로그인แสงแรกแห่งอรุณรุ่งสาดส่องลงมายังค่ายพักแรม หลังจากการต่อสู้กับโจรป่าจบลง บรรยากาศภายในค่ายยังคงอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความเหนื่อยล้า ซูหนิงหนิงยังคงวุ่นอยู่กับการดูแลทหารที่บาดเจ็บจนกระทั่งใกล้สว่าง แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด แต่นางก็มิได้หยุดพัก
หลี่เหวินเจี๋ย เดินออกมาจากกระโจมของตน ดวงตาคู่คมกริบมองไปยังซูหนิงหนิงที่กำลังปฐมพยาบาลทหารนายหนึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ภาพของนางเมื่อคืนที่วิ่งฝ่าคมดาบเข้าไปช่วยเหลือทหารยังคงติดตาเขา ภาพที่นางทำแผลให้เขาอย่างตั้งใจ และรอยแผลที่แขนซ้ายของเขายังคงเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญของนาง
“ท่านแม่ทัพ แผลของท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” หลิวหรง เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมาก” หลี่เหวินเจี๋ยตอบเสียงเรียบ แต่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปที่ซูหนิงหนิง “นางผู้นั้น... ทำไมถึงกล้าหาญได้ถึงเพียงนี้?”
“ท่านแม่ทัพเองก็เห็นแล้วมิใช่หรือขอรับ” หลิวหรงยิ้ม “นางมิได้สนใจความปลอดภัยของตนเองเลยแม้แต่น้อย”
“นั่นคือสิ่งที่ข้ายังสงสัย” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าว “ความกล้าหาญเช่นนี้... อาจเป็นความจริงใจ หรืออาจเป็นเพียงการแสดงที่แนบเนียน”
“ท่านแม่ทัพยังคงไม่ไว้ใจนางหรือขอรับ?” หลิวหรงถามอย่างไม่เข้าใจ “หลังจากสิ่งที่นางทำเมื่อคืน ท่านยังสงสัยนางอยู่อีกหรือ?”
หลี่เหวินเจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ในยามศึกสงคราม ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ ความไว้ใจที่ผิดที่ผิดทางอาจนำมาซึ่งความหายนะต่อแผ่นดินได้”
ภายหลังจากการปราบโจรป่าสำเร็จ กองทัพของหลี่เหวินเจี๋ยได้รับคำสั่งให้ประจำการอยู่ยังเมืองชายแดนแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาความสงบและสืบหาเบาะแสของขุนนางกบฏที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการก่อความไม่สงบทั้งหมด
เมื่อเดินทางมาถึงเมือง หลี่เหวินเจี๋ย มีคำสั่งประหลาด... “จงจัดที่พักให้คุณหนูซูอย่างดีที่สุด และจงเฝ้าระวังนางอย่างใกล้ชิด ห้ามให้นางออกไปไหนโดยพลการ”
คำสั่งนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคน ซูหนิงหนิง เองก็รู้สึกตกใจไม่แพ้กัน นางเพิ่งจะพิสูจน์ความกล้าหาญและความจริงใจของตนเองในสมรภูมิ แต่กลับถูกปฏิบัติราวกับเป็นนักโทษ
“ท่านแม่ทัพ... เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กับข้า!” ซูหนิงหนิงบุกเข้าไปในกระโจมบัญชาการของหลี่เหวินเจี๋ยด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด แต่ดวงตากลับฉายแววโกรธเคือง
หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาคู่คมยังคงสงบนิ่ง “นี่คือคำสั่ง”
“คำสั่งอันใดกัน! ข้าทำคุณงามความดีให้กองทัพมากมาย เหตุใดท่านจึงปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้!” เสียงของซูหนิงหนิงสั่นเครือด้วยความคับแค้นใจ
“เจ้าคือบุตรีของหมอหลวงซูอัน ผู้ซึ่งยังคงเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีกบฏ” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จนกว่าความจริงจะปรากฏ ข้าจำเป็นต้องระมัดระวัง”
“ท่านกำลังขังข้า! ท่านกำลังสงสัยข้าว่าเป็นสายลับ!” ซูหนิงหนิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ข้ามิได้ขังเจ้า เพียงแต่ขอให้เจ้าพักอยู่ในจวนที่จัดเตรียมไว้ให้เพื่อความปลอดภัย” หลี่เหวินเจี๋ยตอบ “และเฝ้าระวังมิให้เจ้าถูกศัตรูใช้เป็นเครื่องมือ”
“ท่านโกหก! ท่านกำลังไม่ไว้ใจข้า!” ซูหนิงหนิงรู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดแทงหัวใจ นางทุ่มเทกายใจช่วยชีวิตทหารของเขา แต่เขากลับยังคงมองนางเป็นภัยคุกคาม
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก ซูหนิงหนิงรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใดต่อ นางหันหลังเดินออกจากกระโจมไปอย่างรวดเร็ว
มู่หลัน ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกกระโจม เมื่อเห็นซูหนิงหนิงเดินออกมาด้วยสีหน้าปวดร้าว ก็รีบเข้าไปประคอง “หนิงหนิง เจ้าเป็นอะไรไป?”
ซูหนิงหนิงน้ำตาคลอเบ้า “เขาขังข้า... เขาไม่เชื่อใจข้าเลยแม้แต่น้อย”
นับตั้งแต่วันนั้น ซูหนิงหนิงต้องใช้ชีวิตอยู่ในจวนที่ถูกจัดเตรียมไว้ นางมิอาจออกไปไหนได้ตามลำพัง ทุกฝีก้าวของนางล้วนอยู่ในสายตาของทหารที่เฝ้าระวังอยู่รอบจวน ราวกับนางเป็นนักโทษที่อันตรายที่สุด
แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หลี่เหวินเจี๋ย มักจะมาปรากฏตัวที่จวนของนางอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในยามค่ำคืนที่เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวน มองเข้ามายังห้องของนาง หรือในยามกลางวันที่เขาเดินตรวจตราความเรียบร้อยรอบจวน
เขาขังนางไว้... แต่เขากลับเฝ้านางเอง
หลิวหรง สังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของท่านแม่ทัพ “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านดูเหมือนจะสนใจคุณหนูซูมากเป็นพิเศษนะขอรับ” หลิวหรงเอ่ยขึ้นขณะที่ทั้งสองกำลังเดินตรวจตราเมือง
หลี่เหวินเจี๋ยไม่ตอบ เพียงแต่เดินต่อไปเงียบๆ
“ท่านแม่ทัพสงสัยนางอยู่ แต่ท่านก็ยังคงเฝ้าดูนางด้วยตัวเอง มิให้ผู้อื่นเข้าใกล้” หลิวหรงกล่าวต่อ “นี่มิได้แสดงว่าท่านกำลัง... เป็นห่วงนางดอกหรือขอรับ?”
หลี่เหวินเจี๋ยหยุดเดิน เขาหันมามองหลิวหรง ดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่อ่านไม่ออก “ข้าเพียงต้องการให้แน่ใจว่านางมิได้เป็นภัยต่อกองทัพ”
“แต่ท่านก็ดูแลนางอย่างดีมิใช่หรือขอรับ” หลิวหรงยิ้มอย่างมีเลศนัย “จัดจวนให้พักอย่างดี มีคนคอยดูแลเรื่องอาหารการกินอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
หลี่เหวินเจี๋ยถอนหายใจ “นั่นคือสิ่งที่ราชสำนักบัญชามา” เขาพยายามพูดให้เป็นเรื่องปกติ แต่ในใจเขากลับยอมรับว่าสิ่งที่หลิวหรงพูดนั้นเป็นความจริง เขากำลังเฝ้าดูซูหนิงหนิงอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงเพราะหน้าที่ แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดเขาให้นึกถึงนางอยู่เสมอ
วันหนึ่ง มีข่าวร้ายมาถึงเมืองชายแดน กองทัพของแคว้นอริเริ่มเคลื่อนไหวบริเวณชายแดนตะวันออก และกำลังจะเปิดศึกใหญ่
ข่าวนี้ทำให้หลี่เหวินเจี๋ยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับการศึกที่กำลังจะมาถึง เขาจมอยู่กับแผนที่ยุทธศาสตร์และเอกสารต่างๆ ไม่ได้ไปที่จวนของซูหนิงหนิงเป็นเวลาหลายวัน
ซูหนิงหนิงที่ถูกขังอยู่ในจวน ได้ยินข่าวลือเรื่องสงคราม นางรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก นางอยากออกไปช่วยรักษาทหาร อยากออกไปทำประโยชน์ให้แผ่นดิน แต่นางก็ถูกกักขังไว้
“หนิงหนิง เจ้าดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก” มู่หลันกล่าวขึ้นเมื่อเห็นซูหนิงหนิงเดินวนไปวนมาอย่างไม่สบายใจ
“ข้าเป็นห่วงทหารมู่หลัน” ซูหนิงหนิงกล่าว “พวกเขาจะต้องบาดเจ็บล้มตายอีกมากมาย และข้าก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
“แต่เจ้าออกไปไม่ได้นะหนิงหนิง” มู่หลันเอ่ยเตือน
ซูหนิงหนิงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางตัดสินใจแล้วว่ามิอาจอยู่เฉยได้ในยามที่บ้านเมืองกำลังประสบภัย
ในคืนนั้น ซูหนิงหนิงพยายามหาทางออกจากจวนที่ถูกเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นางใช้ความรู้เรื่องภูมิประเทศและจุดอับสายตาของทหารยามที่นางสังเกตมาตลอด
“หนิงหนิง เจ้าจะทำอะไร!” มู่หลันร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นซูหนิงหนิงกำลังปีนกำแพงจวน
“ข้าจะไปช่วยทหารมู่หลัน ข้าจะไปทำประโยชน์ให้แผ่นดิน!” ซูหนิงหนิงตอบอย่างมุ่งมั่น “เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลตัวเองให้ดี”
มู่หลันแม้จะกังวลใจ แต่ก็รู้ว่ามิอาจห้ามซูหนิงหนิงได้ นางทำได้เพียงอวยพรให้สหายรักปลอดภัย
ซูหนิงหนิงแอบหลบหนีออกจากจวนได้สำเร็จ นางมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการรบ เมื่อไปถึง นางพบว่าบรรยากาศภายในค่ายเต็มไปด้วยความตึงเครียด และทหารที่บาดเจ็บจากการปะทะเล็กๆ น้อยๆ ก็เริ่มมีมากขึ้น
“คุณหนูซู! ท่านมาได้อย่างไร!” นายทหารคนหนึ่งร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นซูหนิงหนิง
ซูหนิงหนิงไม่ตอบคำถาม นางรีบรุดเข้าไปช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บทันที โดยไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร หรือคำสั่งของหลี่เหวินเจี๋ยคืออะไร นางรู้เพียงว่าหน้าที่ของนางคือการช่วยเหลือผู้คน
ในขณะเดียวกัน กงซุนหมิง ผู้ซึ่งตามมาถึงเมืองชายแดนด้วยความเป็นห่วงมู่หลันและซูหนิงหนิง เมื่อได้ยินข่าวเรื่องการหลบหนีของซูหนิงหนิง เขาก็รีบรุดมาที่ค่ายทหารทันที
“มู่หลัน! คุณหนูซูอยู่ที่นี่หรือไม่!” กงซุนหมิงถามด้วยความเป็นห่วง
“ใช่เจ้าค่ะหมิงเอ๋อร์ นางกำลังช่วยเหลือทหารอยู่ข้างใน” มู่หลันตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโล่งใจและกังวลใจในคราวเดียวกัน
กงซุนหมิงมองเข้าไปในค่ายทหาร เห็นซูหนิงหนิงกำลังวุ่นอยู่กับการทำแผลให้ทหาร เขาอดชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของนางไม่ได้
หลี่เหวินเจี๋ย กำลังอยู่ในกระโจมบัญชาการ เตรียมพร้อมรับมือกับการศึกใหญ่ที่กำลังจะมาถึง เมื่อนายทหารผู้หนึ่งรีบรุดเข้ามาแจ้งข่าว
“ท่านแม่ทัพขอรับ! คุณหนูซูหลบหนีออกจากจวน และบัดนี้กำลังอยู่ที่ค่ายทหารขอรับ!”
หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นจากแผนที่ ดวงตาของเขาฉายแววหลากหลายอารมณ์ ทั้งตกใจ โกรธ และ... คาดไม่ถึง
เขารีบรุดไปยังค่ายทหารทันที เมื่อไปถึง ภาพที่เห็นคือซูหนิงหนิงกำลังช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของนางเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและเหงื่อ แต่ดวงตาของนางยังคงฉายแววแห่งความมุ่งมั่นและเมตตา
หลี่เหวินเจี๋ยเดินเข้าไปหานางช้าๆ “คุณหนูซู... เจ้าทำอะไรของเจ้า!” เสียงของเขาแม้จะเย็นชา แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางสบกับดวงตาของเขาอย่างไม่หวั่นเกรง “ข้ากำลังทำหน้าที่ของข้าเจ้าค่ะท่านแม่ทัพ”
“หน้าที่ของเจ้าคือการอยู่ในจวนที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้!” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวเสียงเข้ม
“หน้าที่ของข้าคือการช่วยเหลือผู้คนในยามที่บ้านเมืองต้องการเจ้าค่ะ!” ซูหนิงหนิงตอบกลับอย่างไม่ลดละ “ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขาในยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือได้”
หลี่เหวินเจี๋ยจ้องมองนางนิ่งนาน แววตาที่ดุดันของเขาค่อยๆ อ่อนลง ความมุ่งมั่นในแววตาของนาง ความกล้าหาญที่ปราศจากความหวาดกลัว และความเสียสละเพื่อผู้อื่น... สิ่งเหล่านี้กำลังทลายกำแพงน้ำแข็งในใจของเขาลงทีละน้อย
เขาขังเธอไว้... เพื่อพิสูจน์ใจ
แต่บัดนี้... ใจของเขาต่างหากที่กำลังถูกพิสูจน์...
หลังจากการปราบปราม เสนาบดีซ่ง ผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังการกบฏได้สำเร็จ แผ่นดินต้าเหลียงก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ทว่าบาดแผลจากสงครามยังคงฝากฝังไว้ในจิตใจของผู้คน และบาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าที่ซูหนิงหนิงได้รับก็ยังคงต้องใช้เวลาในการเยียวยาแต่สิ่งที่ยังคงตราตรึงในใจของ ซูหนิงหนิง ยิ่งกว่าสิ่งใด คือจูบของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่มอบให้นางกลางท้องพระโรง จูบแห่งคำมั่นสัญญาที่ผูกมัดหัวใจของทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างไม่อาจแยกจากทว่าความสุขนั้นช่างสั้นนัก ความสงบสุขที่ได้มานั้นเปรียบดั่งความเงียบสงบก่อนพายุโหมกระหน่ำ เพราะข่าวสารจากชายแดนได้นำมาซึ่งความหวาดหวั่นครั้งใหม่... กองทัพของแคว้นอริทางเหนือกำลังรวมพลครั้งใหญ่ หมายบุกเข้ายึดครองต้าเหลียง สงครามครั้งใหญ่ที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นภายในห้องทำงานส่วนตัวของหลี่เหวินเจี๋ย แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องแผนที่ยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างเต็มโต๊ะ ใบหน้าคมคายของเขาเคร่งเครียดกว่าครั้งใดๆ หลี่เหวินเจี๋ย จมอยู่กับการวางแผนการรบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขารู้ดีว่าศึกครั้งนี้เป็นศึกชี้เป็นชี้ตายของแผ่นดิน“ท่
รัตติกาลอันเงียบสงบในเมืองหลวงต้าเหลียงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวล แม้ชัยชนะเหนือ เฉินกวง จะนำความสงบสุขกลับคืนมาได้ชั่วคราว แต่บาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าปริศนาที่ปักเข้าสู่ร่างของ ซูหนิงหนิง และความจริงที่ยังซ่อนเร้นเกี่ยวกับผู้บงการที่แท้จริง ก็ยังคงเป็นเงาตามหลอกหลอนจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ยภายในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของซูหนิงหนิงที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง บาดแผลที่สีข้างยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่พิษร้ายได้ถูกขับออกไปแล้วจากยาของหลี่เหวินเจี๋ยหลี่เหวินเจี๋ย นั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากสายตาของเขา เขาลูบไล้เส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างประหลาด เขานึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ที่นางยอมเอาตัวเข้าขวางคมมีดเพื่อปกป้องเขา เลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกมาจากร่างของนางยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเจ็บอีกแล้วซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยพึมพำกับตั
แสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามาในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร บ่งบอกถึงความเงียบสงัดหลังจากการปะทะกับกลุ่มนักฆ่าลึกลับ ผู้บงการที่แท้จริงยังคงแฝงกายอยู่ในเงามืด แต่ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง กลับได้เรียนรู้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นท่ามกลางคมดาบและห่าธนูซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงไม้ชั่วคราว มือเรียวสวยกำลังดูแลบาดแผลที่สีข้างของ หลี่เหวินเจี๋ย ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวด้วยความเจ็บปวดจากคมมีด แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ส่วนแขนของนางเองก็มีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่ บ่งบอกถึงบาดแผลที่ได้รับจากการปกป้องหลี่เหวินเจี๋ยเมื่อครู่“ท่านแม่ทัพ…ท่านต้องอดทนนะเจ้าคะ” ซูหนิงหนิงกล่าวเสียงแผ่ว นางค่อยๆ เช็ดคราบเลือดรอบบาดแผลอย่างเบามือ และพยายามใช้สมุนไพรบดละเอียดพอกลงไป เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและห้ามเลือดหลี่เหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บาดลึก แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและห่วงใยจากปลายนิ้วของนาง“เจ้า…เองก็บาดเจ็บมิใช่หรือ” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ทำไมถึงไม่ทำแผลให้ตั
แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของ หมอหลวงซูอัน ที่นอนอยู่บนเตียงภายในจวน บาดแผลที่สีข้างของเขายังคงสร้างความเจ็บปวด แต่เขาก็พ้นขีดอันตรายแล้วจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของ ซูหนิงหนิง และการคุ้มกันอย่างเข้มงวดของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่เลือกทิ้งราชกิจสำคัญเพื่อมาอยู่เคียงข้างนางซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงบิดา กุมมือที่เหี่ยวย่นของท่านไว้ ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอนและความกังวล แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นที่หลี่เหวินเจี๋ยเลือกที่จะอยู่ข้างนาง“หนิงหนิง…เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หมอหลวงซูอันเอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”“ข้ายังพักไม่ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูหนิงหนิงตอบ “ข้าต้องอยู่ดูแลท่าน”หลี่เหวินเจี๋ย ยืนพิงวงกบประตู มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นอย่างประหลาด เขาเฝ้ามองซูหนิงหนิงที่ดูแลบิดาด้วยความรักและความทุ่มเท แผลที่แผ่นหลังของเขายังคงปวดร้าว แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้กับความสุขที่ได้เห็นนางปลอดภัย“ท่านหมอหลวง…ท่านฟื้นแล้วก็ดีแล้วขอรับ” หลี่เหวินเจี
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องต้องผืนฟ้าเมืองหลวงต้าเหลียงอย่างอบอุ่น ข่าวการปราบปราม เฉินกวง ได้สร้างความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินแต่เบื้องหลังความสงบนั้น แผลใจและปมปริศนาของ ตระกูลหลิน ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเผชิญหน้ากับหญิงสาวลึกลับผู้มีป้ายหยกตระกูลหลินในยามเช้าที่ท้องพระโรงหลวง บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง เหล่าเสนาบดีและขุนนางน้อยใหญ่ต่างมารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้า องค์ฮ่องเต้ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังทางเข้าท้องพระโรงอย่างกระหายใคร่รู้ เพราะลือกันว่าวันนี้จะมีการประกาศราชโองการสำคัญหลี่เหวินเจี๋ย ในชุดขุนนางเต็มยศดูสง่างามและน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญยิ่งกว่าราชกิจใดๆ นั่นคือเรื่องของ ซูหนิงหนิง และความลับดำมืดที่กำลังจะถูกเปิดเผย“ท่านแม่ทัพ วันนี้เหล่าเสนาบดีสำคัญจากทั้งหกกรมล้วนมากันครบขอรับ”ห
ท้องพระโรงหลวงที่เคยเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บัดนี้กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากการปราบปราม เฉินกวง สำเร็จ แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทองคำ ต้ององค์ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลี่เหวินเจี๋ย ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ แม้บาดแผลที่แผ่นหลังยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและชัยชนะ การปราบปรามกบฏครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าเหลียง“หลี่เหวินเจี๋ย! เจ้าทำได้ดีมาก!” องค์ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน “เจ้าได้ปกป้องราชบัลลังก์และแผ่นดินต้าเหลียงไว้จากภัยร้าย! สมควรได้รับบำเหน็จอย่างงาม!”หลี่เหวินเจี๋ยคุกเข่าลง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“และซูหนิงหนิง…บุตรีของหมอหลวงซูอัน นางก็มีความชอบเช่นกัน!”องค์ฮ่องเต้ตรัสต่อ “นางผู้เป็นหมอหญิงที่หาตัวจับยาก ทั้งยังช่วยเจ้าเปิดโปงไส้ศึก สมควรได้รับการเชิดชู!”ซูหนิงหนิ







