/ รักโบราณ / หงส์เหนือพันธการ / บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

공유

บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

작가: KUNNUK
last update 최신 업데이트: 2025-05-10 08:13:56

     ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู

    อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า”

     “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร

     อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้  ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา

     แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้าออกไปพบปะผู้คน ซูผิงรักษาหน้าของจวนตระกูลอวี่ได้ดีกว่าเจ้านายเสียอีก

     สาวใช้ทั้งสองคนของอวี่เทียนเหมย ล้วนดียิ่ง !

     อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต เจียถิงอายุมากกว่าสามปี อวี่เทียนเหมยและซูผิงอายุเท่ากัน เจียถิงจึงมีกิริยาสงบนิ่งดีกว่าทุกคน

     สิ่งใดอวี่เทียนเหมยเรียนรู้หรือพบเจอ เจียถิงกับซูผิงอยู่ร่วมด้วยเสมอ

ยกมือขึ้นมานับนิ้วดู ปีนี้อวี่เทียนเหมยอายุได้สิบเจ็ดปี เจียถิงอายุยี่สิบปี

     ต้าเฉวียนมีธรรมเนียมประเพณี เด็กสาวก้าวล่วงสู่หญิงสาวอายุสิบห้า แต่งงานครั้งแรกอายุไม่เกินสิบเจ็ดปี รอบแต่งงานครั้งที่สองไม่เกินยี่สิบปี หากบุตรสาวไร้สามารถไม่อาจหาคู่ครองได้ด้วยตนเอง บิดามารดาต้องวิ่งวุ่นติดกันตลอดเวลาสามสี่ปีนี้  ไม่เช่นนั้นบุตรสาวก็ต้องครองตัวเป็นโสดหรือไม่ก็ออกบวชสั่งสมบุญให้ได้มีคู่ครองในชาติหน้า

     อวี่เทียนเหมยจึงต้องแต่งเข้าวังหลวงให้ได้ ไม่มีข่าวการหมั้นหมายของบุตรีขุนนางในรุ่นราวคราวเดียวกันกับอวี่เทียนเหมยคนไหนถูกประกาศได้อย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่านางอีกแล้ว!

     แม้สถานะของตนจะค้างเติ่งเข้าขั้นร่อแร่ อวี่เทียนเหมยก็ยังห่วงสาวใช้ ตัวของนางมีโอกาสเหลือเฟือ หากพยายามเข้าให้มากหน่อยย่อมสำเร็จ แต่เจียถิงไม่ใช่ เจียถิงผ่านพ้นช่วงอายุการแต่งงานทั้งสองครั้งแล้ว

     สาวใช้ทั้งสองของอวี่เทียนเหมย พูดโดยไม่อคติ ไม่ว่าจะใช้สายตาของใครมอง ล้วนเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า เจียถิงกับซูผิงนับเป็นสาวงาม คุณสมบัติอันควรจะมีล้วนมีครบถ้วน ดีไม่มีข้อติ ติดแค่ว่าเป็นสาวใช้

    อวี่เทียนเหมยเรียนรู้เรื่องใด บทกลอน ตำรามากมาย เจียถิงกับซูผิงต้องเรียนรู้ไปด้วย อาจจะไม่ถึงขั้นแตกฉาน แต่กล่าวได้ว่าศึกษามาไม่น้อยหน้าเหล่าบัณฑิต มีข้อห้ามสำคัญจากท่านพ่อ ต่อให้เป็นสตรี..ความรู้ห้ามด้อยน้อยไปกว่าใคร ด้วยว่าเป็นคนของจวนราชครู

     กิริยามารยาท ข้อควรและข้อห้าม ศาสตร์และศิลป์ คุณธรรมและคุณสมบัติ ครบถ้วนกระบวนความ หากใครกล้าเคลือบแคลงสงสัย ต้องเดินเท้าไปขอเข้าเฝ้าหยางลู่ไทเฮาที่เป็นผู้อบรมสั่งสอนด้วยพระองค์เอง

จะให้ไปบวชชีติดตามไปพร้อมกันกับนาง ไม่น่าเสียดายแย่หรือ !

     หากอวี่เทียนเหมยได้เป็นไท่จื่อเฟย ข้อดีแอบแฝงก็คือ เจียถิงกับซูผิงจะมีโอกาสได้แต่งงานกับบุรุษที่ดี ในฐานะนางกำนัลของไท่จื่อเฟย ไม่มีใครกล้าหยามเกียรติ

     อวี่เทียนเหมยนึกอยากพูดอะไรสักเล็กน้อย แต่กลับมีเสียงดังขึ้นมาขัดความตั้งใจเสียก่อน พอฟังดูแล้วก็ว่าเป็นเสียงของซูผิง ซูผิงร้องตะโกนมาตั้งแต่ปากทางเข้าห้อง “นายท่านและฮูหยินเชิญทางนี้เจ้าค่ะ”

     ที่แท้เป็นเสียงสัญญาณเตือนว่าให้เตรียมความพร้อมรอเอาไว้ล่วงหน้า เจียถิงวางงานในมือลง รีบกวาดสายตาหาความบกพร่องภายในห้องนอน จัดการความยุ่งเหยิงให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจียถิงจึงค่อยถอยหลังเดินห่าง เว้นที่ว่างให้พ่อแม่ลูกได้สนทนากัน

     “ท่านพ่อ ท่านแม่” อวี่เทียนเหมยตั้งท่าว่าจะลุกขึ้นทำความเคารพบิดามารดา บุพการีพลันโบกมือส่ายหน้าทัดทาน บอกให้นั่งลงตามเดิม

     “ร้องตะโกนได้ยินไปถึงหน้าจวน” ก่อนจะพูดธุระ อวี่ฮูหยินไม่ลืมตำหนิสาวใช้ของบุตรสาว หันไปมองคนที่มาด้วยกัน เห็นว่าผู้เป็นสามียังนั่งนิ่ง จึงพยักเพยิดบอกราชครูอวี่ไปว่า “ช้าอยู่ไย”

     อวี่เทียนเหมยยิ้มอ่อนให้บิดาที่มีท่าทางแปลกตากว่าครั้งใด ดูออกได้อย่างชัดเจนว่า ท่านพ่อกำลังมีเรื่องกังวลใจ เพราะบิดาเหลียวมองหน้านางสลับกับมองหน้าท่านแม่ไปมา แล้วก็ไม่พูดอะไร นิ่งเงียบกันไปไม่นาน ท่านพ่อก็ถามนางมาหนึ่งประโยค

     “ให้พ่อกราบทูลฝ่าบาทดีหรือไม่” ราชครูอวี่มีใบหน้าไม่สู้ดีนัก ตัดสินใจตรงเข้าประเด็นในคราวเดียว

     อวี่เทียนเหมยรู้สึกดีใจอยู่บ้าง เมื่อสัมผัสได้ว่ายามกล่าวถึงเรื่องราวอันน่าอายของตนเองแล้ว นางนิ่งเฉยมากกว่าที่คาดเอาไว้ เรื่องนี้คงต้องยกความชอบให้ซูผิง ความช่างพูดของสาวใช้ ช่วยทำให้นางมีเวลาเตรียมใจในเบื้องต้น ป่านนี้คงรู้กันไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ว่าบุตรสาวของราชครูอวี่ถูกองค์รัชทายาทปฏิเสธ แน่นอนว่าข้อความเหล่านั้นย่อมต้องก้าวล่วงมาถึงหูท่านพ่อท่านแม่

     “รู้แล้วหรือเจ้าคะ” อวี่เทียนเหมยถามอย่างเข้าใจในความหมาย ซึ้งใจในความห่วงใยของบุพการี น้ำตาของนางเอ่อคลอเล็กน้อย อย่างไรก็ต้องมีอารมณ์ร่วมบ้าง เพราะเป็นเรื่องของตน เหตุการณ์ที่เพิ่งเจอมา สะเทือนใจไม่น้อยเลย

     อวี่เทียนเหมยรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย ไม่ว่าสำหรับใครทั้งสิ้น กราบทูลที่บิดากล่าวนั้นหมายถึง การไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วขอยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย  อวี่เทียนเหมยเชื่อว่า ต่อให้เป็นท่านพ่อที่เป็นพระสหาย ผ่านเป็นร่วมตายกับฝ่าบาทมามากเพียงใดก็ตาม หากฝ่าบาททรงทราบถึงข้อความนี้  ไม่พ้นต้องทรงกริ้ว อวี่เทียนเหมยไม่อยากให้ฝ่าบาทและท่านพ่อต้องมาผิดใจกัน เพราะเรื่องของบุตร นางจึงต้องพึงระวังรักษาทั้งท่าทาง และคำพูดของตนเองเอาไว้ให้มาก

     อวี่เสียนพูดไม่ออก เห็นอวี่เทียนเหมยแล้วก็สงสารบุตรสาวจับใจ รู้สึกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ชวนให้กระอักกระอ่วนเหลือเกิน เรื่องราวเบื้องหลังที่เพิ่งได้ฟังมา คำขู่เข็ญที่เพิ่งได้รับ ไม่ทำไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ แต่หากปล่อยให้ดำเนินต่อไป บุตรสาวจะไม่มีความสุขมากกว่ามีความสุข

     อวี่ฮูหยินถอนหายใจ สามียึกยักไม่ได้ใจความเหมือนยามสอนลูกศิษย์ ทั้งพ่อและลูกล้วนสงวนท่าที โชคดีที่เหมยเหมยเข้าใจง่าย พูดสองสามคำก็เข้าใจถึงเจตนา อวี่ฮูหยินบอกบุตรสาวว่า “ฝ่าบาทเสด็จมา”

     อวี่เทียนเหมยตกใจอยู่บ้างเมื่อได้ยิน เหลือบตาไปมองซูผิง สาวใช้กลับส่ายหน้าว่าไม่รู้ ตกใจทว่าไม่ได้แปลกใจมากเท่าใดนัก โอรสสวรรค์เสด็จมาที่จวนตะกูลอวี่บ่อยครั้ง เพื่อให้ความอึดอัดใจหายไป อวี่เทียนเหมยส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า “ไม่ยกเลิกเจ้าค่ะ ตั้งใจไว้แต่แรกอย่างไร ต้องเป็นอย่างนั้น เพียงแต่…” อวี่เทียนเหมยลุกขึ้นยืน คุกเข่าลงไปที่พื้น ก้มหน้าลงต่ำ บอกบิดามารดา “บุตรสาวทำเรื่องน่าอาย”

     “เหมยเหมย” อวี่ฮูหยินรีบประคองบุตรสาว ปลอบโยนด้วยข้อเท็จจริง “เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทั้งหมดล้วนอยู่เหนือการควบคุม เราต้องจำยอมแล้วแต่แรก ใครจะไปคิดว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จงจำไว้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม สำหรับแม่ เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”

     อวี่เทียนเหมยน้ำตาร่วงเผาะ เมื่อน้ำตาไหลแล้วก็ไหลไม่หยุด อยากจะพูดอะไรสักอย่าง เพื่อไม่ให้บิดามารดาต้องเป็นกังวลเพราะตนเอง คำพูดมากมายกลับถูกยับยั้งเอาไว้ เพราะการร้องไห้ อวี่เทียนเหมยร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทมในใจที่เก็บสะสมเอาไว้ ไม่ระบายออกไปสักที อดก่นด่าตนเองไม่ได้ ‘ทำให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นห่วงอีกแล้ว’

     พอเห็นน้ำตาบุตรสาว อวี่เสียนก็เบือนหน้าหนีในทันที รู้สึกว่าตนทนมองต่อไปไม่ได้ หัวอกคนเป็นบิดา ทุกข์เหลือเกินเมื่อเห็นบุตรสาวไม่มีสุข

     ราชครูอวี่นึกถึงไปองค์รัชทายาท ไท่จื่อนับเป็นศิษย์ชั้นเอก ในฐานะราชครู เขาเป็นอาจารย์ของอีกฝ่ายตั้งแต่อายุได้ห้าขวบ อยู่สนามรบตะเข็บชายแดน ไกลเพียงใดก็ดั้นด้นตามไปสอน หนึ่งปีพบหน้าพญามัจจุราชมากกว่าฮูหยินของตนเสียอีก แล้วไยศิษย์รักจึงไม่ไว้หน้ากัน ไม่เห็นแก่ความดีเลยแม้แต่น้อย อวี่เสียนมคำด่ามากมาย ทว่าทำได้เพียงแค่ กัดฟันพูดว่า “หากไม่ยินดี ข้าก็ไม่ยินดี ยกเลิกเสียแต่วันนี้”

    “ยกเลิกไม่ได้” อวี่ฮูหยินทัดทานอารมณ์ของสามี เห็นต่างอย่างชัดเจนกับถ้อยคำเมื่อครู่ ทั้งในฐานะมารดาและสตรีด้วยกันอวี่ฮูหยินคิดว่าตนเองรู้ใจบุตรสาว อวี่เทียนเหมยเงียบขรึมไปเลย แล้วยังแสร้งว่ามีรอยยิ้ม มีหรือที่คนเป็นแม่จะแยกแยะไม่ได้ อวี่ฮูหยินเข้าใจอย่างชัดแจ้ง กับความตั้งใจของบุตรสาว คิดคำนวณในทุกทางหาทั้งเหตุและผล หากยกเลิกสัญญาหมั้นหมาย เป็นผลร้ายมากกว่าดี

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๓ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยสบตากับมารดา รู้สึกอุ่นใจขื้นมาอีกมาก ท่านแม่เข้าใจในเหตุผลของนาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าตนเองยังสามารถทนได้ อยากจะลองพยายามดูอีกสักครั้ง ทนมาแล้วแต่แรก ทนอีกต่อไปก็ไม่เสียหาย รู้ดีว่าหากตนทนไม่ไหว ประเมินแล้วได้ข้อสรุปว่า ตั้งรับกับไท่จื่อไม่ได้ นางคงร้องไห้โฮกลับจวนแต่วันแรก ไม่ปล่อยให้เวลาผ่านมานานถึงเจ็ดวัน แล้วจึงค่อยฟูมฟาย แม้จะโกรธเคืองพญามัจจุราชเพียงใด ก็ไม่มีความคิดจะยกเลิกมากเท่า ปรารถนาให้การหมั้นหมายยังคงอยู่ อวี่เสียนเห็นท่าทีของฮูหยินและบุตรสาว พลันเกิดความรู้สึกสับสนในใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะต้องเสียใจ หรือยินดีกับความเข้มแข็งทางจิตใจของเหล่าสตรีแซ่อวี่ ที่มีมากจนเกินความพอดีนี้ “แล้วเจ้ายินดีหรือ” บิดาถามไถ่บุตรสาว “แล้วข้ายกเลิกได้หรือเจ้าคะ” ส่งถามคำถามที่มีคำตอบตายตัวอยู่แล้วออกไป ไม่มีใครตอบนางในข้อนี้ได้สักคน ทุ่มเถียงกันอย่างไร มีเพียงคนตระกูลอวี่ก็ไม่อาจยกเลิกได้ อวี่เทียนเหมยยิ้มพร้อมน้ำตาก่อนจะพูดถึงเรื่องกังวลใจอีกหนึ่งเรื่องออกไป “พี่ใหญ่…” บุตรสาวพูดไม่ทันได้จบประโยค เพียงแค่กำลังจะเริ่มเท่านั้น อวี่ฮูหยินผู้เป็นมารด

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๒ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    ฟ้าฝนกำลังจะลาจาก ส่งท้ายฤดูกาลด้วยสายลมหนาว เป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมพร้อมกับเหมันต์ฤดู อวี่เทียนเหมยสวมเสื้อคลุมอยู่แล้วยังคิดว่าหนาวอยู่ดี ต่อมาเมื่อเจียถิงเอาผ้าอีกผืนมาคลุมเพิ่มให้ จึงรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง คนงามเหลียวมองรอบห้องหาสาวใช้อีกคน แน่นอนว่าไม่มีเสียงพูดเจื้อยแจ้วเข้าหู แสดงว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในบริเวณนี้ “ซูผิงเล่า” “นางไปเอายามาให้คุณหนูเจ้าค่ะ” เจียถิงตอบกลับมา รู้ว่าเจ้านายมองหาอะไร อวี่เทียนเหมยพยักหน้าว่ารับรู้ มองตามสาวใช้ คุ้นชินแล้วกับการหางานทำอย่างไม่หยุดหย่อนของเจียถิง แม้ไม่มีงานให้ทำ เจียถิงก็จะไปหาอะไรสักอย่างมาทำจนได้ ปากของเจียถิงนิ่งสงบ ลมไม่มีโอกาสเข้าปาก หากไม่มีคนถาม แต่มือของเจียถิงตรงข้ามกัน เคลื่อนไหวตลอดเวลา แตกต่างจากซูผิงที่ไม่มีทางอยู่นิ่ง ยิ่งกับการสนทนาหาข่าวที่ชอบอ้างว่าทำไปเพื่อเปิดหูตาให้กว้างไกล หรือเรียกอีกอย่างว่าการซุบซิบนินทานั้น ดูจะเป็นงานหลักมากกว่าการดูแลเจ้านายอย่างอวี่เทียนเหมย ซูผิงอยู่ไม่ติดที่ วิ่งไปมาทั้งวัน อยู่นอกจวนมากกว่าในจวน แต่ไม่มีผู้ใดตำหนิจริงจังเสียที เพราะซูผิงซุกซนเพียงแค่ในจวน เมื่อก้าวเท้า

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๓ ไร้ประโยชน์

    พูดช้า ๆ เสียงหนักแน่น ใบหน้าเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ เขาเคยชินกับการพูดโดยไม่จำเป็นต้องคอยสังเกตสีหน้าของใคร เมื่อพูดแล้วก็ลุกขึ้นยืน ฝนยังไม่หยุดตก สภาพนางเหมือนไก่ในน้ำแกง [1]เขาตัดสินใจทิ้งร่มในมือไว้ข้างตัวนาง เพียงแต่ปล่อยมือเร็วไปเล็กน้อย ร่มร่วงลงไปที่พื้น...ราวกับว่าเขาขว้างทิ้ง หาใช่เรื่องที่ต้องใส่ใจ โม่เทียนอวี่หันหลังกลับไปหาเจี้ยนฉางและถางจี้ ยื่นมือไปรับร่มอีกคันจากองครักษ์ สายฝนต้องถูกตัวไม่น้อย เขาร่างกายแข็งแรงยังรู้สึกเย็น แล้วกับสตรีนางหนึ่งเล่า... สลัดความรู้สึกผิดออกจากใจได้ไม่หมด ออกคำสั่งกับเจี้ยนฉางว่า “เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย” เจี้ยนฉางรับคำ โม่เทียนอวี่วางใจ ไม่ต้องพูดให้มากมาย โดยปกติเขาสงวนถ้อยคำยิ่งกว่าทองคำ มีวันนี้พูดมากไปกว่าทุกวัน ชี้แจงมุมมองของตนเองตามคำถามแล้ว เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง กลับกัน…. อวี่เทียนเหมยน้ำตาไหลพราก ไม่เคยรู้สึกว่าตนเองตกต่ำมากถึงเพียงนี้ เขากล่าวว่านางไร้ประโยชน์! สามคำนี้เด่นชัดในหู สลักลึกยิ่งกว่าคำว่าไร้ศักดิ์ศรี! ไม่รู้ว่าเพราะตากฝนนาน หรือเพราะถ้อยคำที่ได้ยิน ส

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๓/๑ ดอกไม้บานเพียงหนึ่งเดียว

    อวี่เทียนเหมยนอนหงายอยู่บนเตียง เงยหน้ามองเพดาน สีหน้าบางครั้งซีดเซียวกว่าคนป่วยไข้ปกติธรรมดา บางคราก็แดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้เหตุผล ผ้าห่มหลายผืนถูกคลุมไว้บนร่างกายซ้อนทับกันไว้ให้ความอบอุ่น คนงามปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัวเพราะพิษไข้ นับได้เจ็ดวันหลังจากวันนั้น นางไม่รอให้ฝนซารีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตำหนักฉือหนิง ฐานที่มั่นอันคุ้นเคยหนึ่งเดียวของอวี่เทียนเหมยในวังหลวง ไทเฮามีพระเมตตามากล้น พระราชทานเสื้อผ้าชุดใหม่ไหมล้ำค่าปลอบประโลมใจ คนงามมีใบหน้ายิ้มแย้มกลับจวน กลัวคนในครอบครัวเป็นกังวล ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการทรุด ล้มป่วยจนได้ บิดามารดา เห็นสีหน้านางไม่ถามไถ่ อวี่เทียนเหมยไม่กล้าคาดเดา และไม่ได้บอกเล่าออกไปว่าเรื่องราวในวันนั้นเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วเป็นคนไม่ชอบโกหก หากถูกถามขึ้นมาไม่พ้นต้องบอกตามจริง ยิ่งคิดยิ่งอาย อยากย้อนเวลากลับไปได้ รู้สึกว่าตนเองขาดการไตร่ตรองไม่น้อย หากกลับจวน วันหน้าค่อยไปพบ บางทีคงดีกว่า ‘โง่เขลายิ่งนัก’ มีเพียงคำก่นด่า สมน้ำหน้าตนเอง เอาเถิด…หากไม่ทำก็ไม่หายข้องใจ อย่างไรก็ย้อนกลับไปแก้ไขไม่ได้! ถอนหายใจอีกครั้ง หลับตาลงตั้

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๒ ไร้ประโยชน์

    เมื่อนั้น… เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจที่นางงดงาม ! เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว! ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๒/๑ ไร้ประโยชน์

    อวี่คือแซ่ อักษรเหมยท้ายชื่อมาจากวันที่นางเกิดนั้นมีดอกเหมยบานสะพรั่งทั่วแผ่นดิน อักษรตัวสำคัญคือคำว่าเทียน ไหนเลยจะมาจากผู้อื่น เป็นเขาผู้นั้น องค์รัชทายาทโม่เทียนอวี่ อักษรเทียนนี้ ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่นาง พร้อมพระราชโองการระบุสัญญาหมั้นหมายที่มาเยือนถึงหน้าจวนตระกูลอวี่ สัญญาหมั้นหมายแตกต่างอย่างไรกับการผูกมัด ใคร ๆ ก็ว่าเป็นเรื่องมงคลยิ่ง มงคลอย่างไรกัน...แตกต่างจากพันธการอย่างไรหรือ อักษรเทียนกลางชื่อของอวี่เทียนเหมย ก็เป็นดังรับสั่งจากสวรรค์ ให้นางยึดเขาเป็นศูนย์กลางของชีวิต โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ ‘ชีวิตของหม่อมฉันไม่เคยได้ใช้เพื่อตนเอง ล้วนแต่เพื่อพระองค์ทั้งสิ้น’ ไม่ชอบไม่ว่า ไม่เคยปรารถนาให้รัก...แต่มาหยามเกียรตินางต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่ละอายใจบ้างหรือ ตัวเป็นบุรุษกลับรังแกสตรีด้วยวาจา เขาอายุนับปีนี้ได้ยี่สิบสองปี มากกว่านางถึงห้าปี เด็กน้อยอายุห้าปี...อ่านตำรารู้ภาษาคนแล้ว ตรงข้ามกับนางซึ่งยังเป็นทารกน้อยนอนอยู่ในห่อผ้า หากไม่ยินดี เหตุใดจึงไม่ปฏิเสธด้วยตนเองตั้งแต่ยามนั้น ปล่อยเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนถอยหลังกลับไม่ได้เพื่อสิ่งใด! องค์รัชทายาทโม่เที

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๓ ยินยอม ไม่ยินดี

    มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัย ใช่ว่าปรารถนาให้พวกเขาเคียงคู่กันรักมั่นดั่งนกยวนยาง ขอเพียงหงส์เคียงคู่มังกรอย่างสงบสุข ขอความเมตตาเล็กน้อยจากโม่เทียนอวี่ให้แก่อวี่เทียนเหมย มันยากมากนักหรือ! “แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร” พระองค์ไม่ตรัส โม่เทียนอวี่ก็ไม่พูด หากทรงไม่ริเริ่มการสนทนาก็ไม่พ้นไม่ได้ความ “แปดเก้าไม่ห่างสิบ”[1] ‘ห่างมากทีเดียวเด็กโง่!’ ทรงเข้าพระทัยในความหมายของถ้อยคำ แต่จะให้ทำตามไม่ได้เด็ดขาด ไท่จื่อเฟยก็คือไท่จื่อเฟย ใช่ว่าเป็นสตรีขององค์รัชทายาทแล้วจะมีฐานะเทียบเท่ากันทุกตำแหน่ง! ความจริงทรงไม่จำเป็นต้องถามเหตุผลเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่พระราชโองการเดียว โม่เทียนอวี่ก็ไม่อาจขัดขืน อยากบังคับเหลือเกิน แต่บังคับไม่ได้ เพราะพระโอรสของพระองค์ โม่เทียนอวี่เป็นผู้กล้าตัดข้อมือ [2]เด็ดขาดไม่เกรงกลัว ตัดสินใจแล้วไม่พิจารณาซ้ำสอง เอาเถิด… มรรคาสามพัน สวรรค์ไม่ตัดหนทางมนุษย์ [3]โอกาสใช่ว่ามีหนเดียว อย่างไรเสีย...ก็ไม่มีคำปฏิเสธว่าจะไม่แต่ง ไม่ย่อท้อ ไม่หมดหวัง จึงจะสมหวัง “เช่นนั้น หากข้าบังคับเจ้า...ประกาศพระราชโองก

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๒ ยินยอม ไม่ยินดี

    การเดินเท้าเงียบงัน ไม่มีกระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้น อวี่เทียนเหมยเดินตามเสิ่นกงกงมาเรื่อย ๆ ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกับผู้เฒ่าที่ตั้งหน้าตั้งตานำทาง จวบจนเดินเข้ามาในเขตหวงห้าม อวี่เทียนเหมยมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน ยังเป็นเฉกเช่นครั้งล่าสุดที่ได้มาเยือน ห้องทรงพระอักษร พื้นที่ส่วนพระองค์ของโม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้ ฝ่าบาททรงแยกไว้เป็นสัดส่วนกับห้องทรงงาน อวี่เทียนเหมยหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย ยามเฝ้ารอ...เหตุใดจึงนานนัก ยามถึงเวลา...เหลือทางข้างหน้าอีกเพียงแค่หนึ่งก้าว นางกลับเริ่มไม่แน่ใจราวกับว่าที่ผ่านมายังเตรียมตัวได้ไม่ดีพร้อม อยู่ ๆ ใจก็เต้นแรงอีกครั้ง มือสองข้างบีบเข้าหากันแน่น อึดอัดจนหายใจไม่ค่อยสะดวก ทั้ง ๆ ที่ห้องโปร่งโล่งสบายอากาศถ่ายเท หากไม่ใช่ว่ารู้สึกไปเอง เหมือนจะมีเหงื่อออกที่ใบหน้าเล็กน้อย เข้าเฝ้าฝ่าบาทร้อยครั้งไร้ความตื่นเต้น อวี่เทียนเหมยไม่เคยเป็นเช่นนี้ โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ พญามัจจุราชองค์รัชทายาทแห่งต้าเฉวียน เขาทำให้นางผิดแปลกไปจากเดิม เขาจะเป็นอะไรก็เป็นไป อวี่เทียนเหมยหาได้ใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคู่หม

  • หงส์เหนือพันธการ   บทที่ ๑/๑ ยินยอม ไม่ยินดี

    แคว้นต้าเฉวียนรัชศกฮุ่ยอัน,โม่เหยียนไซ่ฮ่องเต้วังหลวง . ช่วงท้ายปลายฤดูฝน พายุโหมกระหน่ำแทบทุกวันไม่เว้นว่าง ยามนี้เป็นเวลากลางวัน ทว่าท้องฟ้ากลับกลายเป็นสีดำมืดมิด เสียงลมพัดหวีดหวิวสอดประสานกับเสียงฟ้าร้องคำราม เมฆฝนกลุ่มใหญ่เคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาหา บ่งบอกว่าช่วงเวลาของพายุยังอีกยาวนาน หากบอกว่าสวรรค์พิโรธโกรธเคืองคงเชื่อได้โดยไร้ข้อสงสัย วันนี้ที่เฝ้ารอ วันที่ควรจะเป็นมงคลยิ่ง กลับถูกธรรมชาติทำให้หวั่นใจไปเสียแล้ว เทพธิดากำลังเดินเยื้องย่างท่ามกลางพายุฝน หากมีใครสักคนมาเห็นย่อมมีเสียงชื่นชมเช่นนี้ เพียงแต่ว่าฝนห่าใหญ่ทำให้มนุษย์หลีกเร้นหลบซ่อนหนี คนงามซึ่งหวังจะจำแลงกายเป็นเทพธิดาท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายจึงต้องผิดหวัง หนทางเดินเข้าสู่วังหลวง ไร้ผู้คนสวนทาง อัสนีบาตกระทบเข้านัยน์ตา โสตประสาทตื่นตัวยิ่งกว่าเคย ท่าทางภายนอกคนงามดูสงบนิ่ง ทว่าในใจหาได้เป็นเช่นนั้น ร้อนรนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่ต้องให้ใครมาบอก ก็รู้ได้ทันที ‘วันนี้ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว’ คนงามถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เวทนาในชะตาของตน อากาศเย็นจนหนาวสั่น ละอองฝนสัมผัสถูกตัวไม่น้อย แต่กลับดับความร้อนภ

좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status