로그인เปลวเพลิงแห่งสงครามกำลังโหมกระหน่ำ แคว้นอริได้เปิดฉากโจมตีชายแดนตะวันออกอย่างไม่รีรอ เสียงกลองศึกดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า เมืองชายแดนที่เคยสงบสุขบัดนี้กลายเป็นสมรภูมิเลือด เหล่าทหารของต้าเหลียงเข้าปะทะกับศัตรูอย่างดุเดือดท่ามกลางห่าธนูและคมดาบที่สาดซัด
ซูหนิงหนิง ยืนอยู่ท่ามกลางความอลหม่านของสนามรบ ใบหน้าของนางเปื้อนคราบเขม่าดินและโลหิต เสียงหวีดหวิวของลูกธนูที่เฉียดผ่านหูไปไม่ได้ทำให้นางหวาดกลัว นางก้มลงปฐมพยาบาลทหารที่บาดเจ็บอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย มือที่เรียวสวยบัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลจากการทำงานหนัก แสงแห่งความมุ่งมั่นและความเมตตายังคงส่องประกายในดวงตาของนาง
หลี่เหวินเจี๋ย แม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการรบอยู่เบื้องหน้า มองเห็นการกระทำของซูหนิงหนิงทุกฝีก้าว เขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับขุนพลแคว้นอริ กระบี่ของเขาสาดประกายฟาดฟันศัตรูอย่างไม่ปรานี แต่ในขณะเดียวกัน สายตาของเขาก็มิอาจละจากร่างอรชรที่กำลังวิ่งไปมาระหว่างคมดาบและห่าลูกธนู เขาเห็นนางล้มลงเพื่อหลบคมกระบี่ที่พุ่งเข้าใส่เกือบพลาดท่า แต่แล้วนางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและกลับไปช่วยเหลือทหารต่อ
“ท่านแม่ทัพ! ระวัง!” เสียงของ หลิวหรง ตะโกนเตือน หลี่เหวินเจี๋ยหันกลับไปรับคมดาบของขุนพลฝ่ายตรงข้ามที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด สองทัพปะทะกันอย่างไม่ลดละ เสียงร้องของความเจ็บปวดผสมผสานกับเสียงโลหะกระทบกัน ดุจเสียงบรรเลงแห่งความตาย ซูหนิงหนิงรับรู้ถึงความอ่อนล้าที่กัดกินร่าง แต่นางก็มิอาจหยุดพักได้ ทหารบาดเจ็บมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกินกำลังของนางเพียงลำพัง
ขณะที่ซูหนิงหนิงกำลังพยายามห้ามเลือดให้ทหารนายหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส ก็มีทหารฝ่ายศัตรูบุกเข้ามาใกล้ นางมองเห็นคมดาบที่สาดแสงวับวับวาวพุ่งตรงมายังตนเอง นางหลับตาลงอย่างช่วยไม่ได้ เตรียมพร้อมรับความเจ็บปวด
แต่แล้ว ร่างของนางก็ถูกกระชากออกไปอย่างรวดเร็ว นางลืมตาขึ้นมอง เห็นร่างสูงใหญ่ของหลี่เหวินเจี๋ยยืนบังอยู่เบื้องหน้า คมดาบของเขาฟาดฟันใส่ทหารศัตรูที่พุ่งเข้ามาหมายทำร้ายนางจนล้มลงไป
“เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนี้!” หลี่เหวินเจี๋ยตวาดเสียงดัง ดวงตาคู่คมกริบมองนางด้วยความไม่พอใจ “นี่คือสนามรบ เจ้าควรจะอยู่ในที่ที่ปลอดภัย!”
ซูหนิงหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางที่ปกติจะสงบเสงี่ยม บัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความผิดหวัง นางทนกับความไม่เชื่อใจของเขามานานแล้ว นางทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจเพื่อช่วยชีวิตทหารของเขา แต่เขากลับยังมองนางเป็นภาระ เป็นคนที่ไม่ควรอยู่ในสนามรบแห่งนี้
“ท่านแม่ทัพ!” ซูหนิงหนิง เอ่ยเสียงดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน น้ำเสียงของนางสั่นเครือแต่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ท่านคิดว่าข้าต้องการจะอยู่ที่นี่หรือ! ข้ามิได้เป็นนักรบอย่างท่าน! แต่ในยามที่ชีวิตของทหารของท่านกำลังจะดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา ข้ามิอาจทนอยู่เฉยได้! ท่านมิได้เห็นหรือว่าพวกเขากำลังเจ็บปวดทรมานเพียงใด!”
หลี่เหวินเจี๋ยตกตะลึงกับคำพูดของนาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางกล้าขึ้นเสียงใส่เขา กล้าสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาของนางฉายแววเจ็บปวดและผิดหวังอย่างแท้จริง
“ข้ามิได้ต้องการสิ่งใดจากท่าน!” ซูหนิงหนิงกล่าวต่อ เสียงของนางเริ่มมีน้ำตาคลอ “ข้าเพียงต้องการช่วยเหลือผู้คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลือ! ท่านไม่จำเป็นต้องมา ‘ปกป้อง’ ข้า ท่านควรจะไปทำหน้าที่ของท่าน!”
คำพูดของซูหนิงหนิงดังก้องในโสตประสาทของหลี่เหวินเจี๋ย เขามองหน้านางนิ่งนาน ความโกรธในใจของเขาค่อยๆ มลายหายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนยากจะอธิบาย ความประหลาดใจ ความชื่นชม และ...ความเข้าใจ
ในชั่วขณะนั้นเอง ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากทิศทางที่ไม่มีใครคาดคิด และปักเข้าที่ไหล่ของหลี่เหวินเจี๋ยอย่างจัง
“ท่านแม่ทัพ!” หลิวหรงร้องขึ้นด้วยความตกใจ
ซูหนิงหนิงเบิกตากว้าง นางเห็นหลี่เหวินเจี๋ยล้มลงไป ทันทีที่เห็นเลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมาจากบาดแผล ความโกรธทั้งหมดในใจของนางก็มลายหายไป เหลือเพียงความกังวลและความห่วงใย
“ท่านแม่ทัพ! ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ!” ซูหนิงหนิงรีบคุกเข่าลงข้างกายเขา มองบาดแผลที่ไหล่ของเขาอย่างรวดเร็ว
หลี่เหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น ใบหน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด “ข้า...ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรได้อย่างไร! แผลลึกถึงเพียงนี้!” ซูหนิงหนิงรีบฉีกชายเสื้อของตนเองออก พยายามห้ามเลือดอย่างรวดเร็ว มือของนางสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวล
หลี่เหวินเจี๋ยมองดูนางที่กำลังปฐมพยาบาลให้เขาอย่างเร่งรีบ สายตาของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างแท้จริง มิได้มีการเสแสร้งแกล้งทำใดๆ
“ท่านแม่ทัพ! ศัตรูบุกเข้ามาแล้วขอรับ!” เสียงของทหารนายหนึ่งดังขึ้น
หลี่เหวินเจี๋ยพยายามลุกขึ้น แต่ซูหนิงหนิงจับแขนเขาไว้แน่น “ท่านอย่าเพิ่งลุกเจ้าค่ะ! บาดแผลของท่านยังต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน!”
“ข้ามิอาจทอดทิ้งสนามรบได้!” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าวอย่างดื้อรั้น
“ท่านจะทำหน้าที่ได้อย่างไรหากท่านสิ้นสติไป!” ซูหนิงหนิงเอ่ยเสียงเข้ม “โปรดไว้ใจข้า! ข้าจะทำแผลให้ท่านอย่างรวดเร็วที่สุด!”
ในที่สุด หลี่เหวินเจี๋ยก็ยอมนั่งลงให้ซูหนิงหนิงรักษาแผลให้ เขาจ้องมองใบหน้าของนางที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงจัง เขารู้สึกถึงความเชื่อใจที่ก่อตัวขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในอีกมุมหนึ่งของสนามรบ มู่หลัน กำลังคอยช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บและพยายามช่วยซูหนิงหนิงเท่าที่จะทำได้ กงซุนหมิง ผู้ซึ่งตามมาสมทบด้วยความเป็นห่วง ได้เข้าช่วยเหลือมู่หลันอย่างเต็มกำลัง
“มู่หลัน! เจ้าปลอดภัยหรือไม่!” กงซุนหมิงร้องถาม ขณะที่เขาปัดป้องคมดาบจากทหารศัตรูให้มู่หลัน
“ข้าปลอดภัยดีเจ้าค่ะหมิงเอ๋อร์” มู่หลันตอบด้วยน้ำเสียงหอบเหนื่อย “แต่ทหารบาดเจ็บกันมากเหลือเกิน!”
“พวกเราจะช่วยกัน” กงซุนหมิงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “เจ้าคอยดูแลพวกเขา ข้าจะช่วยปัดเป่าศัตรูให้”
กงซุนหมิงเข้าปะทะกับทหารศัตรูอย่างกล้าหาญ แม้เขาจะมิได้เป็นนักรบที่เก่งกาจเท่าหลี่เหวินเจี๋ย แต่เขาก็สู้เพื่อปกป้องมู่หลันและช่วยเหลือผู้คนอย่างเต็มที่ มู่หลันมองกงซุนหมิงด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วยความซาบซึ้งใจและความรักที่มิอาจเอ่ยออกมาได้
ความรักของทั้งคู่เบ่งบานท่ามกลางควันไฟและเสียงดาบ เติบโตขึ้นจากความห่วงใยและความเสียสละให้แก่กันและกัน
ในที่สุด การต่อสู้ก็ยุติลง กองทัพของต้าเหลียงสามารถขับไล่ทัพศัตรูออกไปได้สำเร็จ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างหนัก
หลี่เหวินเจี๋ยที่บาดเจ็บถูกนำตัวกลับไปยังค่าย ซูหนิงหนิงยังคงอยู่ดูแลอาการของเขาไม่ห่าง มู่หลันและกงซุนหมิงก็คอยช่วยเหลือและดูแลทหารที่บาดเจ็บคนอื่นๆ
ภายในกระโจมพยาบาลชั่วคราว ซูหนิงหนิงกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้หลี่เหวินเจี๋ยอย่างเบามือ บาดแผลของเขายังคงปวดร้าว แต่เขากลับไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย
“บาดแผลของท่านยังคงต้องพักผ่อนมากเจ้าค่ะ” ซูหนิงหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าปกติ “ท่านควรจะพักผ่อนให้มาก”
หลี่เหวินเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตาของเขาฉายแววที่อ่อนโยนลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “เจ้า...มิได้เป็นสายลับอย่างที่ข้าสงสัย” เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
คำพูดของเขาทำให้ซูหนิงหนิงรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่วร่าง นางเงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ทั้งโล่งใจ เสียใจ และ...ความเข้าใจ
“ข้าไม่เคยเป็นเจ้าค่ะ” ซูหนิงหนิงตอบ น้ำเสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย “ข้าเพียงต้องการทำหน้าที่ของข้า”
“ข้า...ขออภัยที่สงสัยเจ้า” หลี่เหวินเจี๋ยกล่าว เขาไม่เคยขอโทษใครมาก่อนในชีวิต แต่กับซูหนิงหนิง เขากลับรู้สึกว่าคำขอโทษนี้ออกมาจากใจจริง
ซูหนิงหนิงมองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ท่านทำหน้าที่ของท่าน”
มือของหลี่เหวินเจี๋ยค่อยๆ เอื้อมไปวางบนมือของซูหนิงหนิงที่กำลังพันผ้าพันแผลให้เขา สัมผัสที่แผ่วเบานั้นทำให้ใจของซูหนิงหนิงเต้นรัว
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง... กำลังก้าวข้ามผ่านความสงสัยและความไม่ไว้วางใจ และกำลังเริ่มก่อร่างสร้างขึ้นจากความเข้าใจและความเชื่อใจที่เพิ่งเกิดขึ้น
แม่ทัพผู้ไม่เคยสนใจหญิงใด บัดนี้กำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวที่กล้าขึ้นเสียงและสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว และใจของเขาก็กำลังเปิดรับนางเข้ามาช้าๆ
แต่เส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สงครามยังไม่จบสิ้น และภัยคุกคามจากขุนนางกบฏก็ยังคงแฝงตัวอยู่ในเงามืด... ความรักที่เพิ่งจะเริ่มผลิบานนี้ จะสามารถยืนหยัดท่ามกลางพายุแห่งสงครามและการเมืองได้หรือไม่?
หลังจากการปราบปราม เสนาบดีซ่ง ผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังการกบฏได้สำเร็จ แผ่นดินต้าเหลียงก็กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง ทว่าบาดแผลจากสงครามยังคงฝากฝังไว้ในจิตใจของผู้คน และบาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าที่ซูหนิงหนิงได้รับก็ยังคงต้องใช้เวลาในการเยียวยาแต่สิ่งที่ยังคงตราตรึงในใจของ ซูหนิงหนิง ยิ่งกว่าสิ่งใด คือจูบของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่มอบให้นางกลางท้องพระโรง จูบแห่งคำมั่นสัญญาที่ผูกมัดหัวใจของทั้งสองไว้ด้วยกันอย่างไม่อาจแยกจากทว่าความสุขนั้นช่างสั้นนัก ความสงบสุขที่ได้มานั้นเปรียบดั่งความเงียบสงบก่อนพายุโหมกระหน่ำ เพราะข่าวสารจากชายแดนได้นำมาซึ่งความหวาดหวั่นครั้งใหม่... กองทัพของแคว้นอริทางเหนือกำลังรวมพลครั้งใหญ่ หมายบุกเข้ายึดครองต้าเหลียง สงครามครั้งใหญ่ที่สุดกำลังจะเริ่มต้นขึ้นภายในห้องทำงานส่วนตัวของหลี่เหวินเจี๋ย แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องแผนที่ยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ที่แผ่กว้างเต็มโต๊ะ ใบหน้าคมคายของเขาเคร่งเครียดกว่าครั้งใดๆ หลี่เหวินเจี๋ย จมอยู่กับการวางแผนการรบอย่างละเอียดถี่ถ้วน เขารู้ดีว่าศึกครั้งนี้เป็นศึกชี้เป็นชี้ตายของแผ่นดิน“ท่
รัตติกาลอันเงียบสงบในเมืองหลวงต้าเหลียงถูกปกคลุมด้วยความวิตกกังวล แม้ชัยชนะเหนือ เฉินกวง จะนำความสงบสุขกลับคืนมาได้ชั่วคราว แต่บาดแผลจากคมมีดของนักฆ่าปริศนาที่ปักเข้าสู่ร่างของ ซูหนิงหนิง และความจริงที่ยังซ่อนเร้นเกี่ยวกับผู้บงการที่แท้จริง ก็ยังคงเป็นเงาตามหลอกหลอนจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ยภายในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของซูหนิงหนิงที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียง บาดแผลที่สีข้างยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่พิษร้ายได้ถูกขับออกไปแล้วจากยาของหลี่เหวินเจี๋ยหลี่เหวินเจี๋ย นั่งเฝ้านางอยู่ข้างเตียงไม่ห่าง ใบหน้าคมคายของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ราวกับกลัวว่านางจะหายไปจากสายตาของเขา เขาลูบไล้เส้นผมของนางอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่อ่อนโยนนั้นทำให้หัวใจของเขาเจ็บปวดอย่างประหลาด เขานึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวัน ที่นางยอมเอาตัวเข้าขวางคมมีดเพื่อปกป้องเขา เลือดสีแดงฉานที่ไหลซึมออกมาจากร่างของนางยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเขา“ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเจ็บอีกแล้วซูหนิงหนิง” หลี่เหวินเจี๋ยพึมพำกับตั
แสงจันทร์สลัวๆ สาดส่องเข้ามาในเรือนพักรับรองในค่ายทหาร บ่งบอกถึงความเงียบสงัดหลังจากการปะทะกับกลุ่มนักฆ่าลึกลับ ผู้บงการที่แท้จริงยังคงแฝงกายอยู่ในเงามืด แต่ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง กลับได้เรียนรู้ถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นท่ามกลางคมดาบและห่าธนูซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงไม้ชั่วคราว มือเรียวสวยกำลังดูแลบาดแผลที่สีข้างของ หลี่เหวินเจี๋ย ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียวด้วยความเจ็บปวดจากคมมีด แต่ดวงตาคู่คมกริบยังคงจับจ้องนางไม่วาง ส่วนแขนของนางเองก็มีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่ บ่งบอกถึงบาดแผลที่ได้รับจากการปกป้องหลี่เหวินเจี๋ยเมื่อครู่“ท่านแม่ทัพ…ท่านต้องอดทนนะเจ้าคะ” ซูหนิงหนิงกล่าวเสียงแผ่ว นางค่อยๆ เช็ดคราบเลือดรอบบาดแผลอย่างเบามือ และพยายามใช้สมุนไพรบดละเอียดพอกลงไป เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและห้ามเลือดหลี่เหวินเจี๋ยกัดฟันแน่น เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่บาดลึก แต่ในขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและห่วงใยจากปลายนิ้วของนาง“เจ้า…เองก็บาดเจ็บมิใช่หรือ” หลี่เหวินเจี๋ยเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว “ทำไมถึงไม่ทำแผลให้ตั
แสงเทียนสลัวๆ ส่องต้องใบหน้าซีดเซียวของ หมอหลวงซูอัน ที่นอนอยู่บนเตียงภายในจวน บาดแผลที่สีข้างของเขายังคงสร้างความเจ็บปวด แต่เขาก็พ้นขีดอันตรายแล้วจากการดูแลอย่างใกล้ชิดของ ซูหนิงหนิง และการคุ้มกันอย่างเข้มงวดของ หลี่เหวินเจี๋ย ที่เลือกทิ้งราชกิจสำคัญเพื่อมาอยู่เคียงข้างนางซูหนิงหนิงนั่งอยู่ข้างเตียงบิดา กุมมือที่เหี่ยวย่นของท่านไว้ ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอนและความกังวล แต่ในใจก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นที่หลี่เหวินเจี๋ยเลือกที่จะอยู่ข้างนาง“หนิงหนิง…เจ้าไปพักผ่อนเถอะ” หมอหลวงซูอันเอ่ยเสียงแผ่ว “พ่อไม่เป็นอะไรแล้ว”“ข้ายังพักไม่ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ” ซูหนิงหนิงตอบ “ข้าต้องอยู่ดูแลท่าน”หลี่เหวินเจี๋ย ยืนพิงวงกบประตู มองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่อ่อนโยนขึ้นอย่างประหลาด เขาเฝ้ามองซูหนิงหนิงที่ดูแลบิดาด้วยความรักและความทุ่มเท แผลที่แผ่นหลังของเขายังคงปวดร้าว แต่ความเจ็บปวดเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้กับความสุขที่ได้เห็นนางปลอดภัย“ท่านหมอหลวง…ท่านฟื้นแล้วก็ดีแล้วขอรับ” หลี่เหวินเจี
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องต้องผืนฟ้าเมืองหลวงต้าเหลียงอย่างอบอุ่น ข่าวการปราบปราม เฉินกวง ได้สร้างความสงบสุขกลับคืนสู่แผ่นดินแต่เบื้องหลังความสงบนั้น แผลใจและปมปริศนาของ ตระกูลหลิน ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในจิตใจของ หลี่เหวินเจี๋ย และ ซูหนิงหนิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการเผชิญหน้ากับหญิงสาวลึกลับผู้มีป้ายหยกตระกูลหลินในยามเช้าที่ท้องพระโรงหลวง บรรยากาศกลับมาคึกคักอีกครั้ง เหล่าเสนาบดีและขุนนางน้อยใหญ่ต่างมารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้า องค์ฮ่องเต้ สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังทางเข้าท้องพระโรงอย่างกระหายใคร่รู้ เพราะลือกันว่าวันนี้จะมีการประกาศราชโองการสำคัญหลี่เหวินเจี๋ย ในชุดขุนนางเต็มยศดูสง่างามและน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว แต่ในใจกลับครุ่นคิดถึงเรื่องสำคัญยิ่งกว่าราชกิจใดๆ นั่นคือเรื่องของ ซูหนิงหนิง และความลับดำมืดที่กำลังจะถูกเปิดเผย“ท่านแม่ทัพ วันนี้เหล่าเสนาบดีสำคัญจากทั้งหกกรมล้วนมากันครบขอรับ”ห
ท้องพระโรงหลวงที่เคยเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด บัดนี้กลับมาสงบเงียบอีกครั้ง หลังจากการปราบปราม เฉินกวง สำเร็จ แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทองคำ ต้ององค์ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลี่เหวินเจี๋ย ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ แม้บาดแผลที่แผ่นหลังยังคงสร้างความเจ็บปวด แต่ใบหน้าคมคายของเขาฉายแววความมุ่งมั่นและชัยชนะ การปราบปรามกบฏครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของต้าเหลียง“หลี่เหวินเจี๋ย! เจ้าทำได้ดีมาก!” องค์ฮ่องเต้ตรัสด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน “เจ้าได้ปกป้องราชบัลลังก์และแผ่นดินต้าเหลียงไว้จากภัยร้าย! สมควรได้รับบำเหน็จอย่างงาม!”หลี่เหวินเจี๋ยคุกเข่าลง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”“และซูหนิงหนิง…บุตรีของหมอหลวงซูอัน นางก็มีความชอบเช่นกัน!”องค์ฮ่องเต้ตรัสต่อ “นางผู้เป็นหมอหญิงที่หาตัวจับยาก ทั้งยังช่วยเจ้าเปิดโปงไส้ศึก สมควรได้รับการเชิดชู!”ซูหนิงหนิ







