"เจ้าหมายความว่าเช่นไร" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ
"ความจริงแล้วข้าไม่ได้แค่วิชาการรักษามา แต่สวรรค์เมตตาข้าให้มิติสมุนไพรมาด้วยขอรับ ไม่ใช่เพียงแค่นั้นภายในมิติเองก็มีเครื่องมือที่ข้ารู้จักและไม่รู้จักขอรับ คราแรกข้าก็ไม่แน่ใจแต่พอข้าลองหยิบของในมิตินั้นออกมามันก็นำออกมาได้จริงๆ" เหอฟานเสวี่ยเล่าสิ่งต่างๆที่ได้พบในมิติให้บิดาฟัง ไม่ว่าจะเครื่องมือสำหรับรักษา ปรุงยา และสมุนไพรในมิติ "เสวี่ยเออร์ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากเจ้าอย่าบอกเรื่องนี้กับใครเด็ดขาด" เหอจงเทาเอ่ยบอกบุตรเกอ "ขอรับ นอกจากท่านพ่อท่านแม่แล้วข้าก็ไม่ไว้ใจผู้ใดขอรับ" ืเหอฟานเสวี่ยพยักหน้ารับ "ดีแล้ว ต่อไปเจ้าต้องระมัดระวังตัวให้มาก" เหอจงเทาลูบหัวบุตรของตน "เช่นนั้นเราเอาสมุนไพรไปขายที่ตัวเมืองได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถามผู้เป็นบิดา "ย่อมได้ เช่นนั้นเรากลับลงจากเขากันเถิดกว่าจะเดินทางเข้าเมืองใช้เวลานาน" สองพ่อลูกเดินลงจากเขาโดยได้ของติดมือมาเพียงเล็กน้อย พอกลับมาถึงบ้านเหอจงเทาก็เล่าทุกอย่างให้ภรรยาฟังสวี่ฟางเองก็ตกใจไม่น้อยและคิดว่าบุตรของตนนั้นช่างโชคดียิ่งนัก "เสวี่ยเออร์ เจ้าจงระวังให้มากรู้หรือไม่" สวี่ฟางย้ำเตือนบุตร "ขอรับ ท่านแม่อย่าได้กังวลเรื่องนี้จะมีเพียงคนในครอบครัวของเราเท่านั้นที่รู้" เเหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกมารดา "ดีแล้ว ท่านพี่จะเข้าเมืองอย่างไรเจ้าคะ" สวี่ฟางหันไปถามผู้เป็นสามี "คงต้องเดินไป ครอบครัวนั้นคงไม่ให้เรายืมเกวียน" เหอจงเทาเอ่ยขึ้น เพราะมีเพียงบ้านผู้นำเท่านั้นที่มีเกวียนเนื่องจากเกวียนมีราคาแพงทำให้ชาวบ้านธรรมดาไม่มีกำลังซื้อ "เสวี่ยเออร์ เจ้าเดินไหวหรือไม่" เหอจงเทาเอ่ยถามผู้เป็นบุตร "ไหวขอรับ เห็นอย่างนี้ข้าแข็งแรงมากเลยนะขอรับ" เหอฟานเสวี่ยพูดด้วยท่าทางซุกซน "อย่าให้พ่อเห็นเจ้าบ่นก็แล้วกัน" เหอจงเทามองบุตรเกอด้วยสายตาเอ็นดู สองพ่อลูกเดินเท้ามาถึงประตูเมืองใช้เวลาสองชั่วยามกับอีกสามเค่อ เมื่อมาถึงประตูเมืองก็แสดงป้ายชื่อให้ผู้เฝ้าประตูดู เหอฟานเสวี่ยมองดูผู้คนและรถม้าที่ต่อแถวรอผ่านประตูเมืองด้วยความตื่นเต้น 'เหมือนที่เคยเห็นในซีรี่ย์เลย' เขาคิดในใจ หลังจากผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้วเหอจงเทาก็พาบุตรเกอเดินไปที่ร้านขายยาสมุนไพรที่ชาวบ้านหลายคนต่างบอกว่าให้ราคายุติธรรมที่สุด เมื่อเดินเข้ามาในร้านก็มีเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ "นายท่านและคุณชายน้อยต้องการสิ่งใดหรือขอรับ" เหอฟานเสวี่ยพึงพอใจกับการบริการของเสี่ยวเออร์มากเพราะถึงแม้เสื้อผ้าของเขาและบิดาจะมีแต่รอยปะชุนแต่อีกฝ่ายก็ยังเรียกพวกเขาด้วยถ้อยคำสุภาพ "ข้าต้องการขายสมุนไพร มิทราบว่าที่นี่รับซื้อหรือไม่" เหอฟานเสวี่ยกระตุกแขนบิดาบอกว่าตนจะเป็นคนพูดเองซึ่งเหอจงเทาก็ตามใจ "รับขอรับ นายท่านกับคุณชายน้อยโปรดรอสักครู่เรื่องรับซื้อสมุนไพรต้องให้หลงจู๊เป็นผู้ตีราคา เดี๋ยวข้าไปตามเขามาให้" เสี่ยวเออร์โค้งขอตัวสักครู่ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้านและกลับออกมาพร้อมกับชายวัยกลางคน "พวกเจ้าต้องการขายสมุนไพรชนิดใดหรือ" หลงจู๊เอ่ยถามทั้งสองคน "ข้าต้องการขายสิ่งนี้ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเปิดห่อผ้าออกให้หลงจู๊ดู "นะ นี่ อ้อพวกเจ้ามาส่งสมุนไพรที่เถ้าแก่สั่งไว้สินะ ตามข้ามาเถ้าแก่กำลังรออยู่" หลงจู๊ที่เห็นว่าสองพ่อลูกนำสิ่งใดมาขายก็ต้องตกใจแต่ก็พยายามควบคุมสติและกวาดตามองดูลูกค้าในร้านจึงเอ่ยออกไปเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นหากลูกค้าคนอื่นรู้ว่าสองพ่อลูกนี่นำสิ่งใดมาขายเกรงว่าหลังออกจากร้านจากโชคดีจะกลายเป็นความโชคร้ายเสียมากกว่า เหอฟานเสวี่ยเองเห็นสายตาที่หลงจู๊ส่งมาก็เข้าใจจึงเดินตามหลงจู๊เข้าไปหลังร้าน "เถ้าแก่ขอรับ คุณชายน้อยผู้นี้กับบิดามีสมุนไพรมาขายขอรับ" หลงจู๊เอ่ยบอกเถ้าแก่ร้าน "พวกเจ้ามีอันใดมาขายให้ข้าหรือ" เถ้าแก่ซูเอ่ยถามอย่างตื่นเต้นเพราะรู้ดีว่าหากหลงจู๊ร้านพาเข้ามาพบตนเช่นนี้หมายความว่าสมุนไพรนั่นย่อมไม่ใช่ของธรรมดา "คาระวะเถ้าแก่ขอรับ พวกข้านำสิ่งนี้มาขายไม่ทราบว่าเถ้าแก่รับซื้อหรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยวางห่อผ้าลงบนโต๊ะก่อนจะเปิดออก "สะ โสม โสมคน!" เถ้าแก่ซูมองดูห่อผ้าเบื้องหน้าด้วยความตื่นเต้น โสมคนตรงหน้านี้อยู่ในรูปร่างเติมโตสมบูรณ์ "เถ้าแก่รับซื้อหรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยที่เห็นเถ้าแก่ร้านยามัวแต่ตื่นเต้นก็เอ่ยถามอีกครั้ง "รับ ข้ารับแน่นอน โสมคนเป็นของหายากอีกทั้งรูปร่างสมบูรณ์เช่นนี้อีกข้าให้พวกเจ้า 2000 ตำลึงทองพวกเจ้าพอใจหรือไม่" เถ้าแก่ซูให้ราคาสูงสุดเลยทีเดียว "พอใจขอรับ แล้วถังเช่าเถ้าแก่รับซื้อหรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถามคราแรกเขาอยากเอาเห็ดหลินจือออกมาขายแต่เกรงว่าจะถูกสงสัยที่เขาสามารถมีของหายากพร้อมกันถึงสองอย่างจึงตัดสินใจขายถังเช่าแทน ถังเช่าแม้จะเป็นสมุนไพรหายากแต่ก็ไม่ได้ถึงกับหาไม่ได้เลยเหมือนโสมกับเห็ดหลินจือ "รับ ถังเช่าข้าให้จินละ 100 ตำลึงเงิน" เถ้าแก่ซูเอ่ยบอก "นี่ขอรับ เชิญเถ้าแก่ชั่งดู" เหอฟานเสวี่ยนำห่อผ้าที่ห่อถังเช่าไว้ยื่นให้เถ้าแก่นำไปชั่งนำหนักซึ่งหลงจู๊ก็อาสานำมันไปชั่งเอง "ดูท่าแถวหมู่บ้านของพวกเจ้าคงจะอุดมสมบูรณ์น่าดู" เถ้าแก่ซูชวนทั้งสองคุยระหว่างรอชั่งน้ำหนักถังเช่า "มิได้เป็นเช่นนั้นหรอกขอรับ หมู่บ้านของพวกข้านั้นแห้งแล้งเช่นเดียวกับหมู่บ้านอื่นแต่โชคดีมีภูเขาที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ ตัวข้านั้นเป็นพรานป่าจึงมีโอกาสเข้าป่าลึกบ่อยครั้ง มีครั้งนี้ที่โชคดีได้ของล้ำค่าจากภูเขามา" เหอจงเทาเอ่ยตอบ เหอฟานเสวี่ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจกับไหวพริบของผู้เป็นบิดา "พวกเจ้าโชคดีจริงๆ" เถ้าแก่ซูเองก็เห็นด้วย เขาว่ากันว่าสมุนไพรล้ำค่ามักจะเลือกคนที่จะพบเจอ สองพ่อลูกนนี่อาจเป็นคนที่ถูกเลือกก็ได้ "เถ้าแก่ขอรับถังเช่าชั่งได้ 5 จินขอรับ" หลงจู๊เดินเข้ามาบอกจำนวนที่ชั่งได้ " 5 จินก็ 500 ตำลึงเงิน พวกเจ้าจะรับเป็นตั๋วเงินเลยหรือไม่" เถ้าแก่ซูเอ่ยถาม "ข้าขอเป็นตั๋วเงิน 2000 ตำลึงทองขอรับ ส่วน 500 ตำลึงเงินข้าขอเป็นก้อนตำลึงขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอก "ได้ หลงจู๊จัดการให้ด้วย ข้าเพิ่มให้พวกเจ้าอีก 1000 อีแปะก็แล้วกันเป็นค่าขอบคุณที่พวกเจ้านำสมุนไพรล้ำค่ามาขายที่ร้านของข้าเวลาซื้อของไม่กี่อีแปะจะได้ไม่ต้องจ่ายก้อนตำลึง" เถ้าแก่ซูเอ่ยบอก "ขอบคุณเถ้าแก่ขอรับ" สองพ่อลูกเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ "ท่านพ่อจะไปไหนต่อหรือขอรับ" หลังจากออกมาจากร้านขายยาเหอฟานเสวี่ยก็เอ่ยถามบิดา "เจ้าอย่างไปที่ใดเล่า" เหอจงเทาเอ่ยถามความต้องการของผู้เป็นบุตร "เราไปซื้อรถม้าดีหรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถามผู้เป็นบิดา "ดี แต่พอว่าเราเอาตั๋วเงินไปฝากที่ร้านรับฝากก่อนดีกว่า" เหอจงเทาเอ่ยบอกผู้เป็นบุตร เขาเกรงว่าหากเก็บตั๋วเงินไว้กับตนเองอาจจะหายหรืออาจถูกปล้นได้ "ขอรับ" สองพ่อลูกจึงเดินทางมาที่ร้านฝากเงินโดยที่เหอจงเทาให้ฝากเป็นชื่อของบุตรเกอของตน เหอฟานเสวี่ยให้เจ้าหน้าที่ถอนเงินออกมาให้จำนวน 100 ตำลึงทองเพื่อซื้อรถม้า เมื่อฝากเงินเสร็จแล้วทั้งสองคนก็เดินมาที่ตลาดค้าสัตว์ทันที "นายท่าน คุณชายน้อย ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดขอรับ ร้านของข้ามีทั้ง ม้า ลา และวัว" เถ้าแก่เจ้าของร้านเห็นพวกเขาก็รีบมาต้อนรับและไม่มีท่าทีดูถูกแต่อย่างใด "ข้าต้องการรถม้า ไม่ทราบว่ามีรถม้าแบบสำเร็จหรือไม่" เหอจงเทาเอ่ยถาม "มีขอรับ รถม้าของเรามีตั้งแต่ทำจากไม้ธรรมดาไปจนถึงไม้เนื้อดีเลยขอรับ" เถ้าแก่เจ้าของร้านเอ่ยตอบ "ข้าขอดูได้หรือไม่ขอรับ" เหอฟานเสวี่ยเอ่ยถาม "ได้ขอรับ เชิญคุณชายน้อยทางนี้ขอรับ" เถ้าแก่เจ้าของร้านรีบพาทั้งสองเดินไปดูรถม้าแบบสำเร็จ เหอฟานเสวี่ยถูกใจรถม้าสีขาวมันเห็นกับที่เขาเคยเห็นให้ซีรีย์เมื่อชาติก่อนจึงตัดสินใจเลือกรถม้าคันนี้ทันที อีกทั้งยังเลือกม้าลักษณะดีอีกสองตัวเพราะรถม้าที่ซื้อนั้นค่อนข้างใหญ่จึงต้องใช้ม้าลากสองตัว "ทั้งหมดข้าคิดราคา 70 ตำลึงทองขอรับ" เถ้าแก่ร้านเอ่ยบอก "นี่ขอรับ" เหอจงเทาจ่ายเงินให้กับเถ้าแก่อย่างไม่ต่อรองสร้างความประทับใจให้เถ้าแก่เจ้าของร้านเป็นอย่างมาก "เจ้าจะไปไหนต่อหรือ" เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ "ร้านขายผ้าขอรับ"ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในบ้านที่มีบิดามารดาของทั้งสองฝ่ายกำลังนั่งคุยกันอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนจะเข้าไปนั่งข้างบิดามารดาของตัวเอง เมื่อเห็นว่าทั้งสองนั่งลงแล้วจ้าวฮูหยินก็เปิดปากพูดขึ้น”เสวี่ยเออร์ แม่ได้คุยกับบิดามารดาของเจ้าแล้ว บิดามารดาของเจ้ายินดีหากเจ้าจะหมั้นกับอาจวิน” “…..” เหอฟานเสวี่ยหันหน้าไปมองบิดามารดาของตนก็เห็นว่าทั้งคู่พยักหน้าให้“เจ้าล่ะ ยินดีจะหมั้นหมายกับจวินเกอของเจ้าหรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม จ้าวเพ่ยจวินเองก็มองคนน้องด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ภายในใจก็ลุ้นอยู่ไม่น้อย“ข้า…ขอเรียนท่านแม่ตามตรง ตัวข้านั้นยังอยากอยู่กับบิดามารดาเปิดบ้านรักษาชาวบ้านเช่นนี้ หากวันนึงข้าต้องแต่งงานกับจวินเกอข้าอาจไม่สามารถไปอยู่ที่เมืองหลวงได้” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกจุดประสงค์ของตน แม้ว่าครอบครวคนพี่จะเคยพูดว่าไม่ได้กังวลที่จะให้บุตรชายมาอยู่ที่นี่แต่เขาก็อยากจะพูดคุยให้ชัดเจนอีกครั้ง“อาจวิน เจ้าว่าอย่างไร ยินดีจะมาอยู่กับน้องที่นี่หรือไม่” จ้าวฮูหยินเอ่ยถามบุตรชาย“ลูกยินดีขอรับท่านแม่ ขอแค่มีเสวี่ยเออร์อยู่ลูกอยู่ที่ไหนก็ได้ขอรับ” จ้าวเพ่ยจ
วันเวลาล่วงเลยผันผ่าน จนเวลาล่วงเลยผ่านมาสามปี เหอฟานเสวี่ยยังคงทำหน้าที่เป็นหมอเทวดาน้อยได้อย่างดีเช่นเดิมจวบจนตอนนี้จากเกอน้อยวัย 12 หนาวกลายเป็นเกอวัย 15 หนาวซึ่งตามธรรมเนียมคือถึงช่วงวัยปักปิ่นและออกเรือนสำหรับเกอและสตรีในยุคนี้ งานปักปิ่นให้กับเหอฟานเสวี่ยจะถูกจัดขึ้นอีกสามวันข้างหน้าผู้เป็นมารดาใบหน้ามีความสุขที่เห็นบุตรของตนเติบโตขึ้นมากผิดกลับบิดาที่รู้ว่าบุตรเกอของตนถึงวัยออกเรือนก็เอาแต่ทำหน้าเครียด “ท่านพ่อเลิกทำหน้าเศร้าเถิดขอรับ ข้ามิได้จะออกเรือนวันพรุ่งนี้เสียหน่อย” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยบอกบิดาด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่“พ่อเพียงแค่เป็นห่วงเจ้า” นับวันบุตรเกอของตนยิ่งงดงามขึ้นมีแม่สื่อจากหลายตระกูลมาทาบทามแม้ว่าจะพูดไปว่าบุตรของเขามีคู่หมายแล้วก็ตาม“ท่านพี่อย่าคิดมากไป ถึงอย่างไรวันนึงเสวี่ยเออร์ก็ต้องออกเรือน” สวี่ฟางเอ่ยกับสามี“เหอะ แล้วนี่ไอ้บุรุษหน้าเหม็นผู้นั้นไปไหนเล่า มาประกาศตัวแล้วก็หนีหายมิใช่ว่าทิ้งเจ้าไปแต่งงานแล้วหรือ” เหอจงเทาเอ่ยถามบุตรเกอ เหอฟานเสวี่ยที่ได้ยินคำถามนั้นก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆให้กับบิดา ตั้งแต่จ้าวเพ่ยจวินกลับไปเมืองหลวงตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้เป็นเวลา
หลังจากจับตัวคนที่ก่อเรื่องส่งทางการไปชาวบ้านคนอื่นๆก็ต่างแห่พากันตามไป เหอฟานเสวี่ยก็ต้องเดินทางไปเพราะถือว่าเป็นผู้เสียหายแม้ว่าเหอจงเทาจะไม่อยากให้บุตรของตนไปเจอหน้าคนพวกนั้นอีกก็ตาม ครอบครัวเหอรวมถึงจ้าวเพ่ยจวินและลูกศิษย์ทั้งสองพากันเดินทางมายังในตัวเมือง ผู้ตัดสินคดีในครั้งนี้คือท่านเจ้าเมืองผู้ที่เคยตัดสินคดีของนายอำเภอและหม่าจางอี้ “ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ท่านเจ้าเมืองช่วยบุตรชายของข้าด้วยชาวบ้านพวกนี้มันทำร้ายร่างกายบุตรชายข้า” สตรีวัยกลางคนรีบเอ่ยขอความช่วยเหลือคนผู้นั่งอยู่บนโต๊ะตัดสินสูงสุดทันทีปัง!“เงียบ! พวกเจ้าจงอยู่ในความสงบข้าจะเป็นผู้ไต่สวนเอง” ท่านเจ้าเมืองพูดเสียงเย็น ดูทรงอำนาจอย่างไม่อาจต้านทาน“บอกชื่อของเจ้ามา” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามบุรุษผู้เต็มไปด้วยรอยแผลตามร่างกาย“คาระวะท่านเจ้าเมือง ข้าน้อยหย่งเล่อ ขอรับ” “เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมา เหตุใดเจ้าจึงถูกจับตัวมาส่งทางการแล้วเหตุใดร่างกายจึงเต็มไปด้วยรอยแผลเช่นนี้” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยถามเสียงเรียบ ท่าทางเต็มไปด้วยอำนาจทำให้บุรุษหนุ่มพูดไม่ออกเพราะกลัวความผิด“อะ เอ่อ…คือ”“จะอะไรเสียอีกเล่า เกอผู้นี้ยั่วยวนบุตรชา
จ้าวเพ่ยจวินลืมตาตื่นมาในตอนเช้ามืด ร่างสูงลุกขึ้นบิดไล่ความขบเมื่อยการนอนต่างที่ต่างถิ่นเป็นเรื่องปกติของเขาไปเสียแล้ว คราที่มาแอบดูคนน้องบางครั้งเขายังนอนบนต้นไม้ไม่ก็หลังคาเรือน จ้าวเพ่ยจวินรีบลุกขึ้นไปจัดการธุระตนเองเพราะจากการที่เมื่อก่อนมาแอบดูคนน้องเขารู้ดีว่ากิจวัตรในทุกเช้านั้นคืออะไร ร่างสูงเดินตรงเข้าไปที่เรียนครัวที่ตอนนี้มีสามคนพ่อแม่ลูกกำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารกันอยู่“จวินเกอ!” เหอฟานเสวี่ยที่หันไปเห็นคนท่เพิ่งเข้ามาก็ร้องเรียกด้วยความตกใจ“มีอันใดให้พี่ช่วยหรือไม่” จ้าวเพ่ยจวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม สรรพนามที่ใช้แทนตัวเองที่เปลี่ยนไปทำให้เหอฟานเสวี่ยเขินอายอยู่ไม่น้อย“ไม่มีขอรับ”อีกฝ่ายเป็นแขกเขาจะให้มาช่วยทำงานได้อย่างไรกัน“คุณชายจ้าวเหตุใดจึงตื่นเช้านักเล่า ไม่ไปนอนต่ออีกเสียหน่อย หรือว่าที่หลับนอนไม่สบายเดี๋ยวป้าจะเข้าเมืองไปซื้อฟูกมาปูให้ใหม่” สวี่ฟางเอ่ยถามบุรุษหนุ่ม จ้าวเพ่ยจวินเป็นถึงคุณชายจากเมืองหลวงนอนผ้าปูพื้นบางๆคงจะไม่สบายตัวเป็นแน่“เป็นบุรุษหากทนลำบากแค่นี้ไม่ได้แล้วจะดูแลภรรยาในอนาคตได้อย่างไร” เหอจงเทาค่อนแคะ“ไม่เป็นไรขอรับท่านป้า แค่นอนไ
จ้าวเพ่ยจวินกับเหอฟานเสวี่ยออกเดินทางตั้งแต่ยามเหม่าเพื่อที่จะได้ถึงเมืองที่เหอฟานเสวี่ยอาศัยอยู่ก่อนตะวันตกดิน พวกเขาเลือกพักกินอาหารแค่ครู่เดียวก็ออกเดินทางต่อ จนเวลาล่วงเลยมาถึงยามเชินขบวนรถม้าหลายคันก็เข้าสู่หมู่บ้านและมุ่งหน้ามายังบ้านเหอ ชาวบ้านหลายคนต่างพากันเดินตามมาดูขบวนรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อเห็นว่ามาจอดที่บ้านเหอจึงพากันยืนมุงดูอยู่ด้านนอก“ท่านพ่อ! ทานแม่!” เหอฟานเสวี่ยที่ลงจากรถม้าได้ก็รีบพุ่งไปกอดบิดามารดาของตนเองทันที“เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางอ้าแขนรับกอดลูกของตัวเองด้วยความคิดถึง เหอจงเทาที่เห็นว่าบุตรเกอของตนกลับมาอยากปลอดภัยความกังวลที่มีอยู่หลาดวันมานี้ก็คลายลง“คาระวะนายท่านเหอ ฮูหยินเหอ” จ้าวเพ่ยจวินเดินเข้ามาคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง “เสวี่ยเออร์” สวี่ฟางมองหน้าบุตรเกอของตนด้วยสายตาตั้งคำถาม ส่วนเหอจงเทาที่เห็นว่ามีบุรุษเดินทางมากับบุตรเกอของตนก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง“ท่านพ่อ ท่านแม่ขอรับ นี่คุณชายจ้าวเพ่ยจวินขอรับ ช่วงที่อยู่เมืองหลวงข้าพักที่จวนสกุลจ้าวแล้ววันนี้คุณชายจ้าวจึงอาสามาส่งข้าขอรับ” เหอฟานเสวี่ยเอ่ยแนะนำคนพี่ให้รู้จัก“เจ้าคือคนที่มอบปิ่
หลังจากสิ้นสุดงานเลี้ยงอันสนุกสนาน? คุณหนูหลายตระกูลก็ถูกสั่งให้กักตัวอยู่แต่ภายในจวน คุณหนูเซี่ยเองต้องไปคุกเข่าที่หน้าศาลบรรพชนตามรับสั่งของฮ่องเต้จนชาวเมืองต่างเล่าลือกันสนุกปาก ส่วนเหอฟานเสวี่ยนั้นต้องเข้าวังถวายการตรวจพระครรภ์ของฮองเฮาอยู่หลายครั้งสลับกับการไปแลกเปลี่ยนความรู้กับเหล่าอาจารย์ของสำนักหมอหลวงโดยที่มีจ้าวเพ่ยจวินตามไปด้วยไม่เคยห่างจนเวลาล่วงเลยมาเกือบเดือนจึงถึงเวลาที่เหอฟานเสวี่ยต้องเดินทางกลับบ้านของตน“เสวี่ยเออร์ลาท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เหอฟานเสวี่ยคำนับลาผู้อาวุโสของจวนตามธรรมเนียม“ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดหรือลูก” จ้าวฮูหยินเอ่ยพลางน้ำตาซึม ตลอดเวลาเกือบเดือนที่อีกฝ่ายอยู่ที่นี่เขารู้สึกเอ็นดูไม่น้อย“อย่าทำให้ลูกลำบากใจเลย เส้นทางยาวไกลหลายพันลี้อาจวินเจ้าต้องดูแลน้องดีๆ พ่อขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย” บิดาของจ้าวเพ่ยจวินเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มใจดี“ขอรับท่านพ่อ” จ้าวเพ่ยจวินรับคำผู้เป็นบิดา“อย่าลืมมาหาแม่บ้างนะเสวี่ยเออร์ จวนตระกูลจ้าวตอนรับเจ้าเสมอ” จ้าวฮูหยินเอ่ยบอกเกอน้อย“ขอรับ หลายวันมานี้เสวี่ยเออร์มารบกวน ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ดูแลข้าอย่างดีขอรับ” เหอฟานเสวี