ผ่านไปร่วมสามวันที่หลินจื่อเยว่หมดสติไป นางค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้า ๆ ก่อนจะพบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ดูก็รู้ว่าคงอายุยังมิถึงสิบห้า
“พี่สาวตื่นแล้วหรือขอรับ พี่สาวหลับไปนานจนข้ากับท่านป้าเป็นกังวลเลยนะขอรับ” “นะ...น้ำ ขอน้ำ” เพราะรู้สึกว่าภายในลำคอแห้งผากคล้ายมีทรายละเอียดอยู่ในนั้น หลินจื่อเยว่ที่เพิ่งได้สติก็ร้องหาน้ำเปล่าทันที อวิ๋นโม่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็กระวีกระวาดไปตักน้ำมาให้ พลางค่อย ๆ ประคองป้อนเหมือนที่เห็นผู้เป็นป้าทำก่อนหน้านี้ เพราะแม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะไม่ฟื้น ทว่าอวิ๋นหลานก็คอยป้อนน้ำให้อยู่ตลอด แค่ก แค่ก หลินจื่อเยว่พยายามประคองตัวเองนั่ง พลางกวาดตามองไปรอบ ๆ เรือนไม้ด้วยความงุนงง ช่วงที่หลับไป นางได้ฝันเห็นสตรีผู้หนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายตน แต่รูปร่างเล็กกว่า ทั้งเส้นผมของสตรีผู้นั้นก็ยาวกว่านาง ซึ่งสตรีในความฝันทำเพียงยืนส่งยิ้มให้กับนาง ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่นางจะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของสตรีผู้นั้นชัดเจน หลินจื่อเยว่หันมองไปทางเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา พลันนั้นก็ได้กลิ่นสมุนไพรบรรเทาปวดที่โชยพัดเข้ามาเตะปลายจมูก ทำให้นางรู้ว่าความรู้ติดตัวนั้นมิได้เลือนหายไปพร้อมกับเหตุการณ์แปลกประหลาดนี้ “พี่สาว ท่านพูดมิได้หรือขอรับ เหตุใดเอาแต่มองหน้าข้าเล่า เอ จะว่าพูดมิได้ก็มิใช่ เมื่อกี้พี่สาวยังขอน้ำข้าอยู่เลย” ‘น้ำข้า? เจ้าเด็กนี่พูดจาสองแง่สองง่ามเสียจริง’ หลินจื่อเยว่นึกตำหนิเด็กหนุ่มในใจ เพราะคำที่เขาใช้มันมีความหมายแฝงมาด้วย “เจ้าควรพูดว่า ‘ขอน้ำกับข้า’ ไม่ใช่ ‘น้ำข้า’ มันไม่ดี” อวิ๋นโม่ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความไม่เข้าใจว่า ทั้งสองแตกต่างกันเช่นไร กระนั้นก็ดีใจที่เห็นว่าหญิงแปลกหน้าพูดจาแล้ว “พี่สาว มาจากที่ใดกันขอรับ เหตุใดถึงไปนอนเจ็บอยู่กลางป่าเช่นนั้น” เพราะเห็นทุกอย่างจากในความฝัน ทำให้ตอนนี้หลินจื่อเยว่ไม่รู้ว่าควรไว้ใจเด็กหนุ่มตรงหน้ามากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ดูแล้วจะไร้พิษสงใด ๆ ก็ตาม “อาโม่ มาช่วยป้ายกของหน่อย” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น ทำให้หลินจื่อเยว่หันไปมองยังทิศทางที่มาของเสียง “ท่านป้า พี่สาวฟื้นแล้วขอรับ” อวิ๋นโม่เอ่ยบอกกับผู้เป็นป้า ก่อนจะวิ่งออกไปช่วยยกของเข้ามาในบ้าน “เจ้าฟื้นเสียที หลับไปหลายวันข้ากับหลานชายก็พาลใจคอไม่ดี” อวิ๋นหลานเร่งเดินเข้าบ้านมาพลางมองสำรวจหญิงสาวบนเตียงด้วยความดีใจ “...” “เจ้ามีนามว่าอย่างไร แล้วมาจากที่ใดหรือ” อวิ๋นหลานเอ่ยถามขึ้นต่อ “...” ทว่าสิ่งที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบ พร้อมกับสายตาคู่คมที่จ้องมองมาทางตนนิ่ง ๆ อวิ๋นหลานที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายปีก็พอจะเข้าใจได้ว่าหญิงสาวเองก็คงไม่ไว้พวกตนเช่นเดียวกัน “ข้าชื่ออวิ๋นหลาน ส่วนนี่หลานชายข้า อวิ๋นโม่ ข้ากับหลานและเพื่อนบ้านสองสามคนไปเจอเจ้านอนเจ็บอยู่ในป่าตรงตีนเขา เห็นว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่เลยพาเจ้ากลับมาที่หมู่บ้านเสียก่อน” อวิ๋นหลานแนะนำตัวเองและหลานชายพร้อมบอกที่มาที่ไปที่หลินจื่อเยว่ต้องมาอยู่ที่นี่ ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ขาของเจ้าหัก ลุงหานบ้านถัดไปเอาแผ่นไม้กระดานมาดามเอาไว้ เจ้าก็อย่างเพิ่งขยับเล่า ส่วนแผลภายนอกอื่น ๆ ก็มีชาวบ้านเอาหยูกยามาให้เจ้า แต่ข้าเองก็ไม่ได้มีความรู้มากนัก เลยให้แค่ยาบรรเทาปวดและยาลดไข้แก่เจ้า ไม่กล้าให้ยาเจ้าทั้ง ๆ ที่ไม่รู้น่ะ” “ขอบคุณเจ้าค่ะป้าอวิ๋น ข้าผู้แซ่หลิน นามว่าจื่อเยว่ ท่านป้าเรียกข้าว่าเสี่ยวเยว่ก็ได้เจ้าค่ะ” เมื่อสัมผัสได้ว่าสองคนตรงหน้ามิใช่คนร้าย หลินจื่อเยว่ก็เอ่ยแนะนำตัวเองพร้อมเอ่ยขอบคุณออกมาด้วยน้ำเสียงและท่าทางนอบน้อม ก่อนจะหันไปมองเรียวขาข้างซ้ายที่มีไม้กระดานสองแผ่นดามเอาไว้อยู่ “แล้วที่นี่คือที่ไหนหรือเจ้าคะท่านป้าอวิ๋น” “หมู่บ้านเหลิ่งซาน เดิมทีหมู่บ้านเราเป็นหมู่บ้านปิด มิได้ให้ผู้คนภายนอกเข้ามาหรอกนะ แต่เจ้าสบายใจได้ อยู่รักษาตัวเสียให้หาย แล้วค่อยคิดการเอาว่าจะทำเช่นไรต่อไป” “เจ้าค่ะท่านป้า เอ่อ เมื่อครู่ท่านป้าบอกว่ามีชาวบ้านเอายามาให้ ข้าขอดูหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะเป็นหมอจึงรู้ดีว่าตอนนี้สภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร จึงอยากรักษาตัวให้หายเร็ว ๆ อวิ๋นหลานไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เดินไปหยิบถาดยาสมุนไพรมาให้ “รู้เรื่องยาด้วยหรือ” “ข้าเป็นหมะ... หมายถึงข้าเคยเรียนมาเจ้าค่ะ” หลินจื่อเยว่รับถาดยาสมุนไพรมาถือเอาไว้ ก่อนจะมองมันอย่างพินิจพิจารณา แม้จะไม่แน่ใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต หากแต่นางก็นึกดึใจที่ความรู้เมื่อครั้งยังเป็นคุณหมอหลินจื่อเยว่ยังมีติดตัวอยู่ อีกทั้งความรู้ความทรงจำของร่างเดิมก็สามารถเติมเต็มความสามารถของนางได้อีกไม่น้อย “ว่าแต่เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยนะว่าเจ้ามาจากที่ใด” หลินจื่อเยว่เมื่อได้ยินคำถาม ก็เงยหน้ามองไปทางอวิ๋นหลาน เรียวปากอิ่มเม้มแน่นอย่างใช้ความคิด ก่อนจะเลือกปิดบังความจริงเอาไว้ “คือข้า...นอกจากชื่อก็จำสิ่งใดไม่ได้เลยเจ้าค่ะ แต่คิดว่าอีกหน่อยก็คงค่อย ๆ จำได้” “อย่างนั้นสินะ มิเป็นไร ช่วงที่ยังรักษาตัวอยู่ก็อาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนแล้วกัน หากต้องการสิ่งใดก็บอกแก่ข้า หรืออาโม่ได้เลย” “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้า”หลินจื่อเยว่มองไม้ที่ดามขาเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่ามันมิได้ถูกหลักการเสียทีเดียว นางจึงค่อย ๆ ยื่นมือไปแกะผ้าที่รัดแผ่นไม้นั้นเอาไว้ แต่เพราะทำไม่ถนัด สุดท้ายจึงวานให้อวิ๋นโม่มาช่วย
“ใช่ วางขนาบแบบนั้นแหละ จากนั้นก็ใช้ผ้าในมือเจ้ารัดพันให้แน่น ๆ” หลินจื่อเยว่เอ่ยบอกวิธีให้อวิ๋นโม่ทำตามไปช้า ๆ “รัดแน่นเช่นนี้จะดีหรือขอรับเยว่เจี่ย” “ต้องรัดให้แน่นแบบนั้นแหละ แน่นอีกอาโม่ แน่นกว่านี้” “แต่ท่านลุงหานบอกว่า หากรัดแน่นไปเลือดจะมิไหลไปเลี้ยงร่างกายนะขอรับ” “แต่หากมิรัดให้แน่น แผ่นไม้ก็จะขยับ ขาก็จะขยับได้ กระดูกก็จะมิเชื่อมต่อกัน แบบนั้นนานวันเข้าก็จะมิสามารถกลับมาเดินได้อีก” “แต่ว่า...” “อาโม่ นี่มันร่างกายข้า ข้าย่อมรู้สิ เจ้าทำตามที่ข้าบอก มิต้องกังวลสิ่งใด” และกว่าผู้ช่วยจำเป็นจะทำการรัดผ้าจนแน่นเสร็จ ก็ปาไปราว ๆ สองก้านธูป จากนั้นก็ไปหาไม้กลมยาวมาให้หลินจื่อเยว่ตามที่นางร้องขอ เพราะหากจะให้นางนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เช่นนี้คงไม่ดีแน่ ดูจากความเป็นอยู่สองป้าหลานแซ่อวิ๋นแล้วคงมิได้มีเงินทองมากมาย หากต้องเจียดเงินเหล่านั้นมาให้นางอีก นางคงกลายเป็นภาระหนักเป็นแน่ เมื่อได้ท่อนไม้จากอวิ๋นโม่พร้อมกับมีดยาว หญิงสาวก็ลุกขึ้นนั่งก่อนจะสับไม้ให้ได้ระดับความสูงพอเหมาะกับร่างกายของนาง จากนั้นสับส่วนปลายข้างหนึ่งออกเป็นแง่งคล้ายไม้ง่ามในยุคที่นางจากมา “ไม้เท้าหรือขอรับ เหตุใดหน้าตาประหลาดนัก” “จะเรียกว่าไม้เท้าก็ย่อมได้ แต่ข้าจะเรียกว่าไม้พยุง มันจะช่วยให้ข้าสามารถเดินได้โดยที่ไม่ต้องใช้เท้าตัวเอง แบบนี้” หลินจื่อเยว่ใช้ไม้พยุงแนบเข้ากับลำตัว จากนั้นก็เริ่มก้าวเดินช้า ๆ เพราะขาขวายังคงใช้การได้อยู่เป็นปกติ จากนั้นก็เริ่มเดินสำรวจไปรอบ ๆ บ้านโดยมีอวิ๋นโม่เดินตามไม่ห่าง เพราะเพียงรู้จักไม่นานก็รู้สึกถูกชะตากับหญิงสาวเสียแล้ว ชาวบ้านในละแวกเดียวกัน เมื่อเห็นหลินจื่อเยว่เดินออกมาข้างนอกก็แวะมาทักทาย ไม่เว้นแม้แต่ท่านลุงแซ่หานที่เดินมาหา แล้วก้มลงมองขาของหลินจื่อเยว่ “ผู้ใดดามขาให้เจ้าใหม่หรือแม่นาง” “ท่านลุงหาน ข้าเพียงอยากออกมานั่งเล่น แต่เพราะการดามก่อนหน้าไม่แน่นพอ คาดว่าคงเป็นเพราะข้ายังมิได้สติ เลยทำให้ดามขาลำบาก วันนี้เลยให้อาโม่ช่วยพันให้ใหม่เจ้าค่ะ ได้ยินว่าเป็นลุงหานที่เอาไม้กระดานนี้มาให้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วน่ารัก ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างพากันเอ็นดูในความน่ารักและรอยยิ้มของหลินจื่อเยว่ จากนั้นจึงพากันเรียกว่าเสี่ยวเยว่ตามอวิ๋นหลานไปด้วยเรื่องราวจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ ถูกบอกเล่าให้กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนที่พวกเขาจัดงานฉลองต้อนรับหลานคนแรกของสำนักเจินเฉียงลุกมานั่งข้างเซี่ยวจวินพลางยกมือขึ้นตบไหล่เขาปุ ๆ อย่างเห็นใจ “น้องเขย ศิษย์น้องข้าผู้นี้นิสัยห่างไกลความเป็นสตรีปกติ ข้าเล่าเห็นใจเจ้าเสียจริง”“ใช่ ๆ พวกข้าเองก็เห็นใจเจ้า”“ศิษย์พี่ทั้งหลายรักข้าเสียจริง พากันเห็นใจบุรุษด้วยกัน ไยมิเห็นใจข้าบ้างเล่าที่มีสามีโดยที่ตอนนั้นมิรู้ว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอันใด”บุรุษทั้งเก้าคนพากันส่ายหน้าให้ เพราะไม่ได้รู้สึกเห็นใจสตรีเช่นศิษย์น้องเล็กอย่างที่นางเรียกร้องเลยแม้แต่น้อย“พวกท่านมิต้องเห็นใจข้าก็ได้ เพราะข้ายินยอมนางเอง มิได้ขัดขืนยามนางลุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้า...”เพียะฝ่ามือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งของสามีมิคิดถนอมแรง ใจจริงอยากจะแทรกกำลังภายในเข้าไปด้วยเสียด้วยซ้ำ ที่นำเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาบอกเล่า ก่อนที่หลินจื่อเยว่จะหนีอุ้มเอาหลินเสวี่ยอี้เข้าไปนอนเสีย ปล่อยให้บรรดาบุรุษได้นั่ง
เทศกาลหยวนเซียวครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาชมโคมไฟกันยังจัตุรัสกลางเมืองหลวง โคมไฟกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนภาพหรือคำกลอนขึ้นลอยไปบนฟ้ายามค่ำคืน จนทั่วนภาสว่างโร่มิต่างจากกลางวันมากมายนักเซี่ยวจวินพาหลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้มาหยุดยืนกลางสะพาน ในมือมีโคมไฟที่เป็นรูปครอบครัวนกพิราบเผือกสีขาวนวลสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้“นกพิราบเป็นตัวแทนสันติภาพ” หลินจื่อเยว่เอ่ยขึ้นขณะทอดมองสายตาไปยังโคมไฟของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น“ไม่ผิด หากแต่นกพิราบสามตัวนี้กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตัวผู้และตัวเมียกระพือปีกป้องลูกน้อย ข้ามองมันแทนตัวพวกเรา มีข้า มีเจ้า มีเสวี่ยอี้โผบินไปบนท้องนภาอย่างอิสระนับจากนี้”“โหราจารย์เอกแห่งวังหลวงมีคารมคมคายเช่นนี้เลยหรือ มิน่าทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น”หลินจื่อเยว่เอ่ยแซว กว่าเรื่องราวขององค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์จะจบลง นางแทบจะกลายร่างเป็นนางมารวันละสิบครั้ง ทว่าได้ฮ่องเต้หลี่เซียนและองค์รัชทายาทช่วยปรามจนนางถอดใจไป ก่อนจะถูกส่งตัวไปอภิเษกกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สตรีด้วยกันม
เซี่ยวจวินอุ้มพาภรรยามาวางบนเตียงก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมร่างเล็กเอาไว้ สายตาคู่คมไล่มองสำรวจเรือนร่างงดงามขาวผ่องไปทุกส่วนก่อนจะจับปลายเท้าเรียวขึ้นมาแล้วจรดจุมพิตไปบนหลังเท้าขาวสะอาดแผ่วเบา ยิ่งทำให้หัวใจของหลินจื่อเยว่เต้นรัวแรงหนักกว่าเดิม แม้นจะอยากดึงเท้ากลับ ทว่าก็มิอาจทำได้ เนื่องจากเซี่ยวจวินมิยอมปล่อยริมฝีปากหยักไล่พรมจูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า ท่อนขา จนมาถึงต้นขาด้านใน เซี่ยวจวินขบเม้มมันเบา ๆ จนเกิดรอยสีกุหลาบ เซี่ยวจวินผละใบหน้าออกมาแล้วสบมองดวงตาคู่สวยครู่หนึ่ง จังหวะเดียวกันก็สอดก้านนิ้วแกร่งยาวเรียวชำแรกแทรกเข้าไปในกลีบผงางาม เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดีเซี่ยวจวินมิได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงโน้มลงไปตวัดดูดดึงยอดปทุมสีหวานราวกับมันเป็นของหวานเลิศรสจากสวรรค์ก็ไม่ปาน“ภรรยาข้างดงามและหอมหวานเสียจริง”“อึก ท่านพี่”ความร้อนในกายแล่นปลาบไปทั่วเรือนร่าง ยิ่งยามที่ลิ้นของสามีดูดึงยอดปทุม คล้ายกับความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนกายบางบิดเร่าไปมา ยิ่งก้านนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปภายในกายขยับเข้าออกในจังหวะท
วันต่อมาเซี่ยวจวินเดินทางเข้าวังตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมด้วยหลินจื่อเยว่ หากแต่วันนี้บุตรชายมิได้มาด้วย เพราะเจ้าตัวอยากไปเที่ยวตลาดกับท่านป้าอาเยียนหลังจากได้เผยความรู้สึกของกันและกันให้ได้รับรู้ และทำการแยกห้องนอนกับหลินเสวี่ยอี้ ทั้งสองก็ช่วยกันทำงาน ให้คำปรึกษากันและกันในทุกเรื่อง แม้ว่าเซี่ยวจวินจะยกอำนาจการตัดสินใจเรื่องภายในจวนให้กับหลินจื่อเยว่ ทว่านางก็ยังถามไถ่จากพ่อบ้าน ด้วยว่าที่ผ่านเขาเป็นคนดูแลจวนนี้มาตลอดเมื่อเข้ามาถึงวังหลวงทั้งเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ก็ตรงไปยังตำหนักหลงเสวียนทันที เหิงกงกงยังคงต้อนรับทั้งสองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มปรีดา เพราะนับจากวันที่หลินจื่อเยว่แนะนำให้หลี่เซียนแช่น้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ดูเหมือนหลี่เซียนก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น“เซี่ยวจวินหรือ มา ๆ เข้ามา” เสียงของหลี่เซียนดูสดใสขึ้น“เซี่ยวจวินถวายพระพรฝ่าบาท”“จื่อเยว่ถวายพระพรฝ่าบาท”ทั้งสองเอ่ยขึ้นพลางยอบกาบย่อตัวลงคารวะตามพิธีการ“นั่งเถอะ”“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท&rdqu
เซี่ยวจวินตั้งใจมอบหมายงานให้กับคนอื่นดูแลต่อจากนี้ แน่นอนว่านอกจากเขาและจางหมิ่นแล้วยังมีโหราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา และพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ขณะที่เซี่ยวจวินเข้าไปจัดการงานที่เหลือเพื่อมอบหมายให้คนอื่นหลังจากนี้ หลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้ก็พากันเดินชมสวนใกล้ ๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างามได้เป็นอย่างดี นางยืนมองบุตรชายวิ่งไล่จับผีเสื้อที่เข้ามาดูดน้ำหวานจากเกสรทว่าขณะเดียวกันนั้นกลับก็ปรากฏสตรีในอาภรณ์งามสง่าบ่งบอกว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามา หลินจื่อเยว่จึงทำเพียงดึงบุตรชายให้หลบทาง แล้วก้มหน้าก้มตาลง“วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ มิทราบว่าแม่นางคือผู้ใดกัน เปิ่นกงมิเคยเห็นหน้ามาก่อน”หลี่หรงเอ๋อร์ทราบจากนางกำนัลว่าเจอเซี่ยวจวินเข้ามาในวังหลวง จึงเร่งแต่งกายแล้วรีบมาหา กระทั่งมาเจอหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีแปลกหน้า“องค์หญิง”เสียงทุ้มของเซี่ยวจวินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หรงเอ๋อร์ซึ่งกำลังไม่พอใจที่นางถามหลินจื่อเยว่แต่กลับไม่ได้คำตอบ
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนดึกสงัดแล้ว ทว่าร่างสูงที่นอนอยู่บนตั่งเตียงยังคงพลิกกายไปมาสลับซ้ายขวา จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง เซี่ยวจวินผุดลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก ภายในจวนยามนี้เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมยามราตรีที่พัดโบกต้นไม้ใบหน้าให้เสียดสีกันไปมา เท้าแกร่งเดินไปหยุดอยู่หน้าเรือนหมิงเยว่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ ขณะที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ประตูเรือนหมิงเยว่ก็ถูกเปิดออกมา“เซี่ยวจวิน เป็นท่านหรือ” หลินจื่อเยว่ซึ่งตื่นมาดูบุตรชายก็หลับไม่ลงอีก จึงตั้งใจว่าจะออกมาเดินเล่น แต่ไม่คิดว่าจะเจอใครอีกคนยืนอยู่“เป็นข้าเอง เจ้าออกมาทำไมกัน”“ข้าสิต้องถามท่าน ท่านมายืนตรงนี้ทำไม” หลินจื่อเยว่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ“ข้า... เอ่อ... ข้าเพียงแค่... เฮ้อ ข้านอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้บนรถม้ามีเจ้ากับเสวี่ยอี้นอนด้วยตลอด พอต้องกลับมานอนคนเดียวข้าเลยไม่ชิน”“...”“ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่”เซี่ยวจวินเอ่ยถามออกไปตรง ๆ และกว่าหลิ