ไหน“พูดไปเธอก็คงจะไม่เชื่อ”“ก็พูดมาก่อนสิ เพราะฉันอยากฟังไม่ว่าคำตอบมันจะจริง หรือเป็นแค่เรื่องโกหกก็ตาม”“ฉัน...”“คุณลูกค้ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ” คาร์ลินกลอกตาขึ้นบนด้วยความหงุดหงิดที่ถูกพนักงานส่งเสียงขัดจังหวะเสียก่อนเธอรีบจัดการเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเดินนำเจโรมออกไป เธอยืนสบตากับพนักงานที่รบกวนช่วงเวลาสำคัญเธอครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงเดินถือชุดที่ลองไปวางลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน เจโรมเดินตามออกมาจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย พร้อมกับจัดแจงนำของไปส่งยังโรงแรมที่เขาจองเอาไว้“ไม่ฟังฉันตอบก่อนเหรอ”“ไม่มีอารมณ์จะฟังแล้ว”“งั้นอยากฟังเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกัน” เขาบอกพร้อมกับบีบแก้มนุ่มนิ่มด้วยความมันเขี้ยว “ไปหาข้าวกินกันไหม หรือจะกลับไปกินที่โรงแรม”“ไปกินที่โรงแรมดีกว่าเหนื่อยแล้ว”“ยืนเฉยๆ ก็เหนื่อยด้วยเหรอ”คาร์ลินหันมามองอีกฝ่ายด้วยความหมั่นไส้ เธอดึงแขนเขามาคล้องเอาไว้ ก่อนจะพากันเดินกลับไปที่รถเพื่อกลับยังโรงแรมหลังจากเข้าพักท
Episode 34 รื้อฟื้นความหลังสายตาหวานเยิ้มมองการเคลื่อนไหวของชายหนุ่มผ่านกระจกสะท้อนตรงหน้าด้วยความรู้สึกเสียวซ่าน เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือลงลูบไล้เนินสามเหลี่ยมอวบนูนไปมาจนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำหวานที่ถูกกระตุ้นออกมา“ไหนว่าไม่ให้จับ” อีกฝ่ายเอ่ยแซวย้อนคำพูดของหญิงสาวที่เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้“ก็ตอนนั้นยังไม่อยากนี่” คนตัวเล็กตอบตาใส ไม่ได้รู้สึกกระดากอายที่ถูกยอกย้อนเลยแม้แต่น้อย“หืม อยากอะไร” เจโรมแกล้งเอ่ยถามทั้งที่ตัวเขาเองก็รู้คำตอบอยู่แล้ว หนำซ้ำยังยิ่งกลั่นแกล้งเธอด้วยการดันเอาปลายนิ้วเรียวยาวเข้าไปทักทายปากช่องทางรักเปียกชื้นของคนตัวเล็กจนร่างบางบิดเกร็งไปมาใบหน้าหวานเหยเกไปตามสัญชาตญาณ ยิ่งเธอตอบช้ามากเท่าไหร่ปลายนิ้วร้ายก็ยิ่งดันเข้าไปลึกมากขึ้นเท่านั้น“ตกลงอยากอะไรไม่เห็นพูด” ยิ่งคนตัวเล็กพยายามกลั้นเสียงครางกระเส่าเอาไว้ อีกฝ่ายก็ยิ่งกระตุ้นแกล้งให้เธอเปล่งเสียงออกมา“อะ...อยากได้”“อยากได้อะไร”“อยากได้แรงๆ ได้ไหม” ประโยคคำตอบกลับที่เต็มไปด้วยความออดอ้อน และมารยาของคนตัวเล็กทำเอาเจโรมอดที่จะเอ็นดูตอบสนองต่อคำขอของเธอไม่ได้“งั้นก็ต้องเก็บเสียงดีๆ นะ” เขาโน้มมากระซิบข้างเรือ
Episode 33 ฮันนีมูนคาร์ลินมองปลายทางที่เครื่องลงจอดยังประเทศอิตาลีด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะพาเธอมาไกลถึงขนาดนี้ ที่สำคัญเธอยังไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยต่างหาก“กระเป๋าฉันล่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถามหากระเป๋าสะพายคู่ใจที่มีของสำคัญของเธออยู่ในนั้นหลายอย่างทั้งเอกสาร โทรศัพท์ และบัตรเครดิตต่างๆ“เก็บเอาไว้ให้แล้ว เราจะไม่ใช้โทรศัพท์กันตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่”“แล้วทำไมฉันต้องอยู่ที่นี่ ตกลงลักพาตัวฉันมาทำไม” คนตัวเล็กกระแนะกระแหนอย่างไม่เกรงกลัวสถานการณ์ในตอนนี้เลย“แค่จะพาเมียมาฮันนีมูนนี่เรียกลักพาตัวเลยเหรอ ไม่ดูรุนแรงเกินไปหน่อยรึไง” เจโรมแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับตัวเองเป็นผู้ถูกกระทำถูกกล่าวหาให้ความเท็จ“ฮันนีมูน?”“ใช่ เราจะมาฮันนีมูนกันที่นี่ ที่นี่จะมีแค่เราสองคน”คำตอบที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนจากริมฝีปากหยักได้รูปทำเอาคาร์ลินชะงักไปครู่หนึ่ง หัวใจดวงน้อยเผลอเต้นผิดจังหวะเพียงแค่ปล่อยใจจินตนาการภาพเธอกับเขาฮันนีมูนด้วยกันในหัว“เราจะเริ่มจากการไปช็อปปิงกันก่อน เพราะเธอไม่ได้เอาอะไรมาเลย ดีไหม?”“คุณจ่าย?”“แน่นอนสิ ฉันต้องเป็นคนจ่ายอยู่แล้ว แล้วฉันก็จะตามใจเธอทุกอย่างด้วย”
Episode 32 ลักพาตัวหน้าตาที่โดดเด่นบวกกับการแต่งตัวที่เน้นเรือนร่างที่สมส่วนตามมาตรฐานทำให้แม้จะนั่งดื่มอยู่เฉยๆ แต่ก็มีผู้ชายมากมายให้ความสนใจอยากเข้ามาทำความรู้จักกับเธอ“สวัสดีครับมาคนเดียวเหรอ”คาร์ลินเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่โน้มใบหน้าหล่อเหลาลงมากระซิบข้างหูเธอท่ามกลางเสียงเพลงที่ดังแข่ง เธอไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่ยกแก้วตัวเองขึ้นจิบแทนทำราวกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุสำหรับเธอ ยิ่งเห็นหน้าเขาเธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เพราะสีผมบลอนด์ทองของเขามันทำให้เธอนึกถึงใครบางคนที่เธอกำลังบ่นถึงเมื่อครู่“ผมชื่อ...”“ฉันไม่ได้อยากรู้จัก” คาร์ลินถอนหายใจออกมาด้วยความรำคาญ ก่อนจะพูดดักอีกฝ่ายอย่างไม่สบอารมณ์“ดูเหมือนคุณจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ”“เพราะเห็นหน้าคุณไงเลยอารมณ์ไม่ค่อยดี” คำตอบที่ไร้ซึ่งมิตรภาพสำหรับคนแปลกหน้า ทำให้อีกฝ่ายเองก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก แต่โชคดีที่มีคนเข้ามาช่วยห้ามไม่ให้เรื่องบานปลายเอาไว้เสียก่อน“เขาไม่อยากคุยด้วยก็รีบไสหัวไปดีกว่า” น้ำเสียงคุ้นเคยที่ดังแทรกขึ้นทำให้มือที่กำลังจะกระดกแก้วเครื่องดื่มเข้าปากชะงักไป เธอมองเจ้าของมือที่นั่งลงโอบเอวเธอเอาไว้ด้วยสายตาราบ