เขาอยากรู้ว่านางจะอดทนได้ถึงขั้นใดกัน พญามัจจุราชแววตาลุ่มลึกดำดิ่ง นึกสนุกจนอยากยิ้มเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คิดชั่วอะไรในหัว ผู้ใดจะรู้ดีเท่าตัวเขา ยามสายฝนต้องตกกระทบสัมผัสนาง หาได้ต่างจากยามดอกไห่ถังต้องละอองฝน กลีบดอกไม้บอบบางสีแดงร้อนแรง วันนี้ถูกกลบด้วยอาภรณ์สีขาว ดูบริสุทธ์ดื้อรั้นเสียจนอยาก...ดอมดมให้ช้ำตรม
เมื่อเห็นคนงามแซ่อวี่เดินเข้ามาใกล้ องครักษ์ทั้งสองของพญามัจจุราช มีนามว่าเจี้ยนฉางกับถางจี้ รู้หน้าที่ รีบเดินถอยห่างออกไปในทันที สายตาพวกเขาก้มต่ำ ผู้ใดจะกล้ามอง อย่างไรเสียก็ได้ชื่อว่าเป็นพระคู่หมั้น
สายฝนเย็นจนแสบผิว สายตาเขากลับเย็นยิ่งกว่า อวี่เทียนเหมยรู้สึกร้อนไปทั้งตัว ในหัวเริ่มมึนงง อึดอัดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่สิ่งใดก็ไม่ทำให้ทรมานได้มากเท่ากับวาจาของเขา ที่กล่าวมากระแทกใจให้รู้สติ “ลืมสิ้นแล้วหรือศักดิ์ศรี”
เสียงฝนตกดังไม่น้อย กระนั้นยังได้ยินวาจาของเขาชัดทุกถ้อย
อวี่เทียนเหมยเกิดคำถามกับตนเอง นางบ้าดีเดือด หรือไร้ศักดิ์ศรีดังที่เขาว่า จำเป็นต้องยอมมากถึงเพียงนี้เพราะเหตุผลใด หากมีคนรู้เข้าต้องอับอายยิ่งกว่าถูกถอนหมั้น บิดามารดาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ศีรษะของนางก้มต่ำ ย่อตัวลงทำความเคารพเขาไม่โต้ตอบ ก้มหน้ายินยอมรับทุกคำดูถูก เขาเป็นใคร นางเป็นใคร ต่อให้เขาหยามเกลียดอย่างไรก็ต้องอดทนไว้ ขอเพียงการหมั้นหมายสามารถดำเนินไปถึงการแต่งงานได้ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว
รอนานเท่าไร คำอนุญาตให้ลุกขึ้นยืนได้ก็ไม่มีออกจากปาก เหมือนเขาอยากแกล้งนางให้ทรมาน อวี่เทียนเหมยเงยหน้าขึ้น พบว่าเขากางร่มยืนมองนางอยู่อย่างเดิม
“ไม่ใช่ว่าทรงอยากให้หม่อมฉันตามมาหรอกหรือ” หนาวจนปากสั่น แต่รู้ว่ามายืนให้เขาจ้องหน้าเช่นนี้มันไร้ประโยชน์สิ้นดี อวี่เทียนเหมยตัดสินใจพูดออกไป
แววตาของนางยังเด่นชัดว่าสู้ไม่ถอย คนสูงกว่ามากจึงก้มตัวลงไป ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ใช้นิ้วชี้แตะที่แก้มขาวนวลของใบหน้างาม ลากไล้ปลายนิ้วอ้อยอิ่งวนไปมาเจตนากวนอารมณ์ “แตะต้องตัวแล้ว แต่งได้แล้ว”
หยาบโลน ล่วงเกิน ไร้มารยาท...
ครั้งนี้ดวงตาหงส์เต็มไปด้วยความโกรธ มือเล็กสองข้างกำแน่น เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงสิ่งใด “หม่อมฉันไม่ใช่..” พูดไม่ทันจบก็ตระหนกจนแทบหยุดหายใจ ตัวของอวี่เทียนเหมยไม่ถูกเม็ดฝนแล้ว เพราะครั้งนี้เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้นาง ร่มที่เขาถือเอาไว้จึงอยู่เหนือศีรษะของนางตามไปด้วย คนงามอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ทั้งกลัวทั้งโกรธ
เขากวาดสายตาไปทั่วใบหน้าคนงาม พินิจดูอย่างตั้งใจ ลำคอแห้งผาก อยากเข้าใกล้ไปถึงขั้นแนบชิด วันนี้ดวงตาทำงานคุ้มค่าแล้ว กลั่นแกล้งจนพอใจก็รีบผละห่างถอยหนี...กลัวยับยั้งชั่งใจไม่ได้ เห็นโทสะของนางเขายิ่งพอใจ ยิ้มที่พยายามควบคุมเอาไว้ก็เปิดเผยจนได้
อวี่เทียนเหมยสบตากับเขา สายตาเขาทำให้นางมีโทสะมากขึ้น เข้าใจในความหมายของสายตาที่สื่อมา รอยยิ้มเหยียดหยันที่เขามอบให้ ทำนางลืมไปเสียสนิทว่าคนตรงหน้าคือใคร ลืมไปว่าตนเองถูกสั่งสอนมา ต้องทำให้เขาพึงใจไม่ใช่เกลียดชัง ความอดทนถูกทำลาย ท้ายที่สุดแล้วก็ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มือเล็กขาวเนียนยกขึ้นมาตั้งท่าจะตบเข้าไปที่ใบหน้าอวดดีนั่น
ไม่ทันได้ทำตามใจคิด เสียงฟ้าผ่าดังอยู่ไม่ไกล มือง้างค้างอยู่ตำแหน่งเดิม สั่นเทิ้มทั้งตัว หลับตาเรียกหาสติตนเองชั่วครู่ เมื่อระงับอารมณ์ได้แล้ว คนงามลืมตาขึ้น หันมองไปรอบตัวจึงเพิ่งรู้ว่า ไม่แปลกเลยที่เขาพูดเช่นนั้นออกมา ในเมื่อห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าว คือ ตำหนักบูรพา
ไร้ศักดิ์ศรีจริงดังคำเขาว่าให้ เดินตามเขามาจนเกือบถึงถิ่นพำนักอาศัยหน้าตำหนักของไท่จื่อ ไม่เท่ากับนำตัวเองมาถวายตัวให้เขาแล้วหรือ!
ยังไม่นับที่ วันนี้เจอกันวันแรก!
เขาไม่ชอบใจนางอยู่แล้วเป็นต้น พอทำเช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เขา หากใครรู้เข้า นางเสียหายจนไม่มีโอกาสได้เงยหน้าเป็นแน่
แม้จะถอยห่างออกไปแล้วบ้าง เขาก็ยังจ้องหน้านางอยู่อย่างนั้น เพราะเขาสูงกว่านางมาก อวี่เทียนเหมยต้องแหงนหน้ามองเขาจนคอตั้งอธิบายเจตนาที่แท้จริง “หม่อมฉันเพียงแค่อยากถามเหตุผล”
เขาไม่ตอบ
“หากไท่จื่อจะกรุณา ทรงบอกหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ ว่าเพราะเหตุใดจึงปฏิเสธหม่อมฉัน…” คนงามอ้าปากเหมือนจะพูดมากกว่านั้น แต่ก็เงียบเสียงลง ความคิดในใจของนางออกจะไม่สมควรไม่น้อย
อวี่เทียนเหมยหนาวจนสั่นไปทั้งตัว กระนั้นเขายังนิ่งมองนางเฉยอยู่ ไม่พูดสิ่งใดเพิ่มเติม แววตาเขาทำให้นางไม่พอใจ ดูอย่างไรก็รู้ว่ามากด้วยความดูถูกไม่ชอบหน้า รออยู่นานจนหมดความอดทนอดกลั้น บุตรสาวคนรองตระกูลอวี่ขอบตาร้อนผ่าว ไข่มุกเม็ดงามเริ่มไหลออกจากดวงตาหงส์กลายเป็นน้ำตาอาบย้อมเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า
แรกเริ่มไม่แน่ใจ โม่เทียนอวี่ยื่นหน้าของตนเองเข้าไปมองความผิดปกติให้ใกล้ยิ่งกว่าเดิม นึกว่าร่มของเขามีรอยรั่ว ก่อนที่พญามัจจุราชจะชาวาบไปทั้งตัว มีความรู้สึกหนึ่งซึ่งเขาไม่รู้ชื่อปรากฏขึ้นมาอยู่ในใจ เมื่อเขาเห็นและรับรู้ได้เด่นชัดว่า ไม่ใช่น้ำฝน
แต่เป็นน้ำตา...
สาบานได้เลย
นับแต่เกิดจนเติบใหญ่เป็นบุรุษ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่ายี่สิบครั้ง เขาอยู่สนามรบ พบเจอบุรุษมากกว่าสตรี เห็นเลือดมากกว่าน้ำตา พบเจอหน้าใคร เขาต้องฆ่าให้เร็วที่สุด จะมีเวลาใดสนทนาจนได้เห็นน้ำตา!
แล้วไหนเลยจะเคยเห็นน้ำตาสตรี!
ความจริง...ใช่ว่าไม่เคยเห็น แต่เห็นต่อหน้าต่อตาใกล้ชิดจนลมหายใจปะทะใบหน้ากันเช่นนี้ นับเป็นครั้งแรก
ออกจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
คิ้วเข้มขมวดมุ่น เม็ดฝนคือฝน น้ำตาคือน้ำตา เขาไม่คุ้นเคยกับแววตาที่นางมองมา เพียงแต่รู้สึกว่า ไม่สบายใจเล็กน้อย
จะทำอย่างไรดี... เขายังไม่ทันได้รังแก น้ำตาของนางกลับกลายเป็นว่ารังแกเขาก่อน โม่เทียนอวี่ถอนหายใจ ใบหน้าเคร่งเครียด แววตาเศร้าสร้อยของคนงามนามอวี่เทียนเหมยทำให้เขาไปต่อไม่ถูก
ก่อนนางร้องไห้ นางถามเขาว่าเพราะเหตุใดเขาจึงปฏิเสธนาง
เขามีความรู้สึกต่อนางขึ้นมาครั้งแรก เป็นความรู้สึกที่เหมือนจะเรียกว่าสงสาร หากจะว่ากันตามความเป็นจริง นางหาได้มีความผิดอันใด เป็นเขาต่างหากที่ผิดต่อนาง คิดได้ดังนี้...เพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกผิดไปมากกว่าเดิม ด้วยเจตนาอันดี ต่อให้จะไม่ชอบแต่เขาก็ไม่อยากเห็นน้ำตา ตอบคำถามของนางออกไปว่า “ข้าปฏิเสธเจ้า เหตุผลมีข้อเดียว" เว้นช่วงเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาหนึ่งประโยคสั้น ๆ "เพราะเจ้าไร้ประโยชน์”
[1] เปียกไปทั้งตัว
“นางคนชั้นต่ำ อย่ามาเสนอหน้า” อวี่เหวินตวาดเสียงดังลั่น เขาเงื้อมือขึ้นสูง เดินตรงไปหาสตรีทั้งสอง สาวใช้ของอวี่เทียนเหมย ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง “หยุดการกระทำของท่านเดี๋ยวนี้” อวี่เทียนเหมยนั้น ชีวิตนี้นางไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร แต่พอได้เห็นท่าทีของพี่ใหญ่แล้วไม่อาจทน ซูผิงเป็นคนของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาหยามเกียรติของซูผิงได้ อวี่เหวินชะงักค้าง ท่าทางของเหมยเหมย ดูทรงอำนาจอย่างน่าแปลก เท้าหยุดก้าวโดยพลันทันที เขาไม่เคยเห็นเหมยเหมยเป็นเช่นนี้มาก่อน อนิจจา…พอได้ชื่อว่าเป็นสตรีของไท่จื่อ มีหยางลู่ไทเฮาอยู่เบื้องหลัง อวดดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ‘น่าชังจนหลงใหล’ อวี่เหวินอารมณ์เปลี่ยนไปมา ในใจเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น อยู่ ๆ เขาก็หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าอวี่เทียนเหมยไม่วางตา คิดว่าครั้งนี้เกินไปแล้ว อวี่เทียนเหมยดันซูผิงให้ไปอยู่ด้านหลัง สาวใช้ขืนตัวไม่ยินยอม แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่ง ซูผิงจึงยอมถอย แต่สาวใช้ยังตั้งท่าระวังภัย ไม่ยอมวางใจ “หากท่านไม่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่มีเกียรติดังเช่นท่าน” อวี่เทียนเหมยแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางไม่อา
‘เสี่ยวซาน…’ อวี่หลางซานกลับมาแล้ว พอนึกขึ้นได้ อวี่เทียนเหมยก็เหมือนจะเห็นทางสว่างรออยู่เบื้องหน้า น้องชายของนางเป็นทหารในกองทัพ มีตำแหน่งไม่น้อย ย่อมต้องมีเส้นสายและมุมมองที่กว้างไกลกว่านาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าเรื่องหนักอึ้งในใจของนางนี้ สามารถเล่าให้เสี่ยวซานฟังได้ เผื่อว่าน้องชายจะมีทางออกที่นางคิดไม่ถึงมาแนะนำ บิดาเกรงใจพี่ใหญ่มาก อวี่เทียนเหมยไม่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ดีส่วนไม่ดี เอาความดีมาลบล้างไม่ได้ แต่บุญคุณถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านพ่อ พี่ใหญ่นั้นบิดาของเขาสละชีวิต เพื่อท่านพ่อของอวี่เทียนเหมย ในอดีตก่อนท่านพ่อจะพบกับท่านแม่ ท่านพ่ออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาเก่า ต่อมาสำนักศึกษาเกิดไฟไหม้ เพื่อให้ท่านพ่อรอด บิดาของพี่ใหญ่ยอมสละชีวิตตายอยู่ในกองเพลิง ฝากฝังพี่ใหญ่ไว้กับท่านพ่อ บุญคุณมากล้น แค้นชำระแค้นด้วยชีวิตฉันใด บุญคุณชีวิตทดแทนด้วยชีวิตฉันนั้น บิดาถือเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้ต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากบิดาสอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง ก็ขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แต่งงานสร้างฐานะร่วมกับมารดา รับเลี้ยงพี่ใหญ่ให้เป็นบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่อายุมา
เอาเถิด…อย่างไรก็ได้สมรสพระราชทาน ได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยมาแล้ว นี่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ใจไม่แน่นอน ตำแหน่งแน่นอน อวี่เทียนเหมยยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนของหยางลู่ไทเฮา สุดท้ายแล้วต่อให้เขาไม่รักนางมากเพียงใด เขาก็จะไม่กล้าผิดใจกับไทเฮา คิดปลอบใจตนเองว่า ชีวิตจะยึดติดกับรักอย่างเดียวไม่ได้! “พี่รอง!” เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิด อวี่เทียนเหมยหันไปหาต้นเสียง อวี่ไฉฟงกำลังเดินจับมือบิดามารดามาที่โต๊ะกินข้าว อวี่เทียนเหมยส่ายศีรษะให้กับน้องสาว อวี่ไฉฟงเป็นคนช่างออดอ้อน ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าในสายตาของคนในครอบครัว แล้ว พฤติกรรมนี้ถือว่าน่ารัก! อวี่ไฉฟงแซ่อวี่ เป็นบุตรสาวตระกูลอวี่ อยู่ในจวนอยากทำกิริยาอย่างไรตามใจปรารถนา แต่ยามออกไปนอกจวน ต้องรักษากิริยาดีไม่แพ้ผู้ใด เรื่องราวระหว่างวันถูกถ่ายทอดเล่าให้กันฟัง ช่วยสร้างเสียงหัวเราะได้มากมายในมื้ออาหาร คนตระกูลอวี่รักใคร่กัน ข้อนี้รู้ไปทั่วเมืองหลวง แต่อยู่ ๆ ซูผิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เห็นสีหน้าสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเรื่องสำคัญมาบอก อวี่เทียนเหมยไม่เข้าใจเหมือนกัน ในหนึ่งวันนั้น
สองสามวันมานี้ จวนตระกูลอวี่คึกคักมากกว่าปกติ แขกมาเยี่ยมเยือนที่จวนหลายคนแบบไม่ซ้ำหน้า ระบุเจาะจงแทบทุกคนเสียด้วยว่า ต้องการพบอวี่เทียนเหมย สถานการณ์ไม่แน่นอน คนใจโลเลจะชอบเกาะหงส์เกาะมังกร[1] เอาใจไม่เลือกหน้า เผื่อว่ายามที่เดือดร้อนขึ้นมา แผ่นดินแบ่งแยกเมื่อใด จะได้มีข้ออ้างไว้เอาตัวรอด ต้าเฉวียนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ขุนนางซึ่งไร้ที่พึ่งทั้งหลาย ยามนี้เข้าหาทุกฝั่ง เดินสวนกันจ้าละหวั่น ไปจวนนั้นจวนนี้ จวนตระกูลอวี่จึงต้องรับแขกมากหน่อย เพราะประกาศของหยางลู่ไทเฮา คนมาเยี่ยมเยือนมากเพียงใดก็ตาม ในใจไร้ความยินดี แต่ก่อนพบหน้าไม่สบตา ยามนี้มาส่งยิ้ม ‘ความจริงใจหาไม่ได้’ ยิ่งมากคนยิ่งต้องระวัง จะรับของขวัญก็ต้องถี่ถ้วน ล้วนมีปัญหาสอดไส้มาได้ทั้งสิ้น อวี่เทียนเหมยกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นม้าใหม่ในสนามรบ ยังไม่กล้ารับแขกด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว จึงยกหน้าที่นี้ให้ตกเป็นของบุพการี บิดามารดารับแขกแทนบุตรสาวจนเหนื่อยอ่อน หมดแรงในทุกวัน ตกเข้ายามค่ำคืนมา อวี่เทียนเหมยลงมือเคี่ยวน้ำแกงใส่สมุนไพรบำรุงร่างกาย ทำอาหารมากมาย แทนคำขอบคุณ จ
ส่วนนาง… อวี่เทียนเหมยขอไม่เชื่อ คิดในแง่ดีทั้งที่ความจริงเป็นแง่ร้าย ตระกูลอวี่จะมีหงส์สองตัวได้อย่างไร ในเมื่อหงส์ตัวแรกที่หมายถึงนาง เดินมายังไม่ถึงครึ่งเส้นทาง ก็ดูจะพบทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่! ท่านพ่อท่านแม่นั่งอยู่ไม่ไกล ตระกูลอวี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีลำดับขั้นได้ถวายของขวัญในตอนท้าย อวี่เทียนเหมยรีบลุกขึ้น เมื่อมองเห็นว่ามารดาส่งสายตามาเป็นสัญญาณเรียก เมื่อตระกูลอวี่ถวายพระพรไทเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาถึงคราวของอวี่เทียนเหมย เจียถิงและซูถิงเดินตามมาเพื่อถือภาพวาดขนาดเท่าตัวคนให้ สาวใช้ยืนคนละฝั่ง กางภาพวาดออกมาเห็นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ อวี่เทียนเหมยสังเกตพระพักตร์หยางลู่ไทเฮา นางมียิ้มละมุนบนใบหน้า เมื่อเห็นร่องรอยของความความพอพระทัย ปรากฎอยู่เต็มพระพักตร์ นางกราบทูลไทเฮาเสียงดัง “ชีวิตของเหมยเหมย นอกจากบิดามารดา หม่อมฉันมีฝ่าบาทและไทเฮาเป็นผู้มีพระคุณ ภาพวาดผืนนี้ หม่อมฉันวาดด้วยใจที่สำนึกรู้ ซาบซึ้งในพระเมตตา คำอวยพรใดในใต้หล้า หม่อมฉันไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ด้วยว่าไทเฮาทรงเป็นมงคลยิ่งแล้ว” หยางลู่ไทเฮาทอด
มู่ฮองเฮาเก็บโทสะไว้ในพระทัยไม่แสดงออก องค์หญิงหยางลู่อิงฮวา เพราะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการเป็นชายาของเสี่ยวหยาง มู่ฮองเฮาก็ขอปฏิเสธ หัวแข็งจนน่าชัง ทั้งยังควบคุมยากเกินไป! การแสดงขลุ่ย แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ว่าองค์หญิงหยางลู่อิงฮวากลับได้รับพระราชทานรางวัลจากไทเฮามากกว่าใคร เพราะเหตุผลใดใครจะรู้ดีเท่าหยางลู่ไทเฮา “เสียงขลุ่ยขององค์หญิงไพเราะมากเพคะ” อวี่เทียนเหมยรีบเอ่ยทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา อีกฝ่ายยักไหล่ “ขอบคุณคำชมที่จริงใจของท่าน” อวี่เทียนเหมยชะงักค้าง องค์หญิงรับมือได้ยากยิ่ง ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าตัว จึงค่อยวางใจว่าเมื่อครู่โดนแกล้ง “หากเจ้าไม่อาย ก็ควรสงสารหูคนฟังบ้างเถิด” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง สตรีสองนางที่นั่งข้างกันหันหน้าไปมอง คนหนึ่งหันหน้าหนี ส่วนอีกคนเบ้ปากใส่ผู้มาใหม่ทันที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นบนเรือ ไม่มีที่นั่งชัดเจนเหมือนงานเลี้ยงที่วังหลวง หยางลู่ไทเฮามีพระประสงค์อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เคร่งครัดพิธีมากจนเกินไป ใครปรารถนาจะนั่งที่ใดก็ตามแต่ใจ จึงมีคนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างม