สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีก
แม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า
กาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดา เวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียว
เวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประวิงเวลาได้อีก เนื่องจากยามนี้ทั้งราชวงศ์ล้วนมีเพียงเขา
ฮ่องเต้เช่นเขาจำต้องปลดปลง และยินยอมคัดเลือกสนมเสียที กระนั้นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้นเป็นสนมเอกก็ต้องมากพิธีรีตอง เพราะเขาไม่มีชายามาก่อนจึงมิสามารถคัดเลือกฮองเฮาได้ในทันที กระทั่งสตรีที่ตนชมชอบหรือสนใจกลับไม่มีเลยสักนาง ไฉนช่างเป็นเรื่องอันชวนปวดหัวยิ่งนัก
"ฝ่าบาท โปรดพิจารณาด้วย หากพระองค์มิทรงแต่งตั้งฮองเฮาหรือรับสนม อาณาประชาราษฎร์จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากแว่นแคว้นไร้ผู้นำล้วนอาจส่งผลให้เกิดเหตุจลาจล ทั่วทั้งสี่ดินแดนแปดทิศระอุดุจทะเลเพลิง อีกอย่างเพื่อลบข้อครหาที่ราษฎรมีต่อพระองค์เรื่องอาการประชวร เช่นนี้แล้วพระองค์จำต้องเร่งแต่งตั้งพระสนม และมีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางผมขาวผู้หนึ่งกราบทูลยาวเหยียด เวินเยี่ยนเฉินฟังไม่เข้าใจสักนิด เขาปล่อยเสียงโหวกเหวกของขุนนางชั้นอาวุโสผ่านไปดุจดั่งเสียงนกเสียงกา กระนั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกันทั่วท้องพระโรง
"เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องมากความ ร่ายวาจาเสียยาวเป็นพรวน ข้าระคายหูยิ่ง เช่นนั้นจะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถิด" เวินเยี่ยนเฉินทอดถอนใจอย่างนึกระอิดระอา
ข้ายังมิเคยชมชอบสตรีนางใดสักคน น่าเบื่อยิ่งนัก เช่นนั้นก็ช่างเถิด จะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ต่างกระมัง
การเป็นจักรพรรดิเปรียบดั่งรูปปั้นทองคำไร้ชีวิตจิตใจ อนึ่งอยู่เหนือประชาราษฎร์ทว่ากลับเป็นเพียงทาสของแผ่นดินก็เท่านั้น เหล่าขุนนางก็คอยกดดันทั้งซ้ายและขวาช่างน่าอนาถจริงแท้
เวินเยี่ยนเฉินหารู้เช่นกันว่าแท้จริงตนกำลังเฝ้ารอใคร หรือเฝ้ารอสิ่งใดกันแน่ นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี เขาก็มิเคยเหลียวแลสตรีนางใดเลย กระทั่งนางในยิ่งไม่เคยแตะต้อง บางทีเวินเยี่ยนเฉินแอบคิดว่าตนคงเป็นโรคประหลาดเข้าจริง ๆ เขาด้านชา ตายด้าน หรือเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนกันแน่ เหตุใดจึงไม่เคยมีความรู้สึกใคร่อยากกับสตรีนางใดเลยสักคน หากจะกล่าวหาว่าเขาคือบุรุษตัดแขนเสื้อกลับยิ่งมิใช่เข้าไปใหญ่
.
.
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักซูเซียวครบสามปี พวกเขาทั้งสองเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเพลงกระบี่ ขี่ม้า รวมถึงวิชาความรู้ศาสตร์แพทย์ยาพิษ โดยเฉพาะจ้าวหลิงหลิง นางชำนาญด้านการผสมพิษแปลกใหม่ยิ่ง
"หลิงเอ๋อร์ หยวนเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองเรียนรู้เร็วเกินไปแล้ว ข้าไม่หลงเหลือสิ่งใดจะเสี้ยมสอนพวกเจ้าอีก เช่นนั้นก็ออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตยังโลกภายนอกเสียบ้าง" เจ้าสำนักซูเซียวยกถ้วยชาขึ้นแช่มช้า พลางเป่าลมจากปากเพื่อระบายความร้อนก่อนยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าใจเย็น
"ท่านอาจารย์ หากศิษย์ออกไปข้างนอกแล้วศิษย์น้องศิษย์พี่ทั้งหลายและท่านเล่า" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ยามนี้นางกลายเป็นศิษย์เอกของสำนักซูเซียวไปเสียแล้ว ในขณะที่ตนใช้เวลาเรียนรู้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น กระทั่งการสอนสั่งศิษย์น้องศิษย์พี่นางยังเป็นผู้คอยแบ่งเบาจากผู้เป็นอาจารย์
ทว่ากลับมิได้มีเพียงนางที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วดั่งลูกรักแดนสวรรค์ อาจารย์ของนางมักเล่าเรื่องราวของเด็กชายวัยเก้าขวบผู้หนึ่งให้ฟังอยู่เสมอ จนถึงยามนี้ศิษย์ทั้งสำนักซูเซียวก็ยังไม่มีผู้ใดวรยุทธ์เลิศล้ำเทียบเคียงเขาได้ แม้แต่นางและซางจี้หยวนก็ตามที นางอยากรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นั้นคือใคร กระนั้นอาจารย์ของนางกลับมิยอมเปิดเผยให้ทราบเลยสักเสี้ยว
เจ้าสำนักซูเซียวช้อนสายตามองศิษย์ทั้งสอง พลันหยุดจดจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาหงส์อันแสนเย็นชา คราแรกที่เขาพบหน้าจ้าวหลิงหลิง นางทั้งดูหมองเศร้าและสิ้นหวังเฉกเช่นคนตายไปแล้ว
เดิมทีตนไม่คิดจะรับสตรีแสนอ่อนแอดั่งใกล้สิ้นลมและไร้กำลังแรงใจผู้นี้ ทว่าเมื่อเพ่งเข้าไปยังดวงตาอันหมองมัวนั้นอีกครา เขากลับสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ระคนโอหัง จากนั้นจึงเข้าใจว่านางล้วนประสบกับความโหดร้ายใดมา บุรุษชราผมขาวขึ้นแซมอนึ่งไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาจึงมิอยากปฏิเสธ จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนจึงได้กราบเขาเป็นอาจารย์สายตรงในที่สุด
เดิมทีซางจี้หยวนเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี ไม่จำเป็นต้องดันทุรังศึกษายังสำนักห่างไกลแร้นแค้นเช่นนี้ ทว่าเขากลับยืนกรานจะอยู่ที่นี่ ผ่านมาไม่กี่ปีสำนักซูเซียวกลับได้เพชรน้ำดีมาถึงสองคน
"หลิงเอ๋อร์ จุดประสงค์ใดกันเล่าที่เจ้าตัดสินใจมากราบข้าเป็นอาจารย์"
จ้าวหลิงหลิงตอบอย่างหนักแน่น "แน่นอนว่าข้าสนใจเรื่องขี่ม้ายิงธนู และการปรุงโอสถ ทว่าเจตนาที่แท้จริงของข้า คือการทวงความยุติธรรมให้กับทุกคนในตระกูล"
เอ่ยถึงตรงนี้จ้าวหลิงหลิงจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของอาจารย์ในบัดดล ยามนี้ถึงเวลาที่นางต้องทำตามปณิธานซึ่งตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้นเสียที การที่นางเร้นกายออกห่างจากโลกภายนอกหลายแรมปีเพราะสิ่งนี้มิใช่หรือ
ซางจี้หยวนเหลียวมองจ้าวหลิงหลิงซึ่งกำลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ "หลิงเอ๋อร์"
จ้าวหลิงหลิงหลุดจากภวังค์ นางเหลียวหน้ามองซางจี้หยวน "ศิษย์พี่ ข้าว่ายามนี้คงถึงเวลาแล้วกระมัง"
ซางจี้หยวนพยักหน้า เขาพร้อมจะเคียงข้างนางเสมอไม่ว่าเป็นหรือตาย ทว่าซางจี้หยวนกลับไม่รู้เลยว่าภายในจิตใจอันแท้จริงของจ้าวหลิงหลิงกำลังนึกอ่านอย่างไร นัยน์ตาของนางเย็นชาแข็งกระด้างจนมิอาจคาดเดา
"ท่านอาจารย์ ขอบพระคุณท่าน หากทุกอย่างกระจ่างแจ้งข้าจะกลับมาอีกครั้ง ศิษย์ขอลา"
เจ้าสำนักซูเซียวพยักหน้า "จำเอาไว้ นิ่งให้เป็น เย็นให้พอ จงซ่อนเร้นความสามารถเพื่อสั่งสมพละกำลัง โลกข้างนอกนั้นแสนยาวไกลเท่าใดก็สุดจะรู้ หากพวกเจ้าบุ่มบ่ามใจร้อนทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า"
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนประสานมือค้อมศีรษะ เอ่ยโดยพร้อมเพรียง "ศิษย์รับทราบ"
.
.
หนึ่งบุรุษร่างสูง หนึ่งสตรีร่างระหง สวมเครื่องแต่งกายด้วยแพรพรรณสีมรกตเหลือบขาวเดินเคียงกันด้วยท่วงท่างามสง่า จ้าวหลิงหลิงไม่ได้เหยียบย่างลงจากเขาเลยตลอดสามปี ครั้นเมื่อได้พบความครึกครื้นในท้องตลาดล้วนสร้างความตื่นตาให้แก่นางไม่น้อย จ้าวหลิงหลิงสาวเท้ามาหยุดยืนหน้าร้านขายเครื่องประดับ แววตากระจ่างใสเลื่อนลอยชั่วขณะ
หวินเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ ปิ่นเหมยกุ้ยฮวา [1] นี้พ่อมอบให้เจ้าทั้งสอง ไว้พ่อกลับมาจะนำของฝากมาให้พวกเจ้าอีก ชอบหรือไม่
จ้าวหลิงหลิงแหงนหน้ามองบิดา ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มซุกซน ท่านพ่อให้สิ่งใดข้า ข้าก็ชอบทั้งสิ้น รีบกลับมานะเจ้าคะ ท่านออกไปรบอีกแล้ว เมื่อใดเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที
จ้าวหลิงหลิงยู่หน้า ผู้เป็นบิดาหัวเราะขัน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวทั้งสองด้วยความรักใคร่
ไม่ต้องเป็นห่วง ศึกครั้งนี้พ่อจะทำให้ศัตรูปราชัย [2] ให้ได้ หลังจากนั้นพ่อจะทูลขอฮ่องเต้ปลดระวางตำแหน่งแม่ทัพเสีย เช่นนี้พอใจพวกเจ้าหรือไม่
จ้าวหลิงหวินคลี่ยิ้มละไม ท่านพ่อจะปลดระวางแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียที
จ้าวหลิงหลิงเองก็ดีใจราวลิงโลดกระโดดเกาะแขนขาบิดาดุจดั่งม้าดีดกะโหลก พี่สาวฝาแฝดผู้เรียบร้อยจำต้องปรามน้องสาวแสนซุกซนอยู่ตลอด กระนั้นจ้าวหลิงหลิงกลับเปรียบดั่งรอยยิ้มของตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง
ทว่าดีใจได้ไม่นาน หลังจากบิดาของนางออกไปรบครั้งสุดท้าย เขาก็มิได้กลับมาดังที่รับปากไว้ จากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่สุขสงบ ก็แปรผันเป็นกบฏอย่างน่าตระหนก ยามนี้สกุลจ้าวหลงเหลือเพียงจ้าวหลิงหลิงคนเดียวแล้ว นางจะไม่ยินยอมปล่อยผ่านเรื่องในอดีตที่ยังมิได้รับความกระจ่างนี้เป็นอันขาด ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่
^เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ
^ปราชัย หมายถึง ความพ่ายแพ้
สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีกแม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่ากาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดาเวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียวเวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประ
จ้าวหลิงหลิงยิ้มบาง "ท่านพี่จี้หยวน ขอบคุณท่านมาก แต่ท่านไม่ต้องลำบากแล้วล่ะ ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว ไม่นานข้าจะตามทุกคนไป"เริ่นเหมยถลาเข้ามา พลางร้องไห้โฮ "คุณหนู อย่าเอ่ยเช่นนี้เจ้าค่ะ ฮึก ฮื่อ...หากท่านไม่อยู่แล้วข้าเล่า ข้าจะอยู่กับใคร"จ้าวหลิงหลิงยกมือขึ้นลูบแก้มแม่นมของตน "แม่นม ท่านสามารถกลับไปที่บ้านเดิมของท่านได้ กลับไปใช้บั้นปลายชีวิตของท่าน ส่วนข้าอย่าได้ใส่ใจอีกเลย"เริ่นเหมยส่ายหน้าพัลวัน "ไม่เจ้าค่ะ หากคุณหนูจะไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน"ซางจี้หยวนถอนหายใจ เขาไม่รู้ควรทำเช่นไรแล้วจริง ๆ "เจ้าแน่ใจหรือหลิงหลิง เจ้าจะให้ครอบครัวของเจ้าถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏทั้งที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยอย่างนั้นหรือ เจ้ากำลังทำให้ฮูหยินจ้าวและท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวัง ไยไม่ลองตรึกตรองดูดี ๆ หากเป็นข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้โดยที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดเลยเป็นอันขาด"จ้าวหลิงหลิงใจสั่นหวิว นางปิดเปลือกตาลงเนิบนาบ ทำราวกับสิ่งที่ซางจี้หยวนเอ่ยเปรียบดั่งอากาศธาตุ ทว่านางกำลังใคร่ครวญบางอย่างก็เพียงเท่านั้น ดูเหมือนคนทั้งสองถอยห่างจากนางแล้ว กระนั้นเมื่อจ้าว
ยามนี้ฝนซาลงแล้ว ทว่าจ้าวหลิงหลิงยังคงหลับใหลไร้สติ ริมฝีปากซีดขาวพร่ำรำพันด้วยเสียงแผ่วโผย ร่างระหงนอนเหยียดกายอยู่บนผ้าปูผืนบางท่ามกลางผืนป่าอันเงียบสงัด "ท่านแม่ ท่านพ่อ พี่ใหญ่ หลิงหวิน...จะไปไหนกัน รอข้าด้วย รอหลิงหลิงด้วย" จ้าวหลิงหลิงควานมือท่ามกลางอากาศสะเปะสะปะ เริ่นเหมยนั่งเฝ้าคุณหนูสามอยู่ไม่ห่าง ผู้เป็นแม่นมเลี้ยงดูอีกฝ่ายมาแต่อ้อนแต่ออกเห็นนางทุกข์ระทมเพียงนี้ก็พลันน้ำตาคลอหน่วย กระทั่งหลั่งรินอาบแก้มอีกหน นางจับมือน้อย ๆ อันเย็นเยียบขึ้นแนบแก้มของตน "คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ทุกคนไม่อยู่แล้ว แต่คุณหนูยังมีข้านะเจ้าคะ คุณหนู ฮื่อ..." ซางจี้หยวนนั่งอยู่อีกด้านของกองไฟมองภาพสองนายบ่าวด้วยความรู้สึกอันยากอธิบาย เขาเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกัน ชายหนุ่มลุกยืนเต็มความสูง จากนั้นเยื้องย่างเข้าใกล้ร่างของสตรีที่ยังนอนละเมอพร่ำเพ้อไม่ขาดปาก "แม่นมเริ่น ท่านไปพักบ้างเถิด เดี๋ยวข้าดูแลนางต่อให้เอง" เริ่นเหมยเหลียวมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าแดงก่ำ "ตะ...แต่..." "ท่านไปเถิด ไม่ต้องเป็นกังวล เฉินหลินเป็นสหายข้า หลิงหลิงและหลิงหวินก็เปรียบดั่งน้องสาวของข้าเช่นเดียวกัน" เอ่ยถึงสองพี่น้องที่เพิ่งจาก
ผู้ใด!? ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าจะไปหาท่านแม่และท่านพี่ ปล่อยข้า!ชายผู้นั้นรัดเอวคอดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ผู้คนล้วนแตกฮือด้วยความงุนงงนางเป็นใครงั้นหรือ ไยมาเอะอะอยู่ตรงนี้คงมิใช่ญาติตระกูลจ้าวกระมัง หากนางเข้าไปมีหวังคอขาดอีกคนแน่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงอลไปหมด บุรุษซึ่งยืนอยู่หน้าประตูผินหน้ากลับเชื่องช้า จ้าวหลิงหลิงสบดวงตาของเขาผ่านช่องว่างระหว่างผ้าแพรครู่หนึ่ง นางลดสายตามองของบางอย่างที่อยู่ในมืออีกฝ่าย พลางแดดิ้นดุจปลาขาดน้ำ ร่างระหงพยายามดิ้นรนทว่าไม่เป็นผลของสิ่งนั้น ของนั่น! คือของแม่ข้า ของพี่สาวข้า พี่ใหญ่ ๆ ท่านอยู่ที่ใด ฮื่อ สวรรค์ได้โปรดอย่าล้อเล่นกับข้า!...จ้าวหลิงหลิงทำได้เพียงตะโกนร่ำร้องภายในใจ เพราะริมฝีปากของนางถูกปิดเอาไว้ อยู่ ๆ ท้ายทอยของนางก็เกิดอาการเจ็บแปลบดั่งถูกตีกระหน่ำฮึก!...ทะ...ท่านแม่ ท่านพี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันภาพที่นางเห็นคือแววตาเย็นชาของบุรุษผู้นั้น เขาสวมกวานทองคำลายมังกรไว้บนศีรษะ ใบหน้าเกลี้ยงเกลาทว่าแววตาช่างเศร้าหมอง จ้าวหลิงหลิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ประกายตาของเขาช่างเย็นชายิ่ง! นางจดจำใบหน้าหล่อเหลานี้ไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ จู่ ๆ สติสั
รถม้าเคลื่อนมาหยุดหน้าจวนสกุลจ้าว แต่ทว่ากลับมีบรรดาชาวบ้านกำลังยืนรายล้อมเบียดเสียดกันแน่นขนัดไปหมด จ้าวหลิงหลิงสาวเท้าลงจากบันไดคับแคบพลางกวาดสายตาสำรวจด้วยความงุนงง "คุณหนู รอก่อนเจ้าค่ะ ฝนตกเดี๋ยวเป็นหวัดเอาได้นะเจ้าคะ" เริ่นเหมยหยิบหมวกสานซึ่งมีผ้าแพรผืนบางปิดล้อมโดยรอบพลางสวมลงบนศีรษะของจ้าวหลิงหลิง จากนั้นกางร่มเพื่อป้องกันละอองฝนอีกครั้ง "ขอบคุณแม่นม" จ้าวหลิงหลิงยิ้มตอบ "แล้วไยผู้คนจึงมายืนบังหน้าจวนของเราอย่างนี้เล่า" สกุลจ้าวน่าเวทนาเสียจริง เดิมทีท่านแม่ทัพทำผลงานมากมายไม่น่าคิดกบฏบ้านเมืองเลยเสียงจากสตรีนางหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่แออัด คนขายบ้านเมืองกินก็สมควรแล้วมิใช่หรือ ว่าแต่นั่นชายหนุ่มผู้นั้น...ชายหนุ่มอันใด เจ้าอยากหัวขาดรึ นั่นองค์ชายรองเชียวนะ เกรงว่าคงนำราชโองการลงทัณฑ์มาด้วยตนเอง ว่ากันว่าองค์ชายรองทั้งเคร่งขรึมเหี้ยมโหด คาดไม่ถึง พระองค์จะสามารถสังหารคนทั้งตระกูลจ้าวได้อย่างเลือดเย็นเพียงนี้ ช่างน่ากลัวโดยแท้ พวกเจ้า! พูดจาส่งเดชยิ่ง หากพระองค์ได้ยินจะได้หัวหลุดจากบ่า! หญิงชรานางหนึ่งเอ่ยสำทับ หนึ่งสตรีหนึ่งบุรุษต่างก้มหน้างุดพลันหุบปากลงเดี๋ยวนั้
"ตระกูลจ้าวรับราชโองการ" เสียงขันทีประกาศก้องพร้อมกองทหารนับร้อยวิ่งกรูเข้ามาปิดล้อมเรือนสกุลจ้าว ขณะเดียวกันรถม้าคันหนึ่งก็เพิ่งเคลื่อนตัวออกจากจวนโดยมิทันสังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ฮูหยินจ้าวหรือจ้าวหว่านถงพร้อมทั้งบุตรทั้งสองเร่งรุดออกมาหน้าลานกว้าง บ่าวไพร่วางงานในมือลงจ้าละหวั่น อกซ้ายของทุกคนต่างกระเพื่อมไหว เหงื่อเม็ดละเอียดผุดซึมขึ้นบนกรอบหน้ายามนี้แม่ทัพใหญ่จ้าวตงหยวนไม่อยู่เรือน เพราะบ้านเมืองเข้าสู่ช่วงเพลิงสงคราม เขาจึงเป็นทัพหน้ากรีธาเพื่อปกป้องแว่นแคว้น แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงมีราชโองการมาจ่อถึงหน้าประตูจวนได้กันเล่า หลังจากทุกคนมารวมตัวกันโดยพร้อมเพรียง ขันทีจึงเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงกึ่งเล็กแหลม "ฮูหยินเจ้า ไม่ทราบว่ามาครบทุกคนแล้วหรือไม่" จ้าวหว่านถงสัมผัสได้ถึงสังหรไม่ดี ความรู้สึกประหลาดใจเริ่มหนักหน่วงกลายเป็นหวาดระแวง จ้าวหว่านถงเป็นหญิงวัยกลางคนทว่าใบหน้ายังคงสะสวยเฉกเช่นดรุณีแรกแย้ม มิแปลกใจที่บุตรสาวทั้งสองจะหน้าตางดงามอนึ่งนางเซียนแดนสวรรค์นางเหลียวมองบุตรีข้างกาย และบุตรชายคนโตแช่มช้า แววตากระจ่างใสดุจไข่มุกราตรีสะท้อนความเจ็บปวดดั่งล่วงรู้ว่ากำลังจะเกิดอั