"อย่าทำหน้าเครียดสิใบชาป้าบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร" ป้าแก้วเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของเธอ
"ใบชาผิดเองที่ปล่อยให้ป้าแก้วลำบากจนลื่นล้มแบบนั้น"
"บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวป้าเองก็แก่แล้วไม่เจียมตัวเอง แค่อยากไปเก็บผักมาทำกับข้าวเท่านั้นเอง" ทั้งห้องยังตกอยู่ในความเงียบเมื่อป้าแก้วเอ่ยจบ
"อย่าโทษตัวเองกันเลยครับ หมอบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไรมาก" หมอกเอ่ยแทรกขึ้นเมื่อทั้งสองคนต่างรู้สึกผิดเอาแต่โทษตัวเอง "เพียงแต่ช่วงนี้ป้าอาจต้องงดเดินงดออกแรงหน่อยครับ" อวัศย์แนะนำง่ายๆ ให้คนมีอายุเข้าใจ
"ถ้าอย่างนั้นป้าแก้วกลับไปบ้านก่อนก็ได้ค่ะ อยู่ที่บ้านยังให้กิ๊ฟดูแลได้" ปภาวรินทร์หมายถึงหลานสาวของป้าแก้วที่กำลังเรียนอยู่ ถึงอย่างนั้นก็โตพอจะดูแลผู้เป็นยายได้แล้ว
"แล้วใบข้าวล่ะใครจะดู ใบชาอีกทำงานไม่เป็นเวลาป้าเป็นห่วง" คนสูงอายุยังไม่วายเป็นห่วงคนที่รักเสมือนลูกหลาน
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะป้าแก้ว ช่วงนี้ชาสอนออนไลน์มีเวลาดูใบข้าวได้ ป้าแก้วดูแลเราสองคนมานานแล้ว ถึงเวลาแบบนี้จะให้ป้ามาดูแลอีกชาคงจะไม่สบายใจ" ปภาวรินทร์เอ่ยเสียงเครียดน้ำตาคลอ ถึงแม้ว่าคนที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียงจะไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด แต่ผูกพันทางใจจนเปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ป้าแก้วเห็นใบชามาตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากอาศัยอยู่ข้างบ้านกัน ส่วนใบข้าวไม่ต้องพูดถึงเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ย่อมมีความรักความผูกพันไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็มีครอบครัวจริงๆ อยู่ และลูกสาวก็คงไม่สบายใจนักที่มาดูแลเธอกับใบข้าวจนได้รับบาดเจ็บ
"ป้าอยู่ได้จริงๆ"
"ถือว่าชาขอนะคะป้าแก้ว เอาไว้หายดีเมื่อไหร่ชาจะไปรับป้าแก้วมาอยู่ด้วยนะคะ" ใบชาเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังแกมขอร้อง
"แบบนั้นก็ได้ ถ้าอย่างนั้นออกจากโรงพยาบาลเลยก็ได้ ป้าจะได้ไปเก็บของ"
"ยังไม่ต้องหรอกค่ะ ป้าแก้วนอนพักก่อนให้หมอดูอาการเอกซเรย์ให้เรียบร้อยก่อน" ปภาวรินทร์เอ่ยค้าน
"ไม่เอาหรอก ค่าใช้จ่ายก็แพง ป้ากลับไปนอนที่บ้านดีกว่า"
"ไม่เอาสิคะป้าแก้ว แค่นี้เองชาจ่ายได้ นอนพักอีกสักคืนสองคืนนะคะ ชาขอร้อง"
"แต่..."
"นอนพักก่อนดีกว่าครับป้าแก้ว จะได้มั่นใจว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาทีหลังจะหนักกว่านี้นะครับ ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูง" เมื่อจับจุดได้ว่าผู้ป่วยกังวลอะไรจึงอธิบายต่อ "อีกอย่างในส่วนค่าใช้จ่ายตรงนี้ผมเบิกจากโรงพยาบาลช่วยได้ครับ" ปภาวรินทร์หันขวับมองเขาทันที ทำท่าจะเอ่ยแย้งแต่ก็ต้องเงียบไปเมื่อคนตัวสูงส่งสายตาเป็นนัยว่าให้เงียบเขาจะจัดการเอง
"ใช่ค่ะ ค่าใช้จ่ายคุณหมอกจะช่วยเองป้าแก้วไม่ต้องห่วง" เมื่อเห็นทั้งสองคนยืนยันแบบนั้นเธอจึงได้แต่พยักหน้าจำยอมแต่ก็ยังไม่วายต่อรอง
"แต่แค่คืนเดียวนะใบชาคุณหมอ"
"ค่ะ คืนเดียวก็คืนเดียว"
"พระพายส่งข้อความมาว่ารับทั้งพระแพงและใบข้าวจากโรงเรียนแล้ว" อวัศย์เงยหน้าจากหน้าจอโทรศัพท์เอ่ยปากบอกคนที่นั่งหน้าเครียดอยู่
"ขอบคุณมากนะคะทั้งเรื่องที่พาป้าแก้วมาโรงพยาบาลไหนจะเรื่องที่ไปรับใบข้าวให้อีก"
"จะขอบคุณทำไมเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วใครเห็นแบบนั้นก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว" หลังจากที่น้องสาววิ่งเข้ามาบอกถึงอุบัติเหตุของคุณป้าข้างบ้าน ทั้งสองจึงรีบวิ่งไปดูอาการทันที ด้วยอาชีพหมอของอวัศย์ทำให้รีบเข้าไปดูแลผู้ประสบเหตุอีกทั้งจัดท่าทางระหว่างรอรถพยาบาลได้อย่างถูกต้อง เมื่อรถพยาบาลไม่ถึงก็ทำการย้ายผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ต้องยอมรับว่าโชคดีจริงๆ ที่วันนี้มีเขา... ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้จะทำให้เธอทั้งใจเต้นและตกใจไม่น้อย แต่พอเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ทั้งคู่ก็เหมือนจะแกล้งทำลืมมันไป
"เรื่องเมื่อกี้ที่เรา..."
หรือเป็นแค่เธอนะที่แกล้งลืม!
"คุณยังจะมาพูดถึงเรื่องนั้นอีกรึไงเกิดเรื่องขนาดนี้" ปภาวรินทร์ตวาดแหวทันทีเมื่อเขาเริ่มเอ่ยขึ้น
"ผมหมายถึงที่เราคุยกันเรื่องใบข้าวว่าช่วงนี้จะให้พระพายช่วยดูก่อน ทั้งไปรับไปส่งที่โรงเรียน"
"อ้อ.."
"หรือคุณคิดถึงเรื่องไหนอยู่ หืม?" อวัศย์กระซิบตอบกลับเสียงแผ่วเบาข้างหู "อ้อ หรือหมายถึงที่เราจูบ..."
"ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการเรื่องใบข้าวเอง" เธอเบือนหน้าหนีเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง "แค่เรื่องวันนี้ก็รบกวนคุณมามากพอแล้ว ที่เหลือฉันจัดการเองค่ะ"
"จัดการยังไงคุณก็ยังต้องทำงานฝากไว้กับพระพายไม่ดีกว่ารึไง เด็กๆ ก็มีเพื่อนเล่น อีกอย่างใบข้าวก็เป็นลูก.."
"ไม่ใช่ค่ะ!" ใบชาแทรกขึ้นทันทีก่อนที่เขาจะพูดจบ "คุณอย่ามาพูดมั่วๆ ฉันเคยบอกแล้วว่าใบข้าวไม่ใช่ลูกคุณ" อวัศย์จ้องมองคนข้างๆ นิ่ง หัวคิ้วย่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อครุ่นคิด
"โอเคๆ เอาเป็นว่าเรื่องอื่นค่อยว่ากันตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องใบข้าวก่อน ช่วงนี้คุณสอนออนไลน์ใช่ไหม"
"ค่ะ"
"โอเควันที่คุณสอนออนไลน์ใบข้าวก็อยู่กับคุณปกติ ส่วนวันไหนเข้าโรงเรียนก็ฝากไว้ที่พาย ตอนไปกลับโรงเรียนก็ไปพร้อมกัน ไหนๆ ก็ทางเดียวกันอยู่แล้ว"
"แต่ฉันว่า..."
"อย่าแต่เลยคุณ ยังไงเราก็เป็น..เพื่อนกัน" อวัศย์พยายามหาเหตุผลมาอธิบาย "อีกอย่างคุณก็มาสอนพายทำอาหารเป็นการตอบแทนก็ได้นี่" เมื่อเห็นว่าเธอเริ่มใจอ่อนก็รีบโน้มน้าวเข้าไปอีก
"ฉันเกรงใจ" ใบชาเอ่ยเสียงเบาน้ำเสียงหนักอกหนักใจ
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกคุณ พระพายวันๆ อยู่แต่บ้านถ้ามีคุณไปอยู่ด้วยก็เหมือนได้มีเพื่อน"
"ถ้าแบบนั้น...ก็ได้ค่ะ" ปภาวรินทร์ยอมตกลงเมื่อคิดทบทวนหลายๆ อย่าง
"ถ้างั้นก็ไปครับกลับบ้านกันดีกว่า" อวัศย์จุดยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ ในหัวคิดถึงข้าวของภายในบ้านที่ดูเหมือนจะขาดอะไรไปหลายๆ อย่างหากต้องย้ายเข้าไปอยู่จริงๆ โดยปกติของในบ้านจะเป็นเพียงของใช้ที่จำเป็นเท่านั้นยามกลับมาค้าง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะต้องดูๆ พวกเฟอร์นิเจอร์และของใช้อย่างอื่นเพิ่มขึ้นแล้วหากต้องย้ายกลับไปอยู่
"หืม ใกล้ถึงแล้วเหรอหมอก" ปภาวรินทร์เปิดกระจกมองทิวทัศน์ด้านนอกที่คุ้นตา ภาพใบชาที่เรียงรายสุดลูกหูลูกตาทำให้เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ภาพบรรยากาศตอนที่เคยอยู่ที่แห่งนี้วนกลับเข้ามาในความคิดคิดถึงยาย คิดถึงพี่ใบบัวตอนนี้ทั้งสองคนก็คงได้เจอกันแล้ว และคงมองเธออยู่บนฟ้า ใบชาเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้างที่สดใส ส่งยิ้มให้คนที่มองลงมาตอนนี้ชามีความสุขมากเลยยาย แล้วก็พี่บัว...ตอนนี้คนที่ชารักเขาอยู่ข้างๆ แล้วนะ ยินดีกับชาด้วยนะ"นอนต่อก่อนก็ได้ อีกสักพักอยู่เหมือนกัน เห็นลมบอกว่ากำลังปรับปรุงทางเข้าหลัก หมอกเลยอ้อมไปอีกทาง" อวัศย์เอ่ยบอกแฟนสาว ก่อนจะเอื้อมมือมากอบกุมมือเล็กปภาวรินทร์ปิดหน้าต่างรถก่อนจะเอนตัวลงซบไหล่คนข้างๆ สูดความหอมจากกลิ่นกายคนร่างสูง"เปี๊ยกหื่น" "หมอก!" เธอเงยหน้าแหวเขาทันที ทุบไหล่กว้างไปสองสามที"ฮ่าๆๆ น่ารักออกยัยเปี๊ยก" ตั้งแต่เขารู้เรื่องวันนั้น สรรพนามใหม่ของเธอก็คือยัยเปี๊ยก ซึ่งเธอเพียรปฏิเสธยังไง เขาก็ดึงดันจะเรียกชื่อนี้ จนสุดท้ายเธอได้แต่เลิกบ่น ยอมๆ ให้เขาเรียก เอาตามที่เขาสบายใจ"ขอโทษนะหมอก ชาไม่ได้อยู่คุยด้วยเลย" เรียกได้ว่าเธอหลับตั้งแต่ยังไม่ครึ่งทางก็ว่าได้วั
"หมอก" ใบชาเอ่ยเรียกคนรักเมื่อเห็นเขาแน่นิ่งไป หลังจากเล่าให้เขาฟังถึงที่มารูปพวกนี้ "หมอกเป็นอะไรรึเปล่า" เขาละสายตาจากรูปภาพที่วางเรียงกันอยู่ เงยหน้าสบตาเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"ใบชา...""หมอกโกรธเหรอ" ปภาวรินทร์ถามอย่างไม่แน่ใจ กลัวเขาจะโกรธที่ปิดบังมาตลอด เขาไม่ตอบแต่ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน เขาโอบกอดเธออย่างแนบแน่น เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปโอบกอดแผ่นหลังของชายหนุ่มลูบขึ้นลงอย่างแผ่วเบา"หมอกขอโทษนะชา..ขอโทษจริงๆ" เสียงเขาสั่นเครือ เอ่ยขอโทษซ้ำไปซ้ำมาอย่างรู้สึกผิด"อะไรกันหมอก เป็นอะไร?" ใบชามึนงง ทำท่าจะผละตัวเขาออก แต่คนร่างสูงไม่ยอม ยังคงโอบกอดเธออย่างแนบแน่น"ขอโทษนะ ที่ลืมชา ขอโทษที่ปล่อยให้ชาต้องยืนมองตรงนั้นอยู่คนเดียว""เฮ้ยหมอก! อย่าพูดแบบนั้นสิ ไม่เกี่ยวกันเลย ชาไม่ได้เป็นอะไร" ยิ่งได้รับคำปลอบโยนว่าไม่เป็นไร ความรู้สึกผิดในใจก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น"ทำไมล่ะชา ทำไมไม่มาหาหมอก" อวัศย์ยังคงเสียงสั่นอย่างไม่เข้าใจ ในเมื่อเราอยู่ห่างกันแค่นั้นแท้ๆ เราอยู่ในไร่ชาเดียวกันแท้ๆ แต่เธอกับเขากลับไม่มีโอกาสได้เจอกันชื่อใบชา ใกล้ตัวจริงๆ ด้วย"ก็ยายบอกไม่ให้ทัก ไม่อยาก
"หมอก" ใบชาเอ่ยเรียกคนรักเมื่อเห็นเขายืนนิ่งอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า ในขณะที่เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างงุนงงว่าทำไมเรียกแล้วเขาไม่ตอบ เมื่อเธอเดินเข้าไปถึงตัวเขาเห็นคนตัวสูงก้มมองสิ่งของในมือก็เบิกตากว้างตกใจ เอื้อมมือไปคว้าสิ่งที่อยู่ในมือคนรักทันที "ดูอะไร!""นี่มันอะไรอะชา หมอกงงไปหมดแล้ว" เขาชูรูปใบสุดท้ายที่เธอดึงไปไม่หมด โชว์ให้คนรักดู ประมวลผลความคิด ถึงประโยคในรูปนั้น"ไม่มีอะไร.." รู้ว่าเป็นประโยคที่โง่มากแต่ใบชาก็เลือกตอบแบบนั้น ก็ไม่รู้จะตอบเขายังไง"ทำไมชามีรูปหมอกเต็มไปหมดเลย" เขาเปิดประเด็นถาม ขมวดคิ้วมึนงงปภาวรินทร์ถอนหายใจยาวในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วเธอจึงตัดสินใจจะทบทวนความจำให้เขา หญิงสาวเดินไปกุมมือคนรักมานั่งที่ปลายเตียง กางรูปทั้งหมดออกให้เขาดู"อย่างที่หมอกเห็นเลย ชารู้จักหมอกมานานมากแล้ว""ได้ไง.." เขาตอบกลับเหมือนคนละเมอ ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ใบชาหัวเราะน้อยๆ กับท่าทางของเขา "ไม่ต้องมาหัวเราะเลยชา เรื่องมันยังไงกันแน่" อวัศย์ท้วงเสียงเข้ม"หมอกจำชาไม่ได้จริงๆ เหรอ" ใบชาจ้องมองสบตาคนรักนิ่ง ในขณะที่อวัศย์เพ่งมองใบหน้าเธออย่างครุ่นคิด "ยัยเปี๊ยกไง" เมื่อเธอพูดจบเขานิ
"เดจาวู เดจาวูชัดๆ" "อะไรเฮีย บ่นอะไร" เหนือนทีถามพี่ชายเมื่อเขาบ่นพึมพำอะไรสักอย่าง "ก็นี่ไง ทำไมกูรู้สึกเหมือนเดจาวูเลยที่ต้องพามึงกับเฮียมานั่งเฝ้าเมียนี่ไง""แต่คราวนี้ก็มีเมียเฮียด้วยไม่ใช่รึไง""จะบ่นทำไม มึงกลับไปก็ได้นะปล่อยให้ซอลอยู่นี่แหละ ใครจะเข้ามาจีบก็แล้วแต่" น่านนทีบ่นน้องชาย แสร้งทำเป็นขู่ ซึ่งก็ได้ผลเมื่อน้องชายตาลุกวาวทันที"ไอ้มาเฝ้าน่ะเข้าใจ แล้วนี่เอามาด้วยทำไม" เขาเพยิดหน้าไปยังคุณหมอหนุ่มที่กำลังไถหน้าจอดูรูปแฟนสาวในโทรศัพท์อยู่ ก่อนจะเงยหน้ามองคนมีประเด็นแล้วก้มหน้าดูหน้าจอต่อไม่สนใจ"เอาหน่าเฮีย ให้หมอหมอกมาด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวถ้าสาวๆ เมาจะได้แยกรับกลับได้เลยไง" เหนือนทีออกความเห็นวันนี้เป็นวันที่ซอลจัดงานเลี้ยงสละโสดเล็กๆ ก่อนแต่งงาน ซึ่งจะมีเฉพาะคนสนิท ที่โซนวีไอพีผับนี้ และจะมีแค่สาวๆ เท่านั้น ทีแรกซอลตั้งใจจะเปิดห้องนอนที่โรงแรมข้างๆ ซึ่งหนาวนทีรีบค้านไม่เห็นด้วย และมีพลังเสียงของพี่น้องช่วยพูด วันนี้สาวๆ เลยต้องกลับไปนอนบ้านเหมือนเดิม ซึ่งเป็นโชคดีของเขา ไม่ต้องออกปากอะไร ก็มีคนพูดแทนให้แล้วความจริงเขาก็เซ็งไม่น้อยที่ต้องปล่อยให้เธอไปเที่ยวตอนกลางคืน
"นี่พวกแกพูดบ้าอะไรกันเนี่ย!" วารุณีตะโกนสุดเสียง ไม่คิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีจะกล้าเปิดตัวแบบนี้มันผิดแผนไปหมดความจริงเธอตั้งใจมาเพื่อเรียกคะแนนความสงสารแต่บทสรุปทำไมกลับกลายเป็นว่าเธอโดนแฉ และคนตรงหน้าเปิดเผยในสิ่งที่เธอไม่คิดว่าเขาจะกล้าพูด"พูดความจริงไงวา ความจริงที่พี่บอกวามาโดยตลอด แต่วาไม่เคยฟัง" ดาราสาวชี้หน้าทั้งสองคนน้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจ"พวกแกมันพวกผิดเพศ ทุเรศ คิดเหรอว่าจะมีใครให้โอกาสพวกแก""พี่ไม่รู้หรอกนะว่าใครจะให้โอกาสไหม แต่วาหมดโอกาสแล้วล่ะ" "หมายความว่าไง!!" วารุณีเงยหน้ามองคนพูดด้วยสีหน้าหวาดระแวง แววตาหวั่นวิตก"แล้วทำอะไรไว้ล่ะ" อธิปพูดจบนักข่าวหลายคนก็ฮือฮาขึ้นมาทันที เมื่ออยู่ๆ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินเข้ามา วารุณีถอยหลังผงะตกใจ"พะ.พวกแกมาทำอะไร!""ขออนุญาตนะครับ คุณชื่อวารุณีถูกต้องไหมครับ" "ทำไม!" เธอตวาดคนในเครื่องแบบเสียงดัง "อย่าเข้ามานะ!""ขอเชิญคุณวารุณีไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยครับ คุณตกเป็นผู้สงสัยในการจ้างวานฆ่าเด็กหญิงประทานพร" นับว่านี่เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่สุดในวันนี้ นักข่าวทุกสำนักยกกล้องถ่ายวิดีโอตรงหน้า ในขณะที่อีกหลายคนกรูเข้ามาเพื่อส
ปภาวรินทร์นั่งมองบรรยากาศโดยรอบในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ ส่วนมากจะเป็นนักข่าวที่นั่งจับจองพื้นที่อยู่เต็มบริเวณด้านหน้าเวทีชั่วคราวขนาดกลาง ส่วนเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่จัดไว้ให้ มีนักข่าวหลายคนสังเกตเห็นเธอ ทำท่าจะเข้ามาเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่โดนสายตาดุของคนข้างๆ ห้ามไว้ก่อน ส่วนใหญ่จึงได้แต่เมียงมองมาทางเธอ แต่ไม่กล้าเข้ามาถึงแม่อธิปจะยืนยันไปก่อนหน้าแล้วว่าใบข้าวเป็นลูกของเขา ส่วนเธอไม่ใช่แม่ แต่ก็มีกระแสด้านลบไม่น้อยที่บอกว่าเป็นเพียงข้ออ้าง เธอคือเมียน้อย เมื่อนักข่าวเห็นเหยื่ออันโอชะ ก็ไม่พลาดที่จะอยากเข้ามาทำข่าว แต่ความอยากก็ย่อมแพ้อิทธิพลของทายาทเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เมื่อคิดแล้วว่าหากมีเรื่องกับเขาคงไม่คุ้มกัน เลยเลือกที่จะล่าถอยมากกว่าจะชนเมื่อถึงเวลาที่นัดหมายพอดิบพอดี อธิปจึงก้าวออกมาจากประตูด้านหลังเวที เขากวาดสายตามองรอบๆ ก่อนจะหยุดที่เธอ ปภาวรินทร์ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินมานั่งยังพื้นที่ที่ถูกจัดไว้ให้"สวัสดีครับพี่ๆ นักข่าวทุกท่าน ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมางานแถลงข่าวของผม และก็ขอบคุณที่ทุกท่านจะใช้พื้นที่สื่อของตัวเองสื่อสาร