พี่ชายของนาง อวี่เหวิน พี่ใหญ่เขาแต่งเข้าวังหลวงเป็นราชบุตรเขย นับแต่วันแต่งงานของเขา ทุกคนในจวนตระกูลอวี่ กระทำสิ่งใดก็ตาม ห้าในสิบส่วน ต้องไว้หน้าเขา พี่ใหญ่เปลี่ยนไปตามที่อยู่อาศัย จวนตระกูลอวี่เลี้ยงเขามา แต่ห้ามทำให้เขาอับอาย พี่ใหญ่ไม่ใช่คนตระกูลอวี่แต่แรก เป็นลูกบุญธรรมของท่านพ่อท่านแม่ เลี้ยงตัวได้แต่เลี้ยงใจไม่ได้ อวี่เหวินผู้ควรจะเป็นที่พึ่งให้น้อง ๆ ไม่มีแล้ว
วันหน้าบิดาลาจาก ใครจะเป็นที่พึ่งให้ทุกคน หากไม่ใช่นาง...ตำแหน่งไท่จื่อเฟยจะช่วยให้จวนตระกูลอวี่ดำรงคงอยู่ได้ อวี่เทียนเหมยนึกถึงหน้าบิดามารดายามนางเดินตามพญามัจจุราช นางเหนื่อยหอบ หายใจรัวเร็ว รู้สึกร้อนทั้งที่ฝนยังตกลงมาไม่ขาดสาย เป้าหมายของนางยิ่งนางเดินช้า เขายิ่งเดินห่าง เขาเดินก้าวเดียวเทียบเท่านางเดินสามก้าว
ใครเห็นเข้าคงได้หัวร่อ ขบขันว่านางวิ่งตามบุรุษไม่อายฟ้าดิน!
ทางเดินทอดยาวออกไปไกลเหมือนไร้จุดสิ้นสุด ไท่จื่อนั้นราวกับว่าเขาเหาะได้ แม้มองจากที่ไกล ๆ อวี่เทียนเหมยยังต้องนึกชื่นชมในใจ เขาดูสง่างาม
เขาสวมใส่อาภรณ์สีดำสนิททั่วทั้งตัว ดูจากเสื้อผ้าก็บ่งบอกแล้วว่าเขาเป็นนรกหรือสวรรค์ นางและเขากระทั่งเครื่องแต่งกายยังเลือกสวนทางกัน เขาเกล้าผมขึ้นสูงรวบตึง ไม่ปล่อยให้ผมหลุดรุ่ยไม่ถูกมัดแม้เพียงหนึ่งเส้น เครื่องประดับเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือกวานไท่จื่อบนศีรษะ ไอดำแผ่เย็นยามเขาเดินผ่าน ทำให้ต้องขนลุกทั้งสรรพางค์กาย เขาดูเย็นชา เรียบง่าย สง่างามราวกับไม่อาจเอื้อม
ใบหน้าของเขา…อวี่เทียนเหมยหยุดชะงักฝีเท้า แก้มสองข้างร้อนผ่าว รู้สึกมวนที่บริเวณท้องเล็กน้อย เมื่อนึกไปถึงแผลเป็นบริเวณใต้ตาด้านซ้ายของไท่จื่อ ใบหน้าที่มีตำหนิน่าดูนั่น ผนวกรวมเข้ากับแววตาคมเข้มดุดันสีดำสนิท ไม่ว่าใครก็ไม่ลืม
อธิบายโดยง่าย ไท่จื่อเป็นบุรุษรูปงาม ผิวขาว รูปร่างสูงโปร่ง มีความทรงพลังอันแฝงไปด้วยกลิ่นอายอันตรายที่เย้ายวนใจ มากด้วยอิทธิฤทธิ์ในการปั่นหัวสตรีทั้งใต้หล้าให้ชวนฝัน เสน่ห์ลึกลับน่ากลัวคงจะทำให้หัวหมุนโดยง่าย ยินยอมเต็มใจอยู่ในห้วงความฝันต่อไป แม้ว่าจะเป็นฝันร้าย
เห็นเขาแค่ชั่วกระพริบตา นางยังติดตราตรึงใจ พญามัจจุราช สมแล้วที่เป็นฉายา มองไปทางใดก็ไร้ความขาวสว่าง เห็นเพียงความดำมืดที่ขับเน้นให้เห็นว่าเขาหล่อเหลา กับบุรุษเขาฆ่าตัดหัว แต่กับนางเขาฆ่าโดยใช้วาจาให้ตัดใจ
รู้ว่าอันตราย แต่ยังวิ่งตามอยู่ได้ คนงามกระพริบตาเรียกสติ นางต้องตามเขามาเพราะหน้าที่ไม่ใช่เพราะใบหน้าของเขา!
พูดคุยกับเขาให้ได้ถือเป็นหน้าที่ หากสมหวังดังตั้งใจค่อยนับเป็นกำไร อวี่เทียนเหมยสูดลมหายใจเข้าลึก แรกเริ่มเดินก้าวเท้าเร็ว ๆ รักษาท่าทีบัดนี้เปลี่ยนเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งแทน ความพยายามเป็นผล หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางละทิ้งสิ้นแล้วกับการเดิน เปลี่ยนมาวิ่งแทนอย่างไม่สนสายตาผู้ใด มองตามคราใด เขาก็ไกลออกไปเรื่อย ๆ
“ไท่จื่อเพคะ”
“ไท่จื่อ”
“โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ”
นางอยู่ใกล้จนมั่นใจว่าเขาได้ยิน เรียกแล้วเขาก็ไม่ยอมหัน ราวกับว่าในวังหลวงแห่งนี้มีไท่จื่ออยู่สิบคน ไม่ใช่เขาแล้วเป็นใคร ตำแหน่งไท่จื่อเป็นของแจกันตามทางเดินหรือ!
เขาแสดงเจตนาว่าไม่อยากสนทนาอย่างโจ่งแจ้ง นางตะโกนออกไปอีกครั้งเสียงดังกว่าเดิมว่า “โม่เทียนอวี่ไท่จื่อ!”
เมื่อนั้น…
เรียกสามครั้งไม่หัน ครั้งที่สี่เขาจึงยอมหันหน้ากลับมามองนาง
อวี่เทียนเหมยไม่สงวนท่าทีแล้ว วิ่งหน้าตั้งไปหาเขา ทว่าไหนเลยนางจะกล้าหอบหายใจต่อหน้า เหงื่อไหลพรากเพียงใด อวี่เทียนเหมยก็ไร้เสียง นางจ้องหน้าเขาไม่ยอมละสายตา กลัวว่าหากคลาดไปเพียงเสี้ยว เขาจะหายไปอีก
เขาหยุดรออยู่ชั่วครู่ สตรีน่ารำคาญพยายามควบคุมลมหายใจ คงไม่อยากแสดงอาการเหนื่อยให้เห็น ยืนจ้องหน้าเขาด้วยท่าทีไม่น่าดู จะพูดก็ไม่พูดเช่นนี้ ไม่น่าเกลียดกว่าเดิมหรือ
โม่เทียนอวี่ใช้โอกาสนี้กวาดสายตามองคนงามตั้งแต่หัวจรดเท้า ‘นึกว่าพวกจิตรกรวาดแต่งแต้มเสริมเติมแต่ง เห็นใบหน้าจึงรู้ว่าที่แท้งามกว่า’ โม่เทียนอวี่ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ
ไม่ชอบใจที่นางงดงาม !
เหตุใดจะต้องมีเหตุผลให้หยุดคิดในเมื่อตัดสินใจไปแล้ว!
ไหนเลยจะชื่นชอบตัวเองยามนี้ รับรู้ถึงความรู้สึกแปลกไปอันรู้แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพื่อให้ใจแน่วแน่ไม่แปรผัน โม่เทียนอวี่หันหลังกลับ เดินห่างออกไปทันที
อวี่เทียนเหมยหายเหนื่อยทันควัน จะวิ่งก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว จึงก้าวเท้ายาวเดินตามเขาไปต่อ ไม่กล้าเรียกขานดังเช่นเมื่อครู่ เห็นกับตาอยู่ว่าเขาไม่พอใจ
เขารู้ว่านางเดินตาม เช่นเคยยังเร่งฝีเท้า เดินไปจนสุดทางเดิน เส้นทางต่อไปไร้หลังคากันเม็ดฝน ต้องใช้ร่มไม่เช่นนั้นก็เดินฝ่าฝนไป องครักษ์ข้างกายเขายื่นร่มในมือให้ผู้เป็นนาย ก่อนจะเดินออกไปท่ามกลางสายฝนและไม่แม้จะหันหลังกลับมามอง
อวี่เทียนเหมยกำลังชั่งใจ ระลึกรู้ตัวว่าตนเองสวมใส่อาภรณ์สีขาว หากเปียกน้ำขึ้นมาแน่นอนว่าจะเกิดภาพไม่น่าดู ควรจะล้มเลิกดีหรือไม่!
มีความลังเลทว่าเท้ากลับก้าวเดินต่อ เจียถิงสาวใช้คนสนิทคว้าชายเสื้อนางไว้ อวี่เทียนเหมยหันไปมอง เจียถิงส่ายหน้าคัดค้าน อวี่เทียนเหมยจับมือสาวใช้ออกห่าง ตัดสินใจได้แล้ว เหนื่อยต่อไปอีกหน่อยย่อมดีกว่าหยุดกลางทาง มีแต่ต้องตามไปเท่านั้น “เจ้ารออยู่นี่ หาผ้ามาให้ข้าสักผืน” สิ้นคำสั่งซูผิงสาวใช้อีกคนข้างหลังวิ่งกลับไปทางเดิม สาวใช้เจียถิงคนทัดทานรู้ว่าห้ามไม่ได้ เจ้านายไม่ถามความเห็น เก็บมือประสานไว้ รอตามคำสั่ง
อวี่เทียนเหมยมองไปด้านหน้า เห็นเขายืนนิ่งถือร่มรออยู่กลางสายฝน เข้าใจได้ว่าเขามีเจตนาท้าทายตน...กล้าเดินฝ่าฝนไปหาเขาหรือไม่ ตั้งใจแต่แรกแล้วว่าอย่างไรก็ต้องตามเขาไป คนงามจับจ้องไปยังเป้าหมาย ก้าวเท้าออกไปไร้ลังเล
“นางคนชั้นต่ำ อย่ามาเสนอหน้า” อวี่เหวินตวาดเสียงดังลั่น เขาเงื้อมือขึ้นสูง เดินตรงไปหาสตรีทั้งสอง สาวใช้ของอวี่เทียนเหมย ต้องถูกสั่งสอนเสียบ้าง “หยุดการกระทำของท่านเดี๋ยวนี้” อวี่เทียนเหมยนั้น ชีวิตนี้นางไม่เคยขึ้นเสียงกับใคร แต่พอได้เห็นท่าทีของพี่ใหญ่แล้วไม่อาจทน ซูผิงเป็นคนของนาง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาหยามเกียรติของซูผิงได้ อวี่เหวินชะงักค้าง ท่าทางของเหมยเหมย ดูทรงอำนาจอย่างน่าแปลก เท้าหยุดก้าวโดยพลันทันที เขาไม่เคยเห็นเหมยเหมยเป็นเช่นนี้มาก่อน อนิจจา…พอได้ชื่อว่าเป็นสตรีของไท่จื่อ มีหยางลู่ไทเฮาอยู่เบื้องหลัง อวดดีได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ‘น่าชังจนหลงใหล’ อวี่เหวินอารมณ์เปลี่ยนไปมา ในใจเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น อยู่ ๆ เขาก็หอบหายใจแรงขึ้น จ้องหน้าอวี่เทียนเหมยไม่วางตา คิดว่าครั้งนี้เกินไปแล้ว อวี่เทียนเหมยดันซูผิงให้ไปอยู่ด้านหลัง สาวใช้ขืนตัวไม่ยินยอม แต่ไม่อาจขัดขืนคำสั่ง ซูผิงจึงยอมถอย แต่สาวใช้ยังตั้งท่าระวังภัย ไม่ยอมวางใจ “หากท่านไม่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นจะไม่มีเกียรติดังเช่นท่าน” อวี่เทียนเหมยแววตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ นางไม่อา
‘เสี่ยวซาน…’ อวี่หลางซานกลับมาแล้ว พอนึกขึ้นได้ อวี่เทียนเหมยก็เหมือนจะเห็นทางสว่างรออยู่เบื้องหน้า น้องชายของนางเป็นทหารในกองทัพ มีตำแหน่งไม่น้อย ย่อมต้องมีเส้นสายและมุมมองที่กว้างไกลกว่านาง อวี่เทียนเหมยคิดว่าเรื่องหนักอึ้งในใจของนางนี้ สามารถเล่าให้เสี่ยวซานฟังได้ เผื่อว่าน้องชายจะมีทางออกที่นางคิดไม่ถึงมาแนะนำ บิดาเกรงใจพี่ใหญ่มาก อวี่เทียนเหมยไม่เห็นด้วยในข้อนี้ ไม่ดีส่วนไม่ดี เอาความดีมาลบล้างไม่ได้ แต่บุญคุณถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับท่านพ่อ พี่ใหญ่นั้นบิดาของเขาสละชีวิต เพื่อท่านพ่อของอวี่เทียนเหมย ในอดีตก่อนท่านพ่อจะพบกับท่านแม่ ท่านพ่ออาศัยอยู่ที่สำนักศึกษาเก่า ต่อมาสำนักศึกษาเกิดไฟไหม้ เพื่อให้ท่านพ่อรอด บิดาของพี่ใหญ่ยอมสละชีวิตตายอยู่ในกองเพลิง ฝากฝังพี่ใหญ่ไว้กับท่านพ่อ บุญคุณมากล้น แค้นชำระแค้นด้วยชีวิตฉันใด บุญคุณชีวิตทดแทนด้วยชีวิตฉันนั้น บิดาถือเป็นหน้าที่ ชีวิตนี้ต้องดูแลพี่ใหญ่ให้ดี นับตั้งแต่วันนั้น หลังจากบิดาสอบจอหงวนได้ที่หนึ่ง ก็ขอสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท แต่งงานสร้างฐานะร่วมกับมารดา รับเลี้ยงพี่ใหญ่ให้เป็นบุตรบุญธรรม พี่ใหญ่อายุมา
เอาเถิด…อย่างไรก็ได้สมรสพระราชทาน ได้ตำแหน่งไท่จื่อเฟยมาแล้ว นี่จึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ใจไม่แน่นอน ตำแหน่งแน่นอน อวี่เทียนเหมยยามนี้ได้ชื่อว่าเป็นคนของหยางลู่ไทเฮา สุดท้ายแล้วต่อให้เขาไม่รักนางมากเพียงใด เขาก็จะไม่กล้าผิดใจกับไทเฮา คิดปลอบใจตนเองว่า ชีวิตจะยึดติดกับรักอย่างเดียวไม่ได้! “พี่รอง!” เสียงเรียกดังขึ้นขัดความคิด อวี่เทียนเหมยหันไปหาต้นเสียง อวี่ไฉฟงกำลังเดินจับมือบิดามารดามาที่โต๊ะกินข้าว อวี่เทียนเหมยส่ายศีรษะให้กับน้องสาว อวี่ไฉฟงเป็นคนช่างออดอ้อน ชอบทำตัวเป็นเด็กตลอดเวลา แต่แน่นอนว่าในสายตาของคนในครอบครัว แล้ว พฤติกรรมนี้ถือว่าน่ารัก! อวี่ไฉฟงแซ่อวี่ เป็นบุตรสาวตระกูลอวี่ อยู่ในจวนอยากทำกิริยาอย่างไรตามใจปรารถนา แต่ยามออกไปนอกจวน ต้องรักษากิริยาดีไม่แพ้ผู้ใด เรื่องราวระหว่างวันถูกถ่ายทอดเล่าให้กันฟัง ช่วยสร้างเสียงหัวเราะได้มากมายในมื้ออาหาร คนตระกูลอวี่รักใคร่กัน ข้อนี้รู้ไปทั่วเมืองหลวง แต่อยู่ ๆ ซูผิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหา เห็นสีหน้าสาวใช้ก็รู้ได้ทันทีว่า มีเรื่องสำคัญมาบอก อวี่เทียนเหมยไม่เข้าใจเหมือนกัน ในหนึ่งวันนั้น
สองสามวันมานี้ จวนตระกูลอวี่คึกคักมากกว่าปกติ แขกมาเยี่ยมเยือนที่จวนหลายคนแบบไม่ซ้ำหน้า ระบุเจาะจงแทบทุกคนเสียด้วยว่า ต้องการพบอวี่เทียนเหมย สถานการณ์ไม่แน่นอน คนใจโลเลจะชอบเกาะหงส์เกาะมังกร[1] เอาใจไม่เลือกหน้า เผื่อว่ายามที่เดือดร้อนขึ้นมา แผ่นดินแบ่งแยกเมื่อใด จะได้มีข้ออ้างไว้เอาตัวรอด ต้าเฉวียนแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ขุนนางซึ่งไร้ที่พึ่งทั้งหลาย ยามนี้เข้าหาทุกฝั่ง เดินสวนกันจ้าละหวั่น ไปจวนนั้นจวนนี้ จวนตระกูลอวี่จึงต้องรับแขกมากหน่อย เพราะประกาศของหยางลู่ไทเฮา คนมาเยี่ยมเยือนมากเพียงใดก็ตาม ในใจไร้ความยินดี แต่ก่อนพบหน้าไม่สบตา ยามนี้มาส่งยิ้ม ‘ความจริงใจหาไม่ได้’ ยิ่งมากคนยิ่งต้องระวัง จะรับของขวัญก็ต้องถี่ถ้วน ล้วนมีปัญหาสอดไส้มาได้ทั้งสิ้น อวี่เทียนเหมยกลัวเกิดความผิดพลาดขึ้น อย่างไรนางก็ถือว่าเป็นม้าใหม่ในสนามรบ ยังไม่กล้ารับแขกด้วยตนเองแต่เพียงผู้เดียว จึงยกหน้าที่นี้ให้ตกเป็นของบุพการี บิดามารดารับแขกแทนบุตรสาวจนเหนื่อยอ่อน หมดแรงในทุกวัน ตกเข้ายามค่ำคืนมา อวี่เทียนเหมยลงมือเคี่ยวน้ำแกงใส่สมุนไพรบำรุงร่างกาย ทำอาหารมากมาย แทนคำขอบคุณ จ
ส่วนนาง… อวี่เทียนเหมยขอไม่เชื่อ คิดในแง่ดีทั้งที่ความจริงเป็นแง่ร้าย ตระกูลอวี่จะมีหงส์สองตัวได้อย่างไร ในเมื่อหงส์ตัวแรกที่หมายถึงนาง เดินมายังไม่ถึงครึ่งเส้นทาง ก็ดูจะพบทางตันไปต่อไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอย่างไรกับชีวิตกันแน่! ท่านพ่อท่านแม่นั่งอยู่ไม่ไกล ตระกูลอวี่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด มีลำดับขั้นได้ถวายของขวัญในตอนท้าย อวี่เทียนเหมยรีบลุกขึ้น เมื่อมองเห็นว่ามารดาส่งสายตามาเป็นสัญญาณเรียก เมื่อตระกูลอวี่ถวายพระพรไทเฮาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาถึงคราวของอวี่เทียนเหมย เจียถิงและซูถิงเดินตามมาเพื่อถือภาพวาดขนาดเท่าตัวคนให้ สาวใช้ยืนคนละฝั่ง กางภาพวาดออกมาเห็นเป็นภาพวิวทิวทัศน์ อวี่เทียนเหมยสังเกตพระพักตร์หยางลู่ไทเฮา นางมียิ้มละมุนบนใบหน้า เมื่อเห็นร่องรอยของความความพอพระทัย ปรากฎอยู่เต็มพระพักตร์ นางกราบทูลไทเฮาเสียงดัง “ชีวิตของเหมยเหมย นอกจากบิดามารดา หม่อมฉันมีฝ่าบาทและไทเฮาเป็นผู้มีพระคุณ ภาพวาดผืนนี้ หม่อมฉันวาดด้วยใจที่สำนึกรู้ ซาบซึ้งในพระเมตตา คำอวยพรใดในใต้หล้า หม่อมฉันไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ด้วยว่าไทเฮาทรงเป็นมงคลยิ่งแล้ว” หยางลู่ไทเฮาทอด
มู่ฮองเฮาเก็บโทสะไว้ในพระทัยไม่แสดงออก องค์หญิงหยางลู่อิงฮวา เพราะมีนิสัยเสียเช่นนี้ ต่อให้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ในการเป็นชายาของเสี่ยวหยาง มู่ฮองเฮาก็ขอปฏิเสธ หัวแข็งจนน่าชัง ทั้งยังควบคุมยากเกินไป! การแสดงขลุ่ย แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่ว่าองค์หญิงหยางลู่อิงฮวากลับได้รับพระราชทานรางวัลจากไทเฮามากกว่าใคร เพราะเหตุผลใดใครจะรู้ดีเท่าหยางลู่ไทเฮา “เสียงขลุ่ยขององค์หญิงไพเราะมากเพคะ” อวี่เทียนเหมยรีบเอ่ยทันทีที่องค์หญิงเสด็จกลับมา อีกฝ่ายยักไหล่ “ขอบคุณคำชมที่จริงใจของท่าน” อวี่เทียนเหมยชะงักค้าง องค์หญิงรับมือได้ยากยิ่ง ต่อมาได้ยินเสียงหัวเราะจากเจ้าตัว จึงค่อยวางใจว่าเมื่อครู่โดนแกล้ง “หากเจ้าไม่อาย ก็ควรสงสารหูคนฟังบ้างเถิด” เสียงนี้ดังมาจากทางด้านหลัง สตรีสองนางที่นั่งข้างกันหันหน้าไปมอง คนหนึ่งหันหน้าหนี ส่วนอีกคนเบ้ปากใส่ผู้มาใหม่ทันที งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นบนเรือ ไม่มีที่นั่งชัดเจนเหมือนงานเลี้ยงที่วังหลวง หยางลู่ไทเฮามีพระประสงค์อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย ไม่เคร่งครัดพิธีมากจนเกินไป ใครปรารถนาจะนั่งที่ใดก็ตามแต่ใจ จึงมีคนเดินขวักไขว่ไปมาค่อนข้างม