หมอปีศาจพันหน้าไม่มีใครรู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ทุกย่างก้าวที่หมอปีศาจเดินผ่าน หากไม่มีคนตายก็จะพบความอัศจรรย์คนที่ตายแล้วฟื้นคืนชีพอีกครั้ง! ชื่อเสียงดังก้องทั่วยุทธภพแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าหมอปีศาจพันหน้าเป็นเพียงแม่นางน้อยคนหนึ่งเท่านั้น! และแม่นางน้อยอย่างหลินจื่อเยว่ที่ข้ามภพมาเป็นลูกศิษย์คนที่สิบของหมอเทวดาแห่งหุบเขาเทวะ และไม่รู้ว่าร่างนี้ไม่สามารถดื่มสุราได้ ทำให้นางไปคว้าบุรุษรูปงามมาเป็นพ่อของลูกเพราะฤทธิ์น้ำเมา จึงเกิดผลผลิตน้อยๆ ออกมาอย่างไม่ตั้งใจ แม้จะไม่รู้ว่าบุรุษรูปงามนั้นเป็นใครมาจากไหน แต่นางจะต้องเลี้ยงดูก้อนแป้งที่น่ารักเป็นอย่างดี!
View Moreภายในห้องทดลองขนาดใหญ่ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้ทำการทดลองและวิจัยยาตัวหนึ่ง การวิจัยและการทดลองกำลังเดินทางมาถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งหมายถึงเป็นการจบหน้าที่ที่พวกเขากรำกันมาแรมปีแล้ว
“เยว่เจี่ย ไปพักก่อนเถอะ พี่อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เดี๋ยวฉันดูให้เอง” หญิงสาวหน้าตาน่ารักในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้ามาบอกกับผู้ที่เป็นหัวหน้า และเป็นเสมือนพี่สาวเธออีกคน หลินจื่อเยว่ผละสายตาออกจากชาร์ตการทดลองหันไปมองเด็กสาวแล้วคลี่ยิ้มบางออกมาให้หนึ่งสาย “อาซิน แล้วเธอกินข้าวแล้วเหรอ ถึงจะมาสลับกับพี่” “กินแล้วสิ ฉันน่ะไม่ยอมหิ้วท้องรอหรอกนะ” ซินเหลียนถือวิสาสะแย่งแผ่นชาร์ตในมือมา พร้อมกับใช้สองมือดันหลังหลินจื่อเยว่ให้ออกจากห้องทดลองไปพักผ่อน ทว่ายังไม่ทันที่ร่างบางจะได้ขยับไปทางไหน พลันเสียงที่คล้ายกับกระแสไฟฟ้าชอร์ตก็ดังขึ้น เรียกสายตาของสองสาวให้หันไปมองทางเดียวกัน ทว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวเสียงระเบิดก็ดังขึ้น ตู้ม!!!! แรงระเบิดรุนแรงจนพังครืนไปทั้งชั้น กลุ่มควันที่ขาวพวยพุ่งออกมาเป็นที่น่าตระหนกของประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก นัยน์ตาคู่สวยของหลินจื่อเยว่เบิกโพลงมองเห็นประกายไฟที่พวยพุ่งออกมา พร้อมกับร่างเธอที่ค่อย ๆ กระเด็นออกไปจากแรงอัดของระเบิด ก่อนที่ภาพทุกอย่างในครรลองสายตาจะกลายเป็นสีดำมืดสนิทไปเสีย พร้อมกับสติของเธอที่ค่อย ๆ ดับลง... หุบเขาเทวะเท้าเรียวเล็กค่อย ๆ ย่องออกจากเรือนไม้ช้า ๆ เหยียบย่างไปบนพื้นไม้ด้วยความเบาหวิว ทว่าขณะที่กำลังย่างเหยียบไปอีกก้าวก็พลันชะงักค้างเอาไว้ พลางหันไปมองด้านหลังเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยเรียกขึ้น
“น้องสิบ นั่นเจ้าจะไปที่ใดกัน เหตุใดต้องทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้” บุรุษในอาภรณ์สีขาวสะอาดนามว่า ‘เจินเฉียง’ เอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่ห้า~ ศิษย์พี่อย่าเสียงดังไปสิเจ้าคะ เดี๋ยวศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ยินเข้าพอดี” “แล้วเหตุใดต้องกลัวศิษย์พี่ใหญ่รู้ด้วยเล่า เจ้าเด็กคนนี้แปลกคนจริง” เจินเฉียงส่ายหน้าน้อย ๆ เมื่อไม่เข้าใจในปฏิกิริยาของศิษย์น้อง ซึ่งเป็นสตรีเพียงคนเดียวในบรรดาศิษย์ทั้งหมด “แหะ ข้าสัญญากับศิษย์พี่ใหญ่เอาไว้ว่า ห้าวันนี้ข้าจะมิออกไปข้างนอก เป็นตายเช่นไรก็จะไม่ออกไป แต่ศิษย์พี่ห้าท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ จะมีชาวบ้านอีกกี่สิบคนที่กำลังป่วยรอการรักษา ศิษย์พี่ห้าก็รู้ว่าชาวบ้านหลายคนมิได้มีเงินมากมายพอจะซื้อยา หวังพึ่งหมอเช่นเราเข้าช่วยเหลือ หากหนึ่งวันมีคนป่วยสามคน ห้าวันจะมิกลายเป็นสิบห้าคนเลยหรือ” หญิงสาวพยายามงัดทุกอย่างหวังจะโน้มน้าวใจศิษย์พี่ห้าของนาง สุดท้ายก็ใช้จังหวะที่เจินเฉียงครุ่นคิดตามวิ่งออกไปจากเรือนอย่างรวดเร็ว “น้องสิบ เจ้า...” เจินเฉียงกว่าจะรู้ตัว น้องสิบของเขาก็วิ่งออกนอกสำนักไปแล้ว หลินจื่อเยว่เมื่อวิ่งพ้นออกมาจากประตูใหญ่ก็หันไปมองด้านหลัง สำนักหมอเทวดาแห่งหุบเขาเทวะ เป็นบ้านหลังแรกของนางเลยก็ว่าได้ นางคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ หมายจะใช้โอกาสนี้ท่องยุทธภพไปเรื่อย ๆ และใช้วิชาความรู้ด้านการแพทย์และยาสมุนไพรที่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านอาจารย์มาใช้รักษาคนไข้ โดยไม่รู้เลยว่าครั้งนี้นางจะมิอาจหวนคืนสำนักหมอเทวดาแห่งหุบเขาเทวะได้อีกแล้ว ‘สวีไห่’ ศิษย์คนโตของสำนักในอาภรณ์ขาวสะอาดยืนมองร่างเล็กเดินออกไปช้า ๆ จนลับตาก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา ‘สวรรค์ลิขิต ทุกชีวิตมิอาจฝืนชะตา จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่’ สวีไห่ยกมือซ้ายขึ้นไพล่ด้านหลังแล้วเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปเงียบ ๆ รู้ดีว่าที่หลินจื่อเยว่ให้คำมั่น นางมิอาจกระทำได้ เพราะตั้งแต่เรียนรู้จนจบครบทุกตำราศาสตร์หมอเทวดาแล้ว หลินจื่อเยว่ก็มีความมุ่งหมายที่แรงกล้าในการช่วยเหลือชาวบ้านให้หายจากอาการป่วยไข้ หลินจื่อเยว่จำความได้นางก็เป็นศิษย์น้องสิบของสำนักหมอเทวดาแห่งนี้แล้ว มีพี่ชายทั้งเก้าคนและท่านอาจารย์คอยเลี้ยงดูและดูแลมาเป็นอย่างดี เมื่อเติบโตขึ้นศิษย์พี่ใหญ่ก็คอยสอนหนังสือให้นาง รวมถึงท่านอาจารย์ก็ถ่ายทอดวิชาการแพทย์ หญิงสาวฝึกฝนทุกด้านจนแตกฉาน รวมไปถึงการฝึกยุทธ์ เพียงไม่กี่ขวบปีจากเด็กน้อยก็กลายเป็นสาวน้อยใบหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คอยตามท่านอาจารย์ไปรักษาคนไข้ จนสิบปีให้หลังท่านอาจารย์ของนางก็มิได้ลงจากเขาอีกเลย ด้วยเพราะชราวัยมากขึ้นนั้นเอง แม้นจะมีวรยุทธ์ กระนั้นหลินจื่อเยว่ไม่เคยคิดใช้มันเลย นางเดินลงเขาไปเรื่อย ๆ เหมือนเช่นทุกครั้งที่ออกมา ทว่าวันนี้กลับมีบางอย่างแปลกไป นางสัมผัสได้ว่าป่าในวันนี้เงียบผิดปกติ สายตาคู่สวยหันมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังชมนกชมไม้ และเพราะถูกฝึกมาอย่างดี นางจึงได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินอยู่อีกด้าน ราวกับเสียงเท้านั้นเดินขนาบไปกับนาง มือเรียวกระชับถุงผ้าที่คล้องติดตัวมาไว้ เดินไปตามเส้นทางโดยไม่เผยพิรุธใดทั้งสิ้นเรื่องราวจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ ถูกบอกเล่าให้กับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนได้ฟังในค่ำคืนที่พวกเขาจัดงานฉลองต้อนรับหลานคนแรกของสำนักเจินเฉียงลุกมานั่งข้างเซี่ยวจวินพลางยกมือขึ้นตบไหล่เขาปุ ๆ อย่างเห็นใจ “น้องเขย ศิษย์น้องข้าผู้นี้นิสัยห่างไกลความเป็นสตรีปกติ ข้าเล่าเห็นใจเจ้าเสียจริง”“ใช่ ๆ พวกข้าเองก็เห็นใจเจ้า”“ศิษย์พี่ทั้งหลายรักข้าเสียจริง พากันเห็นใจบุรุษด้วยกัน ไยมิเห็นใจข้าบ้างเล่าที่มีสามีโดยที่ตอนนั้นมิรู้ว่าเขาชื่อเสียงเรียงนามอันใด”บุรุษทั้งเก้าคนพากันส่ายหน้าให้ เพราะไม่ได้รู้สึกเห็นใจสตรีเช่นศิษย์น้องเล็กอย่างที่นางเรียกร้องเลยแม้แต่น้อย“พวกท่านมิต้องเห็นใจข้าก็ได้ เพราะข้ายินยอมนางเอง มิได้ขัดขืนยามนางลุกขึ้นมาปลุกปล้ำข้า...”เพียะฝ่ามือเรียวฟาดลงบนต้นแขนแกร่งของสามีมิคิดถนอมแรง ใจจริงอยากจะแทรกกำลังภายในเข้าไปด้วยเสียด้วยซ้ำ ที่นำเรื่องน่าอายเช่นนี้ออกมาบอกเล่า ก่อนที่หลินจื่อเยว่จะหนีอุ้มเอาหลินเสวี่ยอี้เข้าไปนอนเสีย ปล่อยให้บรรดาบุรุษได้นั่ง
เทศกาลหยวนเซียวครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่พากันออกมาชมโคมไฟกันยังจัตุรัสกลางเมืองหลวง โคมไฟกระดาษที่ถูกบรรจงเขียนภาพหรือคำกลอนขึ้นลอยไปบนฟ้ายามค่ำคืน จนทั่วนภาสว่างโร่มิต่างจากกลางวันมากมายนักเซี่ยวจวินพาหลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้มาหยุดยืนกลางสะพาน ในมือมีโคมไฟที่เป็นรูปครอบครัวนกพิราบเผือกสีขาวนวลสามตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้“นกพิราบเป็นตัวแทนสันติภาพ” หลินจื่อเยว่เอ่ยขึ้นขณะทอดมองสายตาไปยังโคมไฟของพวกเขาที่ค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น“ไม่ผิด หากแต่นกพิราบสามตัวนี้กำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ตัวผู้และตัวเมียกระพือปีกป้องลูกน้อย ข้ามองมันแทนตัวพวกเรา มีข้า มีเจ้า มีเสวี่ยอี้โผบินไปบนท้องนภาอย่างอิสระนับจากนี้”“โหราจารย์เอกแห่งวังหลวงมีคารมคมคายเช่นนี้เลยหรือ มิน่าทำให้องค์หญิงหลงใหลได้ถึงเพียงนั้น”หลินจื่อเยว่เอ่ยแซว กว่าเรื่องราวขององค์หญิงหลี่หรงเอ๋อร์จะจบลง นางแทบจะกลายร่างเป็นนางมารวันละสิบครั้ง ทว่าได้ฮ่องเต้หลี่เซียนและองค์รัชทายาทช่วยปรามจนนางถอดใจไป ก่อนจะถูกส่งตัวไปอภิเษกกับองค์ชายต่างแคว้นเพื่อเชื่อมสัมพันธ์สตรีด้วยกันม
เซี่ยวจวินอุ้มพาภรรยามาวางบนเตียงก่อนจะตามขึ้นไปคร่อมร่างเล็กเอาไว้ สายตาคู่คมไล่มองสำรวจเรือนร่างงดงามขาวผ่องไปทุกส่วนก่อนจะจับปลายเท้าเรียวขึ้นมาแล้วจรดจุมพิตไปบนหลังเท้าขาวสะอาดแผ่วเบา ยิ่งทำให้หัวใจของหลินจื่อเยว่เต้นรัวแรงหนักกว่าเดิม แม้นจะอยากดึงเท้ากลับ ทว่าก็มิอาจทำได้ เนื่องจากเซี่ยวจวินมิยอมปล่อยริมฝีปากหยักไล่พรมจูบขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้า ท่อนขา จนมาถึงต้นขาด้านใน เซี่ยวจวินขบเม้มมันเบา ๆ จนเกิดรอยสีกุหลาบ เซี่ยวจวินผละใบหน้าออกมาแล้วสบมองดวงตาคู่สวยครู่หนึ่ง จังหวะเดียวกันก็สอดก้านนิ้วแกร่งยาวเรียวชำแรกแทรกเข้าไปในกลีบผงางาม เรียกเสียงครางหวานจากคนตัวเล็กได้เป็นอย่างดีเซี่ยวจวินมิได้หยุดเพียงเท่านั้น ยังคงโน้มลงไปตวัดดูดดึงยอดปทุมสีหวานราวกับมันเป็นของหวานเลิศรสจากสวรรค์ก็ไม่ปาน“ภรรยาข้างดงามและหอมหวานเสียจริง”“อึก ท่านพี่”ความร้อนในกายแล่นปลาบไปทั่วเรือนร่าง ยิ่งยามที่ลิ้นของสามีดูดึงยอดปทุม คล้ายกับความร้อนยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจนกายบางบิดเร่าไปมา ยิ่งก้านนิ้วที่สอดแทรกเข้าไปภายในกายขยับเข้าออกในจังหวะท
วันต่อมาเซี่ยวจวินเดินทางเข้าวังตั้งแต่ช่วงเช้าพร้อมด้วยหลินจื่อเยว่ หากแต่วันนี้บุตรชายมิได้มาด้วย เพราะเจ้าตัวอยากไปเที่ยวตลาดกับท่านป้าอาเยียนหลังจากได้เผยความรู้สึกของกันและกันให้ได้รับรู้ และทำการแยกห้องนอนกับหลินเสวี่ยอี้ ทั้งสองก็ช่วยกันทำงาน ให้คำปรึกษากันและกันในทุกเรื่อง แม้ว่าเซี่ยวจวินจะยกอำนาจการตัดสินใจเรื่องภายในจวนให้กับหลินจื่อเยว่ ทว่านางก็ยังถามไถ่จากพ่อบ้าน ด้วยว่าที่ผ่านเขาเป็นคนดูแลจวนนี้มาตลอดเมื่อเข้ามาถึงวังหลวงทั้งเซี่ยวจวินและหลินจื่อเยว่ก็ตรงไปยังตำหนักหลงเสวียนทันที เหิงกงกงยังคงต้อนรับทั้งสองด้วยใบหน้าแย้มยิ้มปรีดา เพราะนับจากวันที่หลินจื่อเยว่แนะนำให้หลี่เซียนแช่น้ำสมุนไพรเพื่อขับพิษ ดูเหมือนหลี่เซียนก็ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น“เซี่ยวจวินหรือ มา ๆ เข้ามา” เสียงของหลี่เซียนดูสดใสขึ้น“เซี่ยวจวินถวายพระพรฝ่าบาท”“จื่อเยว่ถวายพระพรฝ่าบาท”ทั้งสองเอ่ยขึ้นพลางยอบกาบย่อตัวลงคารวะตามพิธีการ“นั่งเถอะ”“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท&rdqu
เซี่ยวจวินตั้งใจมอบหมายงานให้กับคนอื่นดูแลต่อจากนี้ แน่นอนว่านอกจากเขาและจางหมิ่นแล้วยังมีโหราจารย์อีกท่านที่เชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา และพยากรณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ขณะที่เซี่ยวจวินเข้าไปจัดการงานที่เหลือเพื่อมอบหมายให้คนอื่นหลังจากนี้ หลินจื่อเยว่และหลินเสวี่ยอี้ก็พากันเดินชมสวนใกล้ ๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณเรียกรอยยิ้มจากใบหน้างามได้เป็นอย่างดี นางยืนมองบุตรชายวิ่งไล่จับผีเสื้อที่เข้ามาดูดน้ำหวานจากเกสรทว่าขณะเดียวกันนั้นกลับก็ปรากฏสตรีในอาภรณ์งามสง่าบ่งบอกว่านางเป็นสตรีสูงศักดิ์เดินเข้ามา หลินจื่อเยว่จึงทำเพียงดึงบุตรชายให้หลบทาง แล้วก้มหน้าก้มตาลง“วังหลวงหาใช่สถานที่ที่ใครจะเข้าออกได้ มิทราบว่าแม่นางคือผู้ใดกัน เปิ่นกงมิเคยเห็นหน้ามาก่อน”หลี่หรงเอ๋อร์ทราบจากนางกำนัลว่าเจอเซี่ยวจวินเข้ามาในวังหลวง จึงเร่งแต่งกายแล้วรีบมาหา กระทั่งมาเจอหนึ่งเด็กหนึ่งสตรีแปลกหน้า“องค์หญิง”เสียงทุ้มของเซี่ยวจวินดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้หลี่หรงเอ๋อร์ซึ่งกำลังไม่พอใจที่นางถามหลินจื่อเยว่แต่กลับไม่ได้คำตอบ
เวลาผ่านไปค่อนคืนจนดึกสงัดแล้ว ทว่าร่างสูงที่นอนอยู่บนตั่งเตียงยังคงพลิกกายไปมาสลับซ้ายขวา จนสุดท้ายต้องผุดลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนหายใจออกมาแรง ๆ เฮือกหนึ่ง เซี่ยวจวินผุดลุกขึ้นแล้วเปิดประตูเพื่อออกไปข้างนอก ภายในจวนยามนี้เงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมยามราตรีที่พัดโบกต้นไม้ใบหน้าให้เสียดสีกันไปมา เท้าแกร่งเดินไปหยุดอยู่หน้าเรือนหมิงเยว่ แล้วถอนหายใจออกมาอีกรอบ ขณะที่ตั้งท่าจะหันหลังกลับ ประตูเรือนหมิงเยว่ก็ถูกเปิดออกมา“เซี่ยวจวิน เป็นท่านหรือ” หลินจื่อเยว่ซึ่งตื่นมาดูบุตรชายก็หลับไม่ลงอีก จึงตั้งใจว่าจะออกมาเดินเล่น แต่ไม่คิดว่าจะเจอใครอีกคนยืนอยู่“เป็นข้าเอง เจ้าออกมาทำไมกัน”“ข้าสิต้องถามท่าน ท่านมายืนตรงนี้ทำไม” หลินจื่อเยว่เดินเข้ามาหยุดยืนใกล้ ๆ“ข้า... เอ่อ... ข้าเพียงแค่... เฮ้อ ข้านอนไม่หลับ ก่อนหน้านี้บนรถม้ามีเจ้ากับเสวี่ยอี้นอนด้วยตลอด พอต้องกลับมานอนคนเดียวข้าเลยไม่ชิน”“...”“ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่”เซี่ยวจวินเอ่ยถามออกไปตรง ๆ และกว่าหลิ
Comments