"คาระวะท่านผู้นำหมู่บ้านขอรับ มิทราบว่ามีธุระอันใดหรือขอรับ"
"เข้าไปคุยกันด้านในเถิด" หม่าเฉินพูดขึ้นก่อนจะเดินไปในบ้านหน้าตาเฉยโดยที่เจ้าของบ้านยังไม่ทันได้เชิญ คนที่เหลือจึงเดินตามเข้าไป "ท่านผู้นำหม่าเชิญนั่งก่อน บ้านข้าไม่มีของดีๆต้อนรับพวกท่านต้องของอภัยด้วยนะเจ้าคะ" สวี่ฟางที่เห็นแขกมาก็รีบเชิญมานั่งที่โต๊ะก่อนจะรินน้ำร้อนผสมน้ำตาลให้แขกกิน ครอบครัวหม่าได้แต่มองน้ำตาลนั้นเป็นของมีราคาหากเป็นที่บ้านของตนคงไม่นำมาผสมน้ำให้แขกดื่มเป็นแน่ "มิเป็นไรพวกข้านั้นย่อมเข้าใจ ชาวบ้านจนๆอย่างพวกเจ้าลำพังแค่หาของป่ามาขายก็แทบไม่พอประทังชีวิตจะเอาของดีๆที่ไหนมาต้อนรับพวกข้าเล่า" นางกัวเหม่ยมารดาของหม่าจางอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน "มิทราบว่าพวกท่านมาที่นี่มีธุระอันใดหรือขอรับ" เหอจงเทาพยายามไม่สนใจถ้อยคำดูหมิ่นนั่น มุ่งเข้าจุดประสงค์หลักที่คนพวกนี้มาทันทีหากไม่ใช่ว่าครั้งตอนผู้เฒ่าหม่ายังมีชีวิตอยู่เอ่ยขอหมั้นหมายบุตรเกอให้กับหลานชายของตนมีหรือเขาจะยอมให้บุตรของเขาไปยุ่งกับคนพวกนี้ หากมิใช่เห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีกับผู้เฒ่าหม่าน่าเสียดายที่เมื่อสิ้นผู้เฒ่าหม่าแล้วก็เหลือเพียงบุตรหลานที่ละโมบ "ที่ข้ามาวันนี้เพราะข้าต้องมาบอกเจ้าว่าทางบ้านหม่าต้องการถอนหมั้นบุตรเกอของเจ้า" หม่าเฉินเอ่ยบอกจุดประสงค์ที่มาทันที "ถอนหมั้น! เหตุใดถึงถอนหมั้นล่ะเจ้าคะ" สวี่ฟางกับเหอจงเทาถึงกับตกใจ "เพราะฟานเสวี่ยไม่เหมาะสมกับท่านพี่ของข้าอย่างไรเล่า" หม่าซูเหมยเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาเหยียด นางกับสหายไม่ชอบเหอฟางเสวี่ยเป็นอย่างมากเพราะสหายของนางมีใจให้กับพี่ชายของนาง หม่าซูเหมยถึงใช้ความเป็นน้องสร้างความสนิทสนมให้กับคนทั้งสองจนในที่สุดพี่ชายของนางก็ตกหลุมรักสหายของนางและยอมถอนหมั้นเจ้าเด็กเกอนี่ "พวกเจ้าคงรู้ว่าอาอี้นั้นเป็นถึงศิษย์ในสำนักศึกษาชื่อดัง อนาคตก็ต้องสอบซิ่วไฉถึงตอนนั้นพวกเจ้าคิดว่าเกอที่มาจากครอบครัวชาวบ้านจนๆยังจะคู่ควรกับบุตรชายของข้าอีกหรือ" หม่าเฉินพูดด้วยความเหย่อหยิ่ง "เหตุใดพวกท่านถึงพูดเช่นนี้ ตอนมาขอหมั้นหมายก็เป็นครอบครัวท่านมาเอ่ยขอ พอตอนนี้อยู่ๆก็มาถอนหมั้นพวกท่านก็รู้ว่าสตรีหรือเกอที่ถูกถอนหมั้นผู้นย่อมเอาไปติฉินนินทาทำเช่นนี้บุตรของข้าย่อมเสียหาย" เหอจงเทาพูดด้วยความโมโห "แล้วอย่างไร เจ้าจะให้บุตรชายของข้าแต่งงานกับบุตรของเจ้าหากต่อไปเขาได้เป็นขุนนางเขาจะเอาหน้าไว้ที่ใด อย่าเห็นแก่ตัวนักสิ" นางกัวเหม่ยพูดด้วยความไม่พอใจ "เอาละๆ เหอจงเทาอย่างไรพวกข้าก็จะถอนหมั้นยังไงเสียเจ้าก็ควรให้แก่อนาคตของบุตรชายของข้า อาอี้ยังคงก้าวหน้าอีกไกล" หม่าเฉินพูดอย่างเห็นแก่ตัว "แล้วอนาคตของลูกข้าเล่า! " เหอจงเทาโมโหจนตัวสั่น "ลูกของเจ้าเป็นเพียงเกอ อนาคตก็ต้องแต่งออกไปเจ้าจะสนใจอันใดมันนักหนา" กัวเหม่ยพูดอย่างไม่สนใจ "หากพวกท่านต้องการถอนหมั้นก็ตามใจเถิด" เหอฟานเสวี่ยที่นั่งฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น "เสวี่ยเออร์" สวี่ฟางเรียกลูกชายด้วยกลัวว่าว่าบุตรของตนจะเสียใจ "ท่านพ่อท่านแม่ ข้าไม่เป็นอันใดขอรับ ตัวข้าเองก็มิได้มีใจให้พี่จางอี้เช่นนั้นถอนหมั้นก็ย่อมดีกับตัวข้าเช่นกัน" เหอฟานเสวี่ยพูดราวกับไม่ใช่ใจ เชอะ ใครอยากหมั้นกับไอ้หน้าปลากะโห้นี่กัน เมื่อได้ยินว่าเหอฟ่นเสวี่ยไม่ได้สนใจลูกชายของตนคนบ้านหม่าก็ถึงกับหน้าม้าน ลูกชายเขาเป็นถึงบัณฑิตมีอนาคตเหตุใดเกอนี่ถึงพูดราวกับบุตรของเขาไม่มีค่าคู่ควรกับตน หม่าจางอี้เองได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจเขานึกว่าจะเหอฟานเสวี่ยจะขอร้องไม่ให้เขาถอนหมั้นเสียอีก หากเป็นเช่นใดก็จะได้ยื่นข้อเสนอแต่งเป็นภรรยารองให้ "ถ้าเสวี่ยเออร์ว่าเช่นนั้นก็ถอนหมั้นตามที่พวกท่านต้องการเถิด" เหอจงเทาเห็นบุตรของตนไม่เสียใจกับการถอนหมั้นก็รู้สึกยินดีอยู่ลึกๆ เหอะ มีคนนินทาแล้วอย่างไร ใครว่าร้ายลูกของเขาเขาก็จะด่ามันกลับเสีย ไม่มีคนมาสู่ขอแล้วอย่างไร ต่อให้ไม่ออกเรือนเขาก็จะเลี้ยงดูบุตรของเขาด้วยความรักอยู่ดี "เช่นนั้นก็เอาตามนั้น นี่หนังสือยกเลิกสัญญาหมั้นหมายเจ้าเอาไปอ่านดูเถิด อ้อ ข้าลืมไปว่าพวกเจ้าอ่านหนังสือไม่ออกเช่นนั้นข้าจะอ่านให้ฟังแล้วเจ้าค่อยลงนามยืนยันก็แล้วกัน" หม่าเฉินพูดอย่างดูถูก "ข้าอ่านเองขอรับ" เหหอฟานหนิงเอ่ยขึ้นก่อนจะเอาหนังสือยกเลิกการหมั้นหมาย ครอบครัวหม่ารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากไม่คิดว่าเหอฟานเสวี่ยจะอ่านหนังสือออก "ทุกอย่างเรียบร้อยถูกต้องขอรับ ท่านพ่อลงนามได้เลยขอรับ" เหอฟานเสวี่ยยื่นกระดาษให้บิดาตนลงนาม "ถ้าไม่มีอันใดพวกข้าก็ขอตัวกลับก่อน" หม่าเฉินเอ่ยขึ้น "พวกข้าไม่ส่งนะขอรับ" เหอฟานเสวี่ยพูดขึ้นทำให้ครอบครัวหม่ารู้สึกไม่พอใจที่ครอบครัวเหอไม่ให้เกียรติตนจึงพากันเชิดหน้าเดินออกจากเรือนไป "เจ้าไม่เสียใจจริงๆใช่ไหมเสวี่ยเออร์" เหอจงเทอถามผู้เป็นลูกด้วยความเป็นห่วง "ไม่ขอรับ เหตุใดข้าต้องเสียใจด้วยเล่าขอรับข้ามิได้ชอบคนผู้นั้นเสียหน่อย" เหอฟานเสวี่ยพูดด้วยท่าทางสบายๆทำให้เหอจงเทากับสวี่ฟางรู้สึกสบายใจขึ้น "เช่นนั้นก็ดีแล้ว พ่อต้องขอโทษที่ตอนนั้นตัดสินใจด้วยไม่ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน มาตอนนี้ทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเสื่อมเสีย" เหอจงเทาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าหากบุตรของเขาได้แต่งงานกับหม่าจางอี้จริงๆบุตรของเขาจะต้องทุกข์ใจแค่ไหน "มิเป็นไรขอรับ ข้าเข้าใจท่านพ่อ" เหอฟานเสวี่ยส่ายหน้าน้อยๆให้กับบิดา "จริงสิเสวี่ยเออร์ เจ้าอ่านหนังสือออกได้อย่างไรกัน" สวี่ฟางเอ่ยถามบุตรเกอของตน ตอนที่เห็นเหอฟานเสวี่ยหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่านเธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก บุตรของเธอรู้หนังสือได้อย่างไรกัน "คือว่าเรื่องนั้น.... "ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในบ้านที่มีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะเข้าไปนั่งข้างบิดามารดาของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั่งลงแล้วจ้าวฮูหยินก็เปิดปากพูดขึ้น”เสวี่ยเออร์ แม่ได้คุยกับบิดามารดาของเจ้าแล้ว บิดามารดาของเจ้ายินดีหากเจ้าจะหมั้นกับอาจวิน” “…..” เหอฟานเสวี่ยหันหน้าไปมองบิดามารดาของตนก็เห็นว่าทั้งคู่พยักหน้าให้“เจ้าล่ะ ยินดีจะหมั้นหมายกับจวินเกอของเจ้าหรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม จ้าวเพ่ยจวินเองก็มองคนน้องด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ภายในใจก็ลุ้นอยู่ไม่น้อย“ข้า…ขอเรียนท่านแม่ตามตรง ตัวข้านั้นยังอยากอยู่กับบิดามารดาเปิดบ้านรักษาชาวบ้านเช่นนี้ หากวันนึงข้าต้องแต่งงานกับจวินเกอข้าอาจไม่สามารถไปอยู่ที่เมืองหลวงได้” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตน แม้ว่าครอบครวคนพี่จะเคยพูดว่าไม่ได้กังวลที่จะให้บุตรชายมาอยู่ที่นี่แต่เขาก็อยากจะพูดคุยให้ชัดเจนอีกครั้ง“อาจวิน เจ้าว่าอย่างไร ยินดีจะมาอยู่กับน้องที่นี่หรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย“ลูกยินดีขอรับท่านแม่ ขอแค่มีเสวี่ยเออร์อยู่ลูกอยู่ที่ไหนก็ได้ขอรับ” จ้าวเพ่ยจ
วันเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนเวลาล่วงเลยผ่านมาสามปี เหอฟานเสวี่ยยังคงทำหน้าที่เป็นหมอเทวดาน้อยได้อย่างดีเช่นเดิมจวบจนตอนนี้จากเกอน้อยวัย 12 หนาวกลายเป็นเกอวัย 15 หนาวซึ่งตามธรรมเนียมคือถึงช่วงวัยปักปิ่นและออกเรือนสำหรับเกอและสตรีในยุคนี้ งานปักปิ่นให้กับเหอฟานเสวี่ยจะถูกจัดขึ้นอีกสามวันข้างหน้าผู้เป็นมารดาใบหน้ามีความสุขที่เห็นบุตรของตนเติบโตขึ้นมากผิดกลับบิดาที่รู้ว่าบุตรเกอของตนถึงวัยออกเรือนก็เอาแต่ทำหน้าเครียด “ท่านพ่อเลิกทำหน้าเศร้าเถิดขอรับ ข้ามิได้จะออกเรือนวันพรุ่งนี้เสียหน่อย” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกบิดาด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่“พ่อเพียงแค่เป็นห่วงเจ้า” นับวันบุตรเกอของตนยิ่งงดงามขึ้นมีแม่สื่อจากหลายตระกูลมาทาบทามแม้ว่าจะพูดไปว่าบุตรของเขามีคู่หมายแล้วก็ตาม“ท่านพี่อย่าคิดมากไป ถึงอย่างไรวันนึงเสวี่ยเออร์ก็ต้องออกเรือน” สวี่ฟางเอ่ยกับสามี“เหอะ แล้วนี่ไอ้บุรุษหน้าเหม็นผู้นั้นไปไหนเล่า มาประกาศตัวแล้วก็หนีหายมิใช่ว่าทิ้งเจ้าไปแต่งงานแล้วหรือ” เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ เหอฟานเสวี่ยที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับบิดา ตั้งแต่จ้าวเพ่ยจวินกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้เป็นเวลา
หลังจากจับตัวคนที่ก่อเรื่องส่งทางการไปชาวบ้านคนอื่นๆก็ต่างแห่พากันตามไป เหอฟานเสวี่ยก็ต้องเดินทางไปเพราะถือว่าเป็นผู้เสียหายแม้ว่าเหอจงเทาจะไม่อยากให้บุตรของตนไปเจอหน้าคนพวกนั้นอีกก็ตาม ครอบครัวเหอรวมถึงจ้าวเพ่ยจวินและลูกศิษย์ทั้งสองพากันเดินทางมายังในตัวเมือง ผู้ตัดสินคดีในครั้งนี้คือท่านเจ้าเมืองผู้ที่เคยตัดสินคดีของนายอำเภอและหม่าจางอี้ “ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองช่วยบุตรชายของข้าด้วยชาวบ้านพวกนี้มันทำร้ายร่างกายบุตรชายข้า” สตรีวัยกลางคนรีบเอ่ยขอความช่วยเหลือคนผู้นั่งอยู่บนโต๊ะตัดสินสูงสุดทันทีปัง!“เงียบ! พวกเจ้าจงอยู่ในความสงบข้าจะเป็นผู้ไต่สวนเอง” ท่านเจ้าเมืองพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจอย่างไม่อาจต้านทาน“บอกชื่อของเจ้ามา” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามบุรุษผู้เต็มไปด้วยรอยแผลตามร่างกาย“คาระวะท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยหย่งเล่อ ขอรับ” “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมา เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวมาส่งทางการแล้วเหตุใดร่างกายจึงเต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามเสียงเรียบ ท่าทางเต็มไปด้วยอำนาจทำให้บุรุษหนุ่มพูดไม่ออกเพราะกลัวความผิด“อะ เอ่อ…คือ”“จะอะไรเสียอีกเล่า เกอผู้นี้ยั่วยวนบุตรชา
จ้าวเพ่ยจวินลืมตาตื่นมาในตอนเช้ามืด ร่างสูงลุกขึ้นบิดไล่ความขบเมื่อยการนอนต่างที่ต่างถิ่นเป็นเรื่องปกติของเขาไปเสียแล้ว คราที่มาแอบดูคนน้องบางครั้งเขายังนอนบนต้นไม้ไม่ก็หลังคาเรือน จ้าวเพ่ยจวินรีบลุกขึ้นไปจัดการธุระตนเองเพราะจากการที่เมื่อก่อนมาแอบดูคนน้องเขารู้ดีว่ากิจวัตรในทุกเช้านั้นคืออะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปที่เรียนครัวที่ตอนนี้มีสามคนพ่อแม่ลูกกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารกันอยู่“จวินเกอ!” เหอฟานเสวี่ยที่หันไปเห็นคนท่เพิ่งเข้ามาก็ร้องเรียกด้วยความตกใจ“มีอันใดให้พี่ช่วยหรือไม่” จ้าวเพ่ยจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้เหอฟานเสวี่ยเขินอายอยู่ไม่น้อย“ไม่มีขอรับ”อีกฝ่ายเป็นแขกเขาจะให้มาช่วยทำงานได้อย่างไรกัน“คุณชายจ้าวเหตุใดจึงตื่นเช้านักเล่า ไม่ไปนอนต่ออีกเสียหน่อย หรือว่าที่หลับนอนไม่สบายเดี๋ยวป้าจะเข้าเมืองไปซื้อฟูกมาปูให้ใหม่” สวี่ฟางเอ่ยถามบุรุษหนุ่ม จ้าวเพ่ยจวินเป็นถึงคุณชายจากเมืองหลวงนอนผ้าปูพื้นบางๆคงจะไม่สบายตัวเป็นแน่“เป็นบุรุษหากทนลำบากแค่นี้ไม่ได้แล้วจะดูแลภรรยาในอนาคตได้อย่างไร” เหอจงเทาค่อนแคะ“ไม่เป็นไรขอรับท่านป้า แค่นอนไ
จ้าวเพ่ยจวินกับเหอฟานเสวี่ยออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อที่จะได้ถึงเมืองที่เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่ก่อนตะวันตกดิน พวกเขาเลือกพักกินอาหารแค่ครู่เดียวก็ออกเดินทางต่อ จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเชินขบวนรถม้าหลายคันก็เข้าสู่หมู่บ้านและมุ่งหน้ามายังบ้านเหอ ชาวบ้านหลายคนต่างพากันเดินตามมาดูขบวนรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อเห็นว่ามาจอดที่บ้านเหอจึงพากันยืนมุงดูอยู่ด้านนอก“ท่านพ่อ! ทานแม่!” เหอฟานเสวี่ยที่ลงจากรถม้าได้ก็รีบพุ่งไปกอดบิดามารดาของตนเองทันที“เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางอ้าแขนรับกอดลูกของตัวเองด้วยความคิดถึง เหอจงเทาที่เห็นว่าบุตรเกอของตนกลับมาอยากปลอดภัยความกังวลที่มีอยู่หลาดวันมานี้ก็คลายลง“คาระวะนายท่านเหอ ฮูหยินเหอ” จ้าวเพ่ยจวินเดินเข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง “เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางมองหน้าบุตรเกอของตนด้วยสายตาตั้งคำถาม ส่วนเหอจงเทาที่เห็นว่ามีบุรุษเดินทางมากับบุตรเกอของตนก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ นี่คุณชายจ้าวเพ่ยจวินขอรับ ช่วงที่อยู่เมืองหลวงข้าพักที่จวนสกุลจ้าวแล้ววันนี้คุณชายจ้าวจึงอาสามาส่งข้าขอรับ” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยแนะนำคนพี่ให้รู้จัก“เจ้าคือคนที่มอบปิ่
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยงอันสนุกสนาน? คุณหนูหลายตระกูลก็ถูกสั่งให้กักตัวอยู่แต่ภายในจวน คุณหนูเซี่ยเองต้องไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชนตามรับสั่งของฮ่องเต้จนชาวเมืองต่างเล่าลือกันสนุกปาก ส่วนเหอฟานเสวี่ยนั้นต้องเข้าวังถวายการตรวจพระครรภ์ของฮองเฮาอยู่หลายครั้งสลับกับการไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ของสำนักหมอหลวงโดยที่มีจ้าวเพ่ยจวินตามไปด้วยไม่เคยห่างจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเดือนจึงถึงเวลาที่เหอฟานเสวี่ยต้องเดินทางกลับบ้านของตน“เสวี่ยเออร์ลาท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เหอฟานเสวี่ยคำนับลาผู้อาวุโสของจวนตามธรรมเนียม“ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือลูก” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางน้ำตาซึม ตลอดเวลาเกือบเดือนที่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่เขารู้สึกเอ็นดูไม่น้อย“อย่าทำให้ลูกลำบากใจเลย เส้นทางยาวไกลหลายพันลี้อาจวินเจ้าต้องดูแลน้องดีๆ พ่อขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย” บิดาของจ้าวเพ่ยจวินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวเพ่ยจวินรับคำผู้เป็นบิดา“อย่าลืมมาหาแม่บ้างนะเสวี่ยเออร์ จวนตระกูลจ้าวตอนรับเจ้าเสมอ” จ้าวฮูหยินเอ่ยบอกเกอน้อย“ขอรับ หลายวันมานี้เสวี่ยเออร์มารบกวน ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ดูแลข้าอย่างดีขอรับ” เหอฟานเสวี