สามปีผันผ่าน แคว้นเฉินเป่ยอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงรัชศกใหม่ รัชทายาทหมายช่วงชิงตำแหน่งฮ่องเต้จากบิดาของตน ทว่าองค์ชายรองกลับเป็นผู้ปกป้องบัลลังก์มังกรเอาไว้ กระนั้นฮ่องเต้เวินเจียเหลียงกลับทนพิษบาดแผลจากคมดาบอาบยาพิษได้ไม่กี่วันก็สิ้นพระชนม์ลง เมื่อรัชทายาทไม่เถรตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ การก่อกบฏหนนี้จึงถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษสูงสุด คือประหารเท่านั้น ตำแหน่งฮ่องเต้คนถัดไปจึงมิมีผู้ใดเหมาะสมมากไปกว่าองค์ชายรองอีก
แม้องค์ชายรองยืนกรานไม่ขอขึ้นครองบัลลังก์และต้องการส่งมอบแด่องค์ชายสาม ทว่าบรรดาขุนนางกลับคัดค้านหัวชนฝา เช่นนั้นแล้วผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งอย่างองค์ชายรองจึงจำใจต้องแบกภาระอันหนักอึ้งนี้ไว้บนบ่า
กาลเวลามิเคยคอยท่า องค์ชายสามเกิดประชวรโดยไร้สาเหตุท้ายที่สุดก็สิ้นพระชนม์ตามบิดา เวินเยี่ยนเฉินทุกข์ระทมอย่างหนักหน่วง เขาสูญเสียคนที่ตนรักไปทั้งหมด แทบนับได้ว่าเหลือตัวคนเดียว
เวินเยี่ยนเฉินมักใช้โอกาสจากกรณีสวรรคตของฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นข้ออ้างในการแต่งตั้งฮองเฮาและรับสนม ทว่าเป็นเวลาไว้ทุกข์อันเหมาะสมแล้ว ครั้นจะหยิบยกเอาเรื่ององค์ชายสามมากล่าวอ้างก็มิอาจประวิงเวลาได้อีก เนื่องจากยามนี้ทั้งราชวงศ์ล้วนมีเพียงเขา
ฮ่องเต้เช่นเขาจำต้องปลดปลง และยินยอมคัดเลือกสนมเสียที กระนั้นผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมขึ้นเป็นสนมเอกก็ต้องมากพิธีรีตอง เพราะเขาไม่มีชายามาก่อนจึงมิสามารถคัดเลือกฮองเฮาได้ในทันที กระทั่งสตรีที่ตนชมชอบหรือสนใจกลับไม่มีเลยสักนาง ไฉนช่างเป็นเรื่องอันชวนปวดหัวยิ่งนัก
"ฝ่าบาท โปรดพิจารณาด้วย หากพระองค์มิทรงแต่งตั้งฮองเฮาหรือรับสนม อาณาประชาราษฎร์จะเชื่อมั่นได้อย่างไร หากแว่นแคว้นไร้ผู้นำล้วนอาจส่งผลให้เกิดเหตุจลาจล ทั่วทั้งสี่ดินแดนแปดทิศระอุดุจทะเลเพลิง อีกอย่างเพื่อลบข้อครหาที่ราษฎรมีต่อพระองค์เรื่องอาการประชวร เช่นนี้แล้วพระองค์จำต้องเร่งแต่งตั้งพระสนม และมีรัชทายาทเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไปพ่ะย่ะค่ะ"
ขุนนางผมขาวผู้หนึ่งกราบทูลยาวเหยียด เวินเยี่ยนเฉินฟังไม่เข้าใจสักนิด เขาปล่อยเสียงโหวกเหวกของขุนนางชั้นอาวุโสผ่านไปดุจดั่งเสียงนกเสียงกา กระนั้นเหล่าขุนนางต่างเห็นพ้องต้องกันทั่วท้องพระโรง
"เอาล่ะ พวกท่านไม่ต้องมากความ ร่ายวาจาเสียยาวเป็นพรวน ข้าระคายหูยิ่ง เช่นนั้นจะทำอันใดก็สุดแล้วแต่พวกท่านเถิด" เวินเยี่ยนเฉินทอดถอนใจอย่างนึกระอิดระอา
ข้ายังมิเคยชมชอบสตรีนางใดสักคน น่าเบื่อยิ่งนัก เช่นนั้นก็ช่างเถิด จะเป็นผู้ใดก็ล้วนไม่ต่างกระมัง
การเป็นจักรพรรดิเปรียบดั่งรูปปั้นทองคำไร้ชีวิตจิตใจ อนึ่งอยู่เหนือประชาราษฎร์ทว่ากลับเป็นเพียงทาสของแผ่นดินก็เท่านั้น เหล่าขุนนางก็คอยกดดันทั้งซ้ายและขวาช่างน่าอนาถจริงแท้
เวินเยี่ยนเฉินหารู้เช่นกันว่าแท้จริงตนกำลังเฝ้ารอใคร หรือเฝ้ารอสิ่งใดกันแน่ นับตั้งแต่ขึ้นครองบัลลังก์ในวัยยี่สิบเอ็ดปี เขาก็มิเคยเหลียวแลสตรีนางใดเลย กระทั่งนางในยิ่งไม่เคยแตะต้อง บางทีเวินเยี่ยนเฉินแอบคิดว่าตนคงเป็นโรคประหลาดเข้าจริง ๆ เขาด้านชา ตายด้าน หรือเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนกันแน่ เหตุใดจึงไม่เคยมีความรู้สึกใคร่อยากกับสตรีนางใดเลยสักคน หากจะกล่าวหาว่าเขาคือบุรุษตัดแขนเสื้อกลับยิ่งมิใช่เข้าไปใหญ่
.
.
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักซูเซียวครบสามปี พวกเขาทั้งสองเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งเพลงกระบี่ ขี่ม้า รวมถึงวิชาความรู้ศาสตร์แพทย์ยาพิษ โดยเฉพาะจ้าวหลิงหลิง นางชำนาญด้านการผสมพิษแปลกใหม่ยิ่ง
"หลิงเอ๋อร์ หยวนเอ๋อร์ พวกเจ้าทั้งสองเรียนรู้เร็วเกินไปแล้ว ข้าไม่หลงเหลือสิ่งใดจะเสี้ยมสอนพวกเจ้าอีก เช่นนั้นก็ออกไปเรียนรู้การใช้ชีวิตยังโลกภายนอกเสียบ้าง" เจ้าสำนักซูเซียวยกถ้วยชาขึ้นแช่มช้า พลางเป่าลมจากปากเพื่อระบายความร้อนก่อนยกขึ้นจิบด้วยท่วงท่าใจเย็น
"ท่านอาจารย์ หากศิษย์ออกไปข้างนอกแล้วศิษย์น้องศิษย์พี่ทั้งหลายและท่านเล่า" จ้าวหลิงหลิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ยามนี้นางกลายเป็นศิษย์เอกของสำนักซูเซียวไปเสียแล้ว ในขณะที่ตนใช้เวลาเรียนรู้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น กระทั่งการสอนสั่งศิษย์น้องศิษย์พี่นางยังเป็นผู้คอยแบ่งเบาจากผู้เป็นอาจารย์
ทว่ากลับมิได้มีเพียงนางที่สามารถเรียนรู้ได้รวดเร็วดั่งลูกรักแดนสวรรค์ อาจารย์ของนางมักเล่าเรื่องราวของเด็กชายวัยเก้าขวบผู้หนึ่งให้ฟังอยู่เสมอ จนถึงยามนี้ศิษย์ทั้งสำนักซูเซียวก็ยังไม่มีผู้ใดวรยุทธ์เลิศล้ำเทียบเคียงเขาได้ แม้แต่นางและซางจี้หยวนก็ตามที นางอยากรู้ยิ่งนักว่าคนผู้นั้นคือใคร กระนั้นอาจารย์ของนางกลับมิยอมเปิดเผยให้ทราบเลยสักเสี้ยว
เจ้าสำนักซูเซียวช้อนสายตามองศิษย์ทั้งสอง พลันหยุดจดจ้องเข้าไปยังนัยน์ตาหงส์อันแสนเย็นชา คราแรกที่เขาพบหน้าจ้าวหลิงหลิง นางทั้งดูหมองเศร้าและสิ้นหวังเฉกเช่นคนตายไปแล้ว
เดิมทีตนไม่คิดจะรับสตรีแสนอ่อนแอดั่งใกล้สิ้นลมและไร้กำลังแรงใจผู้นี้ ทว่าเมื่อเพ่งเข้าไปยังดวงตาอันหมองมัวนั้นอีกครา เขากลับสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ระคนโอหัง จากนั้นจึงเข้าใจว่านางล้วนประสบกับความโหดร้ายใดมา บุรุษชราผมขาวขึ้นแซมอนึ่งไม้ใกล้ฝั่งเช่นเขาจึงมิอยากปฏิเสธ จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนจึงได้กราบเขาเป็นอาจารย์สายตรงในที่สุด
เดิมทีซางจี้หยวนเป็นคุณชายตระกูลผู้ดี ไม่จำเป็นต้องดันทุรังศึกษายังสำนักห่างไกลแร้นแค้นเช่นนี้ ทว่าเขากลับยืนกรานจะอยู่ที่นี่ ผ่านมาไม่กี่ปีสำนักซูเซียวกลับได้เพชรน้ำดีมาถึงสองคน
"หลิงเอ๋อร์ จุดประสงค์ใดกันเล่าที่เจ้าตัดสินใจมากราบข้าเป็นอาจารย์"
จ้าวหลิงหลิงตอบอย่างหนักแน่น "แน่นอนว่าข้าสนใจเรื่องขี่ม้ายิงธนู และการปรุงโอสถ ทว่าเจตนาที่แท้จริงของข้า คือการทวงความยุติธรรมให้กับทุกคนในตระกูล"
เอ่ยถึงตรงนี้จ้าวหลิงหลิงจึงเข้าใจเจตนารมณ์ของอาจารย์ในบัดดล ยามนี้ถึงเวลาที่นางต้องทำตามปณิธานซึ่งตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้นเสียที การที่นางเร้นกายออกห่างจากโลกภายนอกหลายแรมปีเพราะสิ่งนี้มิใช่หรือ
ซางจี้หยวนเหลียวมองจ้าวหลิงหลิงซึ่งกำลังนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ "หลิงเอ๋อร์"
จ้าวหลิงหลิงหลุดจากภวังค์ นางเหลียวหน้ามองซางจี้หยวน "ศิษย์พี่ ข้าว่ายามนี้คงถึงเวลาแล้วกระมัง"
ซางจี้หยวนพยักหน้า เขาพร้อมจะเคียงข้างนางเสมอไม่ว่าเป็นหรือตาย ทว่าซางจี้หยวนกลับไม่รู้เลยว่าภายในจิตใจอันแท้จริงของจ้าวหลิงหลิงกำลังนึกอ่านอย่างไร นัยน์ตาของนางเย็นชาแข็งกระด้างจนมิอาจคาดเดา
"ท่านอาจารย์ ขอบพระคุณท่าน หากทุกอย่างกระจ่างแจ้งข้าจะกลับมาอีกครั้ง ศิษย์ขอลา"
เจ้าสำนักซูเซียวพยักหน้า "จำเอาไว้ นิ่งให้เป็น เย็นให้พอ จงซ่อนเร้นความสามารถเพื่อสั่งสมพละกำลัง โลกข้างนอกนั้นแสนยาวไกลเท่าใดก็สุดจะรู้ หากพวกเจ้าบุ่มบ่ามใจร้อนทุกอย่างที่ทำมาล้วนสูญเปล่า"
จ้าวหลิงหลิงและซางจี้หยวนประสานมือค้อมศีรษะ เอ่ยโดยพร้อมเพรียง "ศิษย์รับทราบ"
.
.
หนึ่งบุรุษร่างสูง หนึ่งสตรีร่างระหง สวมเครื่องแต่งกายด้วยแพรพรรณสีมรกตเหลือบขาวเดินเคียงกันด้วยท่วงท่างามสง่า จ้าวหลิงหลิงไม่ได้เหยียบย่างลงจากเขาเลยตลอดสามปี ครั้นเมื่อได้พบความครึกครื้นในท้องตลาดล้วนสร้างความตื่นตาให้แก่นางไม่น้อย จ้าวหลิงหลิงสาวเท้ามาหยุดยืนหน้าร้านขายเครื่องประดับ แววตากระจ่างใสเลื่อนลอยชั่วขณะ
หวินเอ๋อร์ หลิงเอ๋อร์ ปิ่นเหมยกุ้ยฮวา [1] นี้พ่อมอบให้เจ้าทั้งสอง ไว้พ่อกลับมาจะนำของฝากมาให้พวกเจ้าอีก ชอบหรือไม่
จ้าวหลิงหลิงแหงนหน้ามองบิดา ริมฝีปากสีกุหลาบคลี่ยิ้มซุกซน ท่านพ่อให้สิ่งใดข้า ข้าก็ชอบทั้งสิ้น รีบกลับมานะเจ้าคะ ท่านออกไปรบอีกแล้ว เมื่อใดเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าเสียที
จ้าวหลิงหลิงยู่หน้า ผู้เป็นบิดาหัวเราะขัน เขายกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวทั้งสองด้วยความรักใคร่
ไม่ต้องเป็นห่วง ศึกครั้งนี้พ่อจะทำให้ศัตรูปราชัย [2] ให้ได้ หลังจากนั้นพ่อจะทูลขอฮ่องเต้ปลดระวางตำแหน่งแม่ทัพเสีย เช่นนี้พอใจพวกเจ้าหรือไม่
จ้าวหลิงหวินคลี่ยิ้มละไม ท่านพ่อจะปลดระวางแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียที
จ้าวหลิงหลิงเองก็ดีใจราวลิงโลดกระโดดเกาะแขนขาบิดาดุจดั่งม้าดีดกะโหลก พี่สาวฝาแฝดผู้เรียบร้อยจำต้องปรามน้องสาวแสนซุกซนอยู่ตลอด กระนั้นจ้าวหลิงหลิงกลับเปรียบดั่งรอยยิ้มของตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง
ทว่าดีใจได้ไม่นาน หลังจากบิดาของนางออกไปรบครั้งสุดท้าย เขาก็มิได้กลับมาดังที่รับปากไว้ จากตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่สุขสงบ ก็แปรผันเป็นกบฏอย่างน่าตระหนก ยามนี้สกุลจ้าวหลงเหลือเพียงจ้าวหลิงหลิงคนเดียวแล้ว นางจะไม่ยินยอมปล่อยผ่านเรื่องในอดีตที่ยังมิได้รับความกระจ่างนี้เป็นอันขาด ต้องมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดเป็นแน่
^เหมยกุ้ยฮวา หมายถึง ดอกกุหลาบ
^ปราชัย หมายถึง ความพ่ายแพ้
หลังจากล้างมลทินให้กับตระกูลจ้าว ธรรมเนียมของราชวงศ์ซึ่งอยู่ใต้การปกครองของเวินเยี่ยนเฉินยามนี้จึงถูกปรับเปลี่ยน เขาเป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไรเหตุใดจำต้องมีสนมมากมายเช่นนั้น เขามิใช่บุรุษมักมากเวินเยี่ยนเฉินประกาศกร้าวไม่รับสนมใดอีก เขาจะเป็นฮ่องเต้คนแรกที่รักมั่นต่อฮองเฮาเพียงผู้เดียวนับจากวันที่จ้าวหลิงหลิงบั่นศีรษะฉู่เยว่เฉิน และฉู่เฉิงจิ้นด้วยสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเหมันตฤดูแม้เวลาล่วงเลยมาสักระยะแล้ว ทว่าพวกเขาล้วนมิเคยลืมเลือนความรู้สึกครั่นคร้ามและไอสังหารที่พวยพุ่งออกมาจากแววตาฮองเฮาเกรงว่าหากจักรพรรดิของพวกเขาทำสิ่งใดไม่ต้องใจนาง เวินเยี่ยนเฉินอาจดวงชะตาขาดแน่แท้ตระหนักไปแล้วขุนนางน้อยใหญ่ก็ต่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกพวกเขาจึงหามีผู้ใดกล้าริอ่านคัดค้านอีก"ละ...หลิงหวิน" เสียงใสสั่นพร่า คำเรียกขานเมื่อครู่เจือก้อนสะอื้นซึ่งจุกอยู่กลางลำคอจ้าวหลิงหวินหมุนกายกลับ ริมฝีปากสีกุหลาบแย้มยิ้มละไม "หลิงหลิง"ร่างระหงของสตรีทั้งสองซึ่งมีใบหน้าละม้ายกันดุจพิมพ์เดียวยืนอยู่ใต้ต้นอิงฮวา
เป็นเวลาสามวันแล้วที่เวินเยี่ยนเฉินไม่ได้สติ กระทั่งการป้อนยาก็เป็นไปอย่างลำบากยากยิ่ง หากเป็นเช่นนี้เขาต้องตายจริงแน่แท้"ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ คือว่าฝ่าบาทมิยอมเสวยโอสถเลยพ่ะย่ะค่ะ" หร่านจิ้งเหยาถือถ้วยหยกพร้อมช้อนกระเบื้องเคลือบซึ่งมีน้ำสีขุ่นอยู่เกินกว่าครึ่ง"องครักษ์หร่าน ท่านไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง""แต่...""ไปเถิด ข้าดูแลเขาได้ เจ้าเกรงว่าข้าจะทำร้ายฝ่าบาทอีกงั้นหรือ"หร่านจิ้งเหยาสะดุ้งโหยง ภาพที่อีกฝ่ายบั่นศีรษะกบฏยังติดตาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หร่านจิ้งเหยาวางถ้วยในมือลงจากนั้นค้อมศีรษะและเร่งถลันกายออกไปด้วยท่าทางร้อนรนหร่านจิ้งเหยาระบายลมหายใจเบา"เกือบไปแล้วเชียว" จากนั้นองครักษ์หนุ่มจึงสลัดศีรษะเพื่อเรียกสติและเดินจากไป"เยี่ยนเฉิน หากท่านดื้อดึงไม่ทานยา ข้าจะแทงท่านอีกแผล" จ้าวหลิงหลิงเขม้นมองเพื่อจับพิรุธผู้บาดเจ็บ นางได้ยินเสียงลมหายใจของเขาที่ดูเหมือนกับฟื้นคืนสติแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายกลับยังนอนนิ่งสนิทไม่ไหวติงคิ้วสวยเคลื่อนเข้าหากันแทบผูกเป็นปม "หรือข้าคิดมากไปเอง ช่างเถิด"ร่างระหงยอบกายลงนั
จ้าวหลิงหลิงตัวแข็งค้างประดุจดินปั้นไม้แกะสลัก นางเหลียวมองร่างบุรุษซึ่งนอนหายใจแผ่วโผยอยู่บนเตียงนอน ท่าทางของนางเหม่อลอยดวงตามีประกายบาง ๆ ริมฝีปากสีกุหลาบเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "นะ...นี่ ราชโองการละเว้นโทษตายนี้ เป็นพระองค์ที่ถือไปในวันนั้นหรือ เยี่ยนเฉิน..."ร่างระหงอ่อนยวบลงบนพื้น สาสน์ในมือหลุดร่วงพร้อมเครื่องประดับสองชิ้น จ้าวหลิงหลิงเจ็บปวดเสียยิ่งกว่ามีดแทงเลาะหัวใจออกมาบดขยี้ นางกรีดร้องด้วยความทุกข์ระทม"ฮื่อ...เยี่ยนเฉิน คนโง่ ทำไมท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้ ทำไมกัน ทำไม!!"นางพยายามลากเรียวขาแสนอ่อนเปลี้ยเข้าใกล้เจ้าของร่างสูงซึ่งนอนเหยียดยาวสลบไสลไร้สติอยู่เบื้องบน "ฮื่อ...คนโง่ คนงี่เง่า ก็ดี ทุกคนต่างตายกันหมด หนีจากข้าไปหมด เช่นนั้นข้าเองก็คงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่แล้วเช่นเดียวกัน"มือเรียวคว้าปิ่นปักผมลายเหมยกุ้ยฮวาขึ้นแช่มช้า ปลายแหลมคมจ่ออย่างหมิ่นเหม่บริเวณต้นคอขาวผ่อง เปลือกตาบางหลับพริ้มประดุจปลดปลงต่อโลกใบนี้แล้ว"หลิงเอ๋อร์ หยุด!"มือแกร่งคว้าหมับได้ทันท่วงที โชคดีที่เขาดันทุรังฝ
จ้าวหลิงหลิงหลับไปหลายชั่วยามแล้วหลังจากนางใช้ทั้งพลังกายและพลังใจไปทั้งวัน น้ำสีใสหลั่งรินตรงหางตาขณะที่ตารูปหงส์ยังคงหลับพริ้มอยู่เช่นนั้น "ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ หลิงหวิน ข้าทำสำเร็จแล้ว ท่านเห็นหรือไม่ พวกท่าน ฮื่อ...พวกท่านจะไปไหน รอข้าก่อนเจ้าค่ะ"มือเรียวควานไปมาท่ามกลางอากาศ เวินเยี่ยนเฉินซึ่งนั่งเฝ้าจ้าวหลิงหลิงอยู่ไม่ห่างพลันรวบมือทั้งสองเอาไว้เพื่อปลอบประโลม "หลิงเอ๋อร์ พวกเขาไปสบายแล้ว เจ้าวางใจ เจ้ายังมีข้า ข้าสัญญาจะปกป้องเจ้า จะมีเจ้าเพียงคนเดียว"จ้าวหลิงหลิงยังคงกู่ก้องร้องตะโกนเปะปะอย่างไร้สติ เวินเยี่ยนเฉินจึงยกร่างระหงขึ้นมาสวมกอด พลางตบเปาะแปะไปบนแผ่นหลังของอีกฝ่าย "หลิงหลิง ตื่นได้แล้ว"จ้าวหลิงหลิงเบิกตาโพลง นางหายใจหอบเหนื่อยเสียจนหน้าอกกระเพื่อมไหว เวินเยี่ยนเฉินผละกายออกห่าง "หลิงหลิง เจ้าฝัน ฝันเท่านั้น""ฝ่าบาท ข้า..." ริมฝีปากสีกุหลาบสั่นระริกเวินเยี่ยนเฉินคว้ากายเพรียวบางเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง "บางทีคนเราไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้สึกไว้ตลอดเวลา ทุกคนมีทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ เจ้าอยากร้องก็ร้องมาเถิด ทุกอย่างเป็นคว
ณ ลานประหารราชวังหลวงสตรีร่างระหงสวมอาภรณ์สีชาด ยืนถือกระบี่อ่อนลายเหมยกุ้ยฮวา [1] นัยน์ตาหงส์คู่นั้นเย็นยะเยือกเสียจนน่าสะพรึง ชายวัยกลางคน และชายหนุ่มสวมเครื่องแต่งกายตัดเย็บด้วยผ้าดิบสีขาวบ่งบอกว่าคือนักโทษแดนประหารนั่งอยู่ท่ามกลางลานกว้าง ดวงตาเหม่อลอยหม่นแสง แม่ทัพฉู่เฉิงจิ้นถูกนำตัวกลับมารับโทษพร้อมทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉู่ฝั่งตรงข้ามคือสตรีใบหน้าสะสวยทว่ายามนี้คงต้องเรียกว่าซีดขาวดุจไร้วิญญาณ ฉู่เยว่เฉินร้องไห้เสียจนน้ำตาแห้งขอดเหล่าอาณาประชาราษฎร์ต่างให้ความสนใจต่อลานประหารด้วยความจดจ่อ บางคนก็หวาดเกรงจนมิอาจทนดู เสียงวิจารณ์อึงอลเสียจนระเบ็งเซ็งแซ่น่าเห็นใจตระกูลจ้าว ถูกป้ายสีจนพินาศทั้งตระกูล คนอำมหิตเช่นนี้สมควรได้รับโทษตายก็ถูกต้องแล้วชาวบ้านที่ถือผักเหี่ยวเฉา ไข่เป็ด ไข่ไก่อันเน่าเหม็นต่างปาเข้ามายังลานด้านใน ฉู่เยว่เฉินร้องไห้อย่างหนักหน่วง ส่วนบุรุษทั้งสองเพียงถอนหายใจก้มหน้ารับชะตา ไข่กลิ่นคาวคลุ้งถูกปากระทบศีรษะ เยิ้มหยดลงใบหน้าเส
ขุนนางเหล่านั้นก็ตื่นตะลึงกันไปหมด ทั้งสาสน์ลับที่ถูกสับเปลี่ยน และความจริงจากปากขององครักษ์ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างกระจ่างแจ้งมิใช่หรือ หนำซ้ำต่งรุ่ยเหวินยังสารภาพเรื่องราวเองทั้งหมด"นี่มันเหี้ยมโหดเกินไปแล้ว ข้าก็ว่าแม่ทัพจ้าวผลงานโดดเด่นและภักดีต่อแคว้นมาโดยตลอด ไหนเลยจะคิดก่อกบฏจนตัวตาย""พวกท่านเอ่ยตอนนี้มันเกิดประโยชน์ใดหรือ ขุนนางเก่าแก่เช่นท่าน ท่าน และท่าน..." นิ้วหยาบระคายชี้หน้าพวกเขาอย่างดุดัน พวกเขารับรู้ถึงความครั่นคร้ามจากโอรสแห่งสวรรค์ก็พลันก้มหน้างุดแทบหยุดหายใจ"พวกท่านมันมีแต่คนขี้ขลาด!! คิดว่าข้าต้องเกรงใจขุนนางละโมบไปถึงเมื่อใด ข้าจะบั่นศีรษะพวกท่านและเปลี่ยนขุนนางใหม่ทั้งหมดก็ยังได้!" ร่างสูงลุกยืนบันดาลโทสะขันทีตัวสั่นเทา "ฝ่าบาท โปรดระงับโทสะด้วย"เวินเยี่ยนเฉินตวัดตามองฉับ "ระงับโทสะ! เป็นเจ้ามิใช่หรือที่คอยรายงานความเคลื่อนไหวของข้าให้พวกเขารู้""หา...ฝ่าบาทเข้าพระทัยผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ""หนวกหู! ทหาร เอาตัวขันทีเปาไปลงทัณฑ์ให้หนัก"ขันทีเปาหยู่ซินเบิกตาโพลง แขนทั้งสองของเขาถูกนายทหารกายกำยำสองคนถลัน