หูเล็กแหลม หน้าเล็กจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู จมูกกลมๆ บ้องแบ๊ว ดูงุนงงราวกับยังตั้งสติไม่ทัน หัวเล็กๆ เอียงนิดๆ อย่างสงสัย ดูเหมือนว่ามันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ‘นางเป็นใครกันแน่’ ดวงตาคู่นั้น หนึ่งทอง หนึ่งเงิน กำลังจ้องดวงตาสีม่วงของหลินเยว่ซินอย่างไม่กะพริบ เต็มไปด้วยความใคร่รู้และความสงสัยปะปนกัน
“ขะ ขะ ข้า ข้าจะรู้ได้ยังไงเล่า! นี่มันเกี้ยวของเจ้า ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย! ใครจะไปรู้ว่า นอกจากจื่อจู่น้อยแล้ว เจ้ายังเลี้ยงอะไรแปลกๆ อีกหรือไม่!” บนโต๊ะด้านข้าง กินเลนน้อยตัวม่วงที่กำลังกอดขนมถั่วแดงไว้ในอุ้งเท้าทั้งสองข้าง โดนลูกหลงเข้าไปเต็มๆ โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มันหันขวับมา จ้องนางเขม็งด้วยดวง
ในมือที่กำลังถือปิ่นทองอยู่ถึงกับสั่นจนเครื่องประดับสั่นไหวไปทั้งชิ้น หลินเยว่ซินมองนางผ่านกระจกเงา ก่อนจะกระตุกมุมปากอย่างอดรนทนไม่ได้ “เสี่ยวถิง เจ้าจะให้ข้าสวมเครื่องในตู้ทั้งหมดเลยไหม เอามาหมดเลยก็ได้ จะได้ไม่ต้องเลือกแล้ว!” เสี่ยวถิงถึงกับหน้าเจื่อน ในมือนางยังถือปิ่นทองอยู่ ทำท่าทางจะลองปั
สีหน้าเหม่อๆ มึนงงของนาง ทำเอาเขาถอนหายใจออกมายาวเหยียด รู้สึกจนปัญญาจะพูดอะไรต่อ ได้แต่เอ่ยถามซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงปลงใจ “เมื่อครู่ เจ้ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่” “อ๋อ~ ไม่มีอะไรหรอก~” หลินเยว่ซินยิ้มกว้างอย่างไม่มีพิรุธ “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหายไปตั้งแต่เมื่อไร แต่เอาเถอะ อย่างน้อย ผลลัพธ
หนานกงเยี่ยนหลัวโดนด่าจนเงียบไปชั่วครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะมองนางด้วยสายตาไม่กะพริบ “ก็เจ้าเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือ?” แววตาสีแดงชาดของเขาจับจ้องอยู่ที่นางราวกับจะอ่านทุกอารมณ์ ทุกคำโกหกในดวงตาคู่นั้นให้ทะลุ คำพูดจริงจังของเขาทำเอานางเดือดปุด “เจ้านี่มันหมูหรือเปล่า ข้าพูดอะไรเจ้าก็เชื่อหมดเ
นางนิ่งค้างไปชั่วขณะ รู้สึกเพียงไอร้อนบางเบาไหลซึมจากปลายจมูก เพียงพริบตาเดียว ใบหน้างดงามก็ระเรื่อแดง ก่อนจะซีดเผือดลงราวสูญสิ้นโลหิต นางเบิกตารีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากอกเสื้อ กดแนบจมูกอย่างร้อนรนทั้งตกใจ ทั้งอับอาย มือหนึ่งสั่นไหวเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลยิ่งไปกว่านี้ เขายืนม