บทที่ 1 ฝันร้ายที่เวียนกลับ
เสียงลมโหมกระหน่ำผ่านหน้าต่างไม้ที่ผุพังร่างบอบบางในชุดนอนสีจันทร์หม่นสะดุ้งเฮือก ก่อนจะลืมตาขึ้นในยามฟ้าสาง
หัวใจของหลี่อินเต้นระรัวราวจะกระโจนออกจากอก ลมหายใจติดขัด เงาของความเจ็บปวดยังคงทาบทับไม่จางหาย
“อีกแล้ว…”
นางพึมพำเสียงแผ่ว เบือนหน้าไปมองเพดานไม้เก่าที่สั่นไหวตามแรงลมฤดูใบไม้ผลิราวกับมันจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อ คลังสมบัติของตระกูลหลี่ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว แม้แต่เงินที่จะซ่อมแซมหลังคา ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ตระกูลที่เคยรุ่งเรืองในอดีต…บัดนี้ใกล้จะล่มสลายเต็มที บ่าวไพร่ในจวนแทบไม่มีใครเหลือ เสียงฝีเท้าก็เงียบงัน อีกไม่นาน คงไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ
ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำแววตาเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของอดีตที่ไม่เคยปล่อยให้นางหลุดพ้น
“การแต่งงาน…”
นางคิดกับตนเองอย่างขื่นขมมันไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหวัง และยังเป็น เดิมพันสุดท้าย เพื่อแลกกับลมหายใจของคนทั้งตระกูล และนาง…คือผู้ถูกวางไว้บนกระดานนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคชะตาบีบบังคับนางให้เดินตามหมากบนกระดานที่วางเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในความฝัน…นางเห็นเขาอีกครั้งหลงอี้จงชายผู้เคยกุมมือนางไว้แน่นสาบานด้วยรอยยิ้มว่า จะปกป้องนางจากทั่วหล้า
แต่สุดท้าย…เขากลับเป็นคนเหยียบย่ำหัวใจของนางด้วยมือคู่นั้นเองนางเห็นเขาโอบเอวสตรีอีกนางรินสุราให้ด้วยความแช่มชื่นเอ่ยวาจาหวานที่เคยมีไว้ให้ตน เสียงหัวเราะของนางผู้มีใบหน้างดงามดั่งจันทร์กระจ่างแว่วก้องอยู่ในห้วงความฝันดังไม่รู้จบ และทุกครั้ง…นางก็เป็นเพียงผู้เฝ้ามองอยู่ในเงามืด
หลี่อินถอนหายใจเฮือกใหญ่ดึงผ้าห่มขึ้นมากอดแน่นราวกับมันจะช่วยปกป้องหัวใจที่แตกร้าวมานับครั้งไม่ถ้วน
แม้ตื่นขึ้นมาแล้ว…แต่ภาพฝันก็ยังแจ่มชัดจนยากจะแยกออกว่าอะไรคืออดีต อะไรคือปัจจุบัน
ที่น่าขันที่สุดคือ แม้แต่ในความฝัน นางก็ยังไม่อาจเอาชนะสตรีนางนั้นได้เลย หลี่อินยกมือแตะหน้าอกเหนือหัวใจที่เต้นแผ่วเบา
“พอแล้ว…” นางเอ่ยช้า ๆ “ข้าจะไม่ยอมให้น้ำตาไหล…เพราะบุรุษผู้นั้นอีก”
ไม่ว่าโชคชะตาจะพานางให้ข้องเกี่ยวกับเขาอีกกี่ครั้ง นางจะไม่มีวันยอมแพ้อีก
นับตั้งแต่วันปักปิ่น…หลี่อินฝันถึงอดีตชาติของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ครั้งแรก นางคิดว่าเป็นเพียงฝันร้าย แต่ยิ่งผ่านวัน…ความฝันเหล่านั้นกลับยิ่งชัดเจนราวกับนางอยู่ตรงนั้นจริง ๆ เจ็บปวดเช่นนั้นจริง ๆ
ชาติแรก ชาติที่สอง… ล้วนเป็นความทรงจำที่หล่อหลอมให้ใจนางเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังหลงเหลือความร้อนรนที่ฝังลึกและปฏิเสธไม่ได้
ครานี้…หากจะต้องข้องเกี่ยวกันอีกครั้ง ข้าจะไม่ใช่เบี้ยในกระดานของใครอีก แต่จะเป็นผู้เล่น…ที่กำหนดชะตาเอง
ภายในห้องโถงใหญ่ของเรือนหลัก ตำแหน่งสูงสุดในตระกูลยังคงเป็นของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้หอม ข้างกายมีสุรารินอยู่ครึ่งจอก ทว่าสายตาคมกล้ายิ่งกว่าความกรุ่นของเหล้าในอากาศยามเช้า
“เจ้าจะไม่แต่งไม่ได้” เสียงของ หลี่หยาง หนักแน่น ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดโต้แย้ง “ไม่มีทางซ้ายหรือขวาให้เลือกมีแต่เส้นทางเดียวที่ข้ากำหนดไว้ให้”
หลี่หยางกล่าวเสียงเรียบ แววตาแน่วแน่ดุจคมกระบี่
หลี่อินยืนเงียบอยู่ตรงหน้าผู้ให้กำเนิด ตั้งแต่มารดาเสียไป บิดาของนางก็ติดสุราไม่ทำงานทำการ กว่าจะรู้ว่าเงินในจวนไม่เหลือแล้วก็ตอนที่นางขอเบิกซ่อมแซมจวน หลี่อินสีหน้านิ่งสงบดุจสระน้ำที่ไร้คลื่น หากแววตาภายใต้แพขนตานั้นกลับสั่นไหว
“ขอรับฟังเหตุผลของท่านพ่อเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเบา แต่ชัดถ้อยชัดคำ
หลี่หยางวางจอกสุราลง กระแทกเสียง “เจ้าจะเรียกร้องเหตุผลอะไรอีก ตระกูลเรากำลังตกต่ำ การที่เจ้าแต่งออกไปคือหนทางเดียวที่จะใช้หนี้ที่ข้าหยิบยืมมาเพื่อเลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่ และแม่ทัพหลงอี้จง…คือสะพานที่จะพาพวกเราข้ามผ่านความล่มจมนี้”
“แล้วหัวใจของข้าล่ะเจ้าคะท่านพ่อ ข้าต้องแต่งเพื่อล้างหนี้งั้นหรือ” หลี่อินถามเสียงเรียบ “หัวใจของบุตรสาวท่าน ไม่มีที่ในข้อตกลงนี้เลยหรือ”
“เจ้าจะใช้หัวใจนั้นไปไย หากครอบครัวต้องล่มสลาย” เขาสวนกลับ “เจ้าคือบุตรสาวของข้า ไม่ใช่คุณหนูในนิยายรัก บ่าวไพร่ยังรู้หน้าที่ แล้วเจ้าล่ะ”
“ไม่มีทางอื่น” นางถามอีกครั้ง
“เจ้าหนี้มายืนเฝ้าประตูจวนอยู่ทุกยัน หากเจ้าหาเงินร้อยตำลึงทองได้ภายก่อนวันแต่งงานก็คงมี”
หลี่อินหลับตา ฝ่ามือในแขนเสื้อกำแน่นจนข้อนิ้วซีด งานแต่งจะมีขึ้นในสามวัน นางไม่เคยรู้เลยว่าหนี้สินนอกจวนหนักหนาเพียงนี้นึกว่ามีปัญหาแค่ภายในจวน หลี่อินหลับตา สูดลมหายใจลึก แล้วสามวันนางจะไปหาเงินจำนวนที่สามารถเลี้ยงกองทัพได้ทั้งปีมาจากไหนกัน
“หากข้าต้องเดินทางเดียวโดยไร้ทางเลือก…เช่นนั้นข้าจะไม่เป็นผู้ถูกพาไป” นางลืมตาขึ้น“แต่จะเป็นผู้ก้าวด้วยตนเอง”
“เจ้า…จะไม่ขัดคำสั่งข้าแล้วแต่งแต่โดยดีงั้นหรือ”
เสียงหลี่หยางแผ่วลง แฝงแววไม่แน่ใจ รู้ดีว่าการบังคับให้บุตรสาวแต่งงานกับหลงอี้จงชายหนุ่มที่บิดาทั้งเมืองหลวงต่างอยากได้เป็นบุตรเขย ชีวิตในอนาคตบุตรสาวของเขาแม้จะหรูหรามีเงินทองใช้ไม่ขาดมือ แต่ข่าวว่าอีกฝ่ายมีคนรักอยู่ที่ชายแดนเขาก็รู้เช่นเดียวกับทุกคน แต่สัญญาหมั้นหมายมีมาตั้งแต่มารดานางยังมีชีวิตอยู่ คนที่ผิดในเรื่องนี้คือหลงอี้จง ไม่ใช่ฝ่ายเขา
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่ขัด ข้าจะแต่งงานกับแม่ทัพอนาคตไกลที่ท่านเลือกให้ข้า” นางตอบตรง “แต่ก็อย่าหวังว่าข้าจะอ่อนโยน ยอมยิ้มให้อีกฝ่ายราวเจ้าสาวผู้เปี่ยมความหวัง”
นางโค้งกายคำนับช้า ๆ
“ข้าจะแต่ง…เพื่อกู้เกียรติยศของตระกูล แต่มิต้องห่วง ท่านแม่ทัพผู้นั้นจะไม่มีวันได้หัวใจของข้าไป” ดั่งเช่นทุกชาติภพที่ผ่านมาอีกแล้ว
“พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมไปพบหลงอี้จงที่จวน เขาอุตส่าห์รีบกลับมาจากชายแดนเพื่อให้ทันงานแต่ง”
หลี่อินเพียงพยักหน้ารับช้า ๆ
หมากบนกระดาน…ได้เริ่มขยับแล้ว หมากสีดำกำลังบีบล้อมหมากขาวให้จนมุม จุดที่หมากขาวจะต้องวางลง ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ไม่ว่าอย่างไร…ก็ต้องถูกกิน แต่การยอมเสียหมากหนึ่งตัว ก็หาใช่ความพ่ายแพ้ไม่ หากการเสียสละนั้น จะเปิดทางให้กินหมากทั้งกระดานได้ในท้ายที่สุด
นางหมุนกายหันหลังผ้าคลุมบางสะบัดตามแรงลมฤดูใบไม้ผลิ ก้าวเดินของนาง…สง่างาม ดั่งผู้เล่นที่แท้จริงปล่อยให้หลี่หยางนิ่งงันกับความแน่วแน่ของบุตรสาวที่เขาเคยคิดว่าอ่อนโยนและว่าง่าย ตั้งแต่พ้นวันปักปิ่น…หลี่อิน…ไม่ใช่สตรีคนเดิมอีกต่อไป
บทที่ 4 การมาของแม่ดวงจันทร์กระจ่างข่าวลือแพร่กระจายทั่วเมืองหลวงราวเพลิงลามใบไม้แห้ง“หญิงงามผู้เป็นรักแท้ของแม่ทัพหลง กำลังเดินทางจากชายแดนเข้าเมืองหลวง!”บางคนเรียกนางว่า นางฟ้าแห่งทุ่งหญ้า บางคนกล่าวว่านางคือ แม่นางบัวขาว สตรีที่แม่ทัพหลงเคยปกป้องไว้ด้วยชีวิตเมื่อหลายปีก่อน บางคนว่าเป็นธิดาของขุนนางชายแดน บ้างก็ว่าเป็นเพียงชาวบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าดูแคลนเพราะชื่อของนาง…อยู่ในใจของแม่ทัพหลงเสมอมาวันนั้น ฟ้าหลัวหม่น ไม่มีฝน แต่ลมกรรโชกแรง เกี้ยวสี่หามแล่นมาจอดรอที่หน้าประตูมือหลวงตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของผู้คนที่ต่อแถวรอตรวจเอกสารผ่านด่านเข้าเมืองหลี่อินนั่งดื่มชารับแขกอยู่ที่ศาลาด้านหน้า พอได้ยินเสียงฝีเท้าทหารยามเคลื่อนไหวผิดปกติ นางวางถ้วยชาอย่างนิ่งสงบ ก่อนเอ่ยกับสาวใช้ข้างกาย“ไปตระเตรียมเรือนตะวันออกให้เรียบร้อย”สาวใช้ขมวดคิ้ว “เรือนตะวันออกหรือเจ้าคะ…”“เรือนที่ข้าจัดไว้ให้เจ้าของจวนแห่งนี้ตัวจริงในอนาคต”หลี่อินตอบเรียบ ๆ แววตาไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย “ถึงแม้ยังไม่มีพิธีแต่ง แต่เจ้าของหัวใจของแม่ทัพก็มาถึงจวนแล้วมิใช่หรือ”ไม่ถึงครึ่งชั่วยามต่อมา หลง
บทที่ 3 สมรสที่ไร้รักงานแต่งระหว่างแม่ทัพหลงกับคุณหนูหลี่ จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะทหารองครักษ์เข้าแถวตลอดทาง ขุนนางฝ่ายนอก ขุนนางฝ่ายใน และชนชั้นสูงแห่งเมืองหลวงต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานเจ้าบ่าวในชุดเกราะประดับพิธี เจ้าสาวในชุดมงคลสีแดงลายหงส์สะบัดปลายผ้าราวลอยบนอากาศไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำรัก มีเพียงพิธีที่ดำเนินไปอย่างไร้ที่ติ ราวการลงตราราชการที่ไม่มีผู้ใดกล้าทัดทานหลังพิธี ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง ณ ศาลาหลังหนึ่งที่ถูกจัดขึ้นชั่วคราวภายในจวนแม่ทัพเมื่อผู้คนทยอยจากไป เหลือเพียงเสียงลมยามราตรีพัดแผ่วเบา หลี่อินนั่งนิ่ง เงยหน้าขึ้นสบตาเขา ดวงตานิ่งสนิทดั่งผิวน้ำในคืนไร้จันทร์“จากนี้ไป หากท่านจะรับอนุภรรยา…” นางเอ่ยเสียงราบเรียบ “หรือหากท่านโปรดบุตรสาวตระกูลใด ต้องการให้ส่งเกี้ยวไปรับเข้าจวน ท่านเพียงเอ่ยชื่อ”นางหยุดชั่วครู่ ก่อนกล่าวต่อ “หน้าที่การจัดการงานแต่ง ข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง สมเกียรติ สมฐานะ ไม่มีผู้ใดติฉิน”หลงอี้จงไม่กล่าวตอบในทันที เขาเพียงจ้องมองนาง เหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า…หญิงสาวที่เคยวิ่งตามเขาในสวนดอกเหมยเมื่อหลายปีก่อน…หญิงสาวที่เคยส่งผ้าหอมปักมือให้เขา ยามเขาอ
บทที่ 2 การพบหน้าอีกครั้งในฐานะ…คู่หมั้นแสงอาทิตย์เช้านั้นส่องลอดม่านโปร่งของศาลาริมสระน้ำแห่งจวนแม่ทัพใหญ่ ทว่าแม้แสงจะอ่อนโยนเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้บรรยากาศที่แผ่คลุมอยู่จางคลายลงได้หลี่อินก้าวเข้าสู่ศาลาในชุดผ้าแพรสีเขียวอ่อน ปักลายดอกเหมยบานกลางหิมะ สง่างามแต่ห่างไกลจากคำว่าอ่อนหวาน ต่างจากวันปักปิ่อย่างสิ้นเชิงเขานั่งอยู่ก่อนแล้ว หลงอี้จง แม่ทัพหนุ่มผู้มีนามขจรไกล ดวงหน้าเย็นชาเหมือนเมื่อครั้งก่อน ไม่มีถ้อยคำทักทาย ไม่มีแววตาไถ่ถาม เพียงแค่แววตาว่างเปล่าคู่นั้นที่มองมาราวกับนางเป็นใครอื่น“คุณหนูหลี่” เขาเอ่ยขึ้นก่อน พลางวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะไม้เคลือบเงา “ดูท่าท่านพ่อจะรีบร้อนนัก ถึงกับให้เราพบกันเช้านี้”ถ้อยคำฟังดูสุภาพ หากแต่เสียงเรียบเย็นเจื่อนจางนัก หลี่อินเพียงประสานมือคำนับ “แม่ทัพใหญ่สั่งมา ข้าย่อมไม่กล้าขัด”หลงอี้จงเลิกคิ้วมองนาง ราวกับกำลังพินิจว่าเด็กสาวในความทรงจำของเขาหายไปไหนในความจำของเขา…หลี่อินเคยยิ้มให้เขาเสมอ พูดน้อย ขี้อาย และมองเขาด้วยดวงตาเป็นประกายแต่หญิงสาวตรงหน้านี้นิ่งสงบ เยือกเย็น และแววตาไม่หลงเหลือร่องรอยความอาวรณ์แม้แต่น้อย“ข้าได้ยินมาว่าท่านแม
บทที่ 1 ฝันร้ายที่เวียนกลับเสียงลมโหมกระหน่ำผ่านหน้าต่างไม้ที่ผุพังร่างบอบบางในชุดนอนสีจันทร์หม่นสะดุ้งเฮือก ก่อนจะลืมตาขึ้นในยามฟ้าสางหัวใจของหลี่อินเต้นระรัวราวจะกระโจนออกจากอก ลมหายใจติดขัด เงาของความเจ็บปวดยังคงทาบทับไม่จางหาย“อีกแล้ว…”นางพึมพำเสียงแผ่ว เบือนหน้าไปมองเพดานไม้เก่าที่สั่นไหวตามแรงลมฤดูใบไม้ผลิราวกับมันจะพังครืนลงมาได้ทุกเมื่อ คลังสมบัติของตระกูลหลี่ไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว แม้แต่เงินที่จะซ่อมแซมหลังคา ยังต้องคิดแล้วคิดอีก ตระกูลที่เคยรุ่งเรืองในอดีต…บัดนี้ใกล้จะล่มสลายเต็มที บ่าวไพร่ในจวนแทบไม่มีใครเหลือ เสียงฝีเท้าก็เงียบงัน อีกไม่นาน คงไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อดวงตาคู่นั้นแดงก่ำแววตาเต็มไปด้วยเศษเสี้ยวของอดีตที่ไม่เคยปล่อยให้นางหลุดพ้น“การแต่งงาน…”นางคิดกับตนเองอย่างขื่นขมมันไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่ความหวัง และยังเป็น เดิมพันสุดท้าย เพื่อแลกกับลมหายใจของคนทั้งตระกูล และนาง…คือผู้ถูกวางไว้บนกระดานนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โชคชะตาบีบบังคับนางให้เดินตามหมากบนกระดานที่วางเอาไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในความฝัน…นางเห็นเขาอีกครั้งหลงอี้จงชายผู้เคยกุมมือนางไว้แน่นสาบานด้วยรอยย
โปรยปราย“สองภพสองชาติ ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสมอ”ครั้งแรก…เขาเลือกนาง ไม่ใช่ข้าครั้งที่สอง…ข้ายอมตายเพื่อเขา แต่เขากลับร่ำไห้ให้นางชาตินี้…ข้าไม่อาจทนเห็นหัวใจของตนเองพังทลายอีกต่อไป เพราะรักที่ไม่เคยถูกเลือกต่อให้ต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินต่อให้ต้องเล่นหมากกระดานนี้กับสวรรค์เองกับมือข้าก็จะเป็นผู้ชนะไม่ใช่เพื่อเขา…แต่เพื่อหัวใจของข้าเองคนที่อ่อนแอ มักมุ่งมั่นจะแก้แค้นคนที่แข็งแกร่ง จะเลือกให้อภัยและคนที่เฉลียวฉลาด…จะมองข้ามทุกอย่างเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าเคยพยายามมาแล้วทั้งแก้แค้น ทั้งให้อภัย และแม้แต่ยอมมองข้ามเพื่อเขาแต่สุดท้าย ข้าก็ยังติดอยู่ในวังวนเดิม ระหว่างเขากับนาง เป็นเพียงหมากไร้ค่าเป็นเพียงเงาในเรื่องราวของผู้อื่นในเมื่อการแทรกกลาง…จบลงด้วยการบาดเจ็บฝ่ายเดียว ครั้งนี้ ข้าจะถอยหลังอย่างสง่างามมิใช่เพื่อแพ้ แต่เพื่อวางหมากตนเองหากเขารักนางนัก…ข้าจะสนับสนุนให้ถึงที่สุดจะช่วยให้ทั้งคู่ได้สมรักโดยไร้สิ่งใดขวางกั้นและเมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะได้ยิ้ม…โดยไม่หลงเหลือแม้เศษเสี้ยวหัวใจไว้ให้เขาอีกเลยบทนำเรื่องราวระหว่างเขากับข้า…เห็นทีว่าครานี้จะเป็นชาติที่สามแล้วกระ