“ใช่ อร่อย แซ่บมาก รสชาติยำร้านนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริงๆ” ใช่ว่าจะมีเพียงเบญจาเท่านั้นที่ชอบ แสงจันทร์เองก็ชอบมากเช่นกัน ทุกครั้งที่มีโอกาสก็จะแวะไปกินจนกลายเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว
“เธอจะแต่งงานกับคุณหนึ่งเมื่อไหร่” แค่กๆ “เอ้า! ถามแค่นี้ถึงกับสำลักเลยเหรอ” แสงจันทร์หน้าตาเหลอหลาเพราะไม่คิดว่าคำถามง่ายๆ จะทำให้เพื่อนสำลักจนหน้าตาแดงก่ำไปหมดแล้ว “ยังไม่เคยคิดเรื่องนั้น” เบญจาบอกปัดก่อนจะไอออกมาอีกครั้งสองครั้ง “คิดได้แล้ว คนดีๆ แบบคุณหนึ่งเธอไม่ควรปล่อยให้หลุดมือไปนะ” “เรื่องแบบนี้มันตบมือข้างเดียวดังที่ไหน ต่อให้ฉันอยากแต่งงานแต่ถ้าคุณหนึ่งไม่อยากแต่งก็คงไปบังคับอะไรเขาไม่ได้” ที่เบญจาไม่กล้าคิดไกลเพราะความสัมพันธ์ของเธอกับอังกูรยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็คงไม่ผิด เพราะงานทำให้เธอกับเขาได้เจอกันจากนั้นชายหนุ่มก็เข้ามาทำความรู้จักหรืออีกอย่างก็คือจีบ “แล้วเธอจะคบไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอ” “ถ้าในตอนนี้ก็ต้องเป็นแบบนั้น อย่างที่ฉันเคยบอกไปนั่นแหละว่าทุกอย่างมันพึ่งเริ่มต้น ฉันขอทำทุกอย่างให้ดีที่สุดผลจะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน” “ฉันเอาใจช่วย” แสงจันทร์ส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้เพื่อนรักซึ่งนั่นทำให้เบญจาใจฟู “แล้วเอยละ เมื่อไหร่จะเลิกโสด” “ถ้าเจอผู้ชายเพอร์เฟคแบบคุณหนึ่งเมื่อไหร่ฉันก็คงจะเลิกโสดเมื่อนั้น แถมจะจับให้อยู่หมัดอีกด้วย” สีหน้าและแววตาของแสงจันทร์นั้นจริงจังเพราะเธอคิดจะทำอย่างที่พูดจริงๆ “ถ้างั้นฉันก็ขอให้เอยเจอผู้ชายแบบคุณหนึ่งเร็วๆ” เบญจาอวยพรเพื่อนสนิทโดยไม่ได้คิดอะไร ซึ่งแสงจันทร์ก็นั่งยิ้มกับพรที่ได้รับ ก่อนที่ความรักของเบญจาจะทำให้เธออิจฉาจนตาร้อนผ่าว ยิ่งเห็นเพื่อนรักมีความสุขจนล้นแบบนี้เธอก็อยากมีบ้าง อยากมีถึงขั้นอยากแย่งชิง แต่ไม่กี่นาทีต่อมาแสงจันทร์ก็อารมณ์เสียอย่างหนัก เพราะจู่ๆ มีตารางบินด่วนแทรกเข้ามาทำให้เธอต้องกลับทำงานอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธออยากลาออกให้มันรู้แล้วรู้รอดแต่ถ้าตกงานในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ที่สำคัญเธอยังไม่รวยเพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ความอดทนเข้าสู้ เมื่อส่งแสงจันทร์เสร็จเบญจาก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อจะอาบน้ำพักผ่อน แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้ง โดยคราวนี้ชื่อที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอก็ทำเอาเบญจายืนนิ่งพร้อมสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ จากนั้นจึงกดรับสาย “ค่ะคุณปู่” “วันหยุดนี้แวะมากินมื้อเที่ยงกับปู่หน่อยได้ไหม” แม้จะใช้คำว่าแวะแต่เอาเข้าจริงๆ ตอนนี้ระยะทางจากบ้านของทั้งคู่ก็อยู่ไกลกันสองร้อยกว่ากิโลเมตร เพราะเบญจาอยู่กรุงเทพฯ ในขณะที่นพพลใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่วังน้ำเขียว บ้านเกิด “ได้ค่ะ ว่าแต่วันนี้ทำไมคุณปู่นอนดึกจังคะ” นั่นเพราะเวลานี้ในตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้วนั่นเอง “มีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อย คิดไปคิดมาก็กลายเป็นว่านอนไม่หลับ นี่แหละคนแก่” “คุณปู่ก็ ทำไมชอบพูดว่าตัวเองแก่อยู่เรื่อยเลยค่ะ” “ก็ปู่แก่แล้วจริงๆ อีกไม่กี่ปีก็เจ็ดสิบแล้วนะ” “ไม่แก่ค่ะ คุณปู่ต้องท่องไว้ว่าไม่แก่” นี่คือประโยคที่เบญจามักจะพูดกับปู่เสมอๆ ราวกับต้องการปลุกใจอีกฝ่ายให้ฮึกเหิม เวลานี้เธอเหลือญาติเพียงคนเดียวนั่นคือผู้เป็นปู่ ส่วนพ่อเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนขณะที่แม่ก็เลือกที่จะไปแต่งงานและใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ นานๆ ถึงจะติดต่อเธอสักครั้ง “ไม่แก่ก็ไม่แก่” “พรุ่งนี้คุณปู่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ” “จะมาทำให้ปู่กินเหรอ” “ค่ะ ต่อให้หลิวจะทำอาหารไม่เก่งแต่ก็จะตั้งใจเต็มที่” ความตั้งใจของเบญจานั้นอีกฝ่ายสัมผัสมันได้ดีแต่ก็ต้องขัดเสียแต่ตอนนี้ “ไม่ดีกว่า ปู่กลัวไฟไหม้ครัวเหมือนครั้งก่อน” “คุณปู่ก็” เบญจายิ้มเขินที่ถูกจับได้ “พรุ่งนี้เจอกัน” “ค่ะ พรุ่งนี้เจอกัน” “ไม่ต้องขับรถเร็วนัก ปู่รอได้” “ค่ะ คุณปู่เข้านอนได้แล้วนะ ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจพรุ่งนี้หลิวจะรับฟังเอง” “อืม ขอบใจมาก” น้ำเสียงของนพพลเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดูหลานสาวเพียงคนเดียว จากนั้นก็กดวางสายทว่าสุดท้ายคนแก่ก็ยังคงนอนไม่หลับง่ายๆ เพราะในหัวยังสลัดเรื่องสำคัญบางเรื่องออกไปไม่ได้นั่นเองเบญจาและนพพลอยู่ที่ฟาร์มเกือบสองอาทิตย์กระทั่งได้เวลากลับเมืองไทย การมาพบเดวิสของเบญจาครั้งนี้ความรู้สึกช่างต่างจากครั้งแรก เธอมาหาเขาด้วยความคิดถึงไม่ได้มาหาด้วยความชังหน้าและอยากถอนหมั้น เวลานี้นอกจากไม่ถอนหมั้นแล้วเธอกับเขายังวางแผนเรื่องแต่งงานอีกด้วยค่ำคืนก่อนวันเดินทางกลับเมืองไทย เบญจานอนอยู่ในอ้อมกอดของเดวิส ทั้งคู่ออกมานั่งดื่มไวน์และมองดาวด้วยกันบนกองฟาง กระทั่งเห็นว่าดึกมากแล้วรวมถึงพรุ่งนี้เธอต้องเดินทางไกลจึงเอ่ยชวนกลับ ซึ่งเบญจาก็ทำตามที่เขาบอกทั้งๆ ที่มีบางอย่างในใจแย้“หลิวคงนอนไม่หลับ”“ผมก็ด้วย” เสียงทุ้มที่ฟังดูจะแหบพร่าของเดวิสเอ่ยบอก เบญจาเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นอย่างขบคิด เธอยังไม่อยากกลับไปนอนจริงๆแต่ถึงอย่างนั้น เบญจาก็เดินตามเดวิสมาเงียบๆ กระทั่งถึงหน้าประตูห้องจากนั้นทั้งคู่ก็เอ่ยราตรีสวัสดิ์กันและกัน เดวิสส่งยิ้มให้คนรักแล้วเดินกลับไปที่ห้องนอนตัวเองโดยที่เบญจาเองก็มองตามเขาตลอด ทว่าจังหวะที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูเขาก็เปลี่ยนใจแล้วเดินย้อนกลับไปที่ห้องของเบญจา เม
อังกูรต้องเดินทางไปเวียดนามเร็วกว่ากำหนดเพราะที่นั่นมีปัญหารอให้ชายหนุ่มต้องสะสาง โดยปัญหาทั้งหมดช้องมาศเป็นคนสร้างขึ้นทั้งสิ้น นั่นก็เพื่อให้ดึงให้ลูกชายออกห่างจากแสงจันทร์เร็วที่สุด พอไปถึงอังกูรก็จะยุ่งจนหัวหมุนจะไม่มีเวลาติดต่อกับแสงจันทร์แน่นอนซึ่งแผนของช้องมาศก็กำลังไปได้สวยทีเดียว ความรักของอังกูลและแสงจันทร์กำลังส่อแววล่มเพราะระยะทางที่ไกลกัน เวลาไม่ตรงกัน รวมถึงผู้ใหญ่ไม่ปลื้มแถมคอยสร้างเรื่องบั่นทอนความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เรื่อยๆ ส่วนแสงจันทร์ก็แพ้ท้องอย่างหนักแพ้จนหงุดหงิดไปเสียทุกอย่างสำหรับช้องมาศแล้วในเมื่อไม่ชอบว่าที่สะใภ้อย่างแสงจันทร์ก็พร้อมกำจัด ขณะนั้นก็เสาะแสวงหาว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ ผู้หญิงที่คู่ควรกับอังกูรทุกระเบียบนิ้ว ผู้หญิงที่โปรไฟล์ดี ครอบครัวดี ฐานะดี การศึกษาดี ทุกอย่างเพอร์เฟค ผู้หญิงแบบนั้นต่างหากถึงจะคู่ควรกับลูกชายของเธอ ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าหวังมาแค่เกาะสูบเลือดสูบเนื้อโดยไม่รู้ว่าระหว่างนั้นอายุครรภ์ของแสงจันทร์ก็ค่อยๆ มากขึ้น เธอแบกหน้าไปฝากครรภ์ไม่ใช่เพราะรักหรือเป็นห่วงลูกในท้องแต่เพราะผลประโยชน์บางอย่างในใจมากก
“ยังครับ”“เอ้า! ลูกคนนี้นี่” โรซี่ส่ายหน้าให้ลูกชายที่ใจเย็นเป็นน้ำแข็ง ได้แต่ภาวนาขอให้ความรักของเดวิสและเบญจาสวยงามเหมือนแสงแดดยามเช้า ทั้งคู่รับรู้เรื่องการหมั้นหมายอย่างกะทันหันอาจต้องการเวลาเพื่อศึกษาอีกฝ่าย หากมั่นใจมากพอความรักก็คงงอกงามส่วนอีกคู่ก็พยายามเปิดตัวสุดฤทธิ์ แม้จะพึ่งคบหากันได้แค่ไม่กี่เดือนแต่แสงจันทร์ก็ออกหน้าออกตา รบเร้าอังกูรให้พาเธอไปพบครอบครัวและก็ทำได้สำเร็จ เพราะชายหนุ่มรับปากกว่าพรุ่งนี้จะพาไป นั่นทำให้แสงจันทร์ชวนคนรักออกไปฉลองล่วงหน้า“คุณแม่” อังกูรอุทานออกมานั่นเพราะไม่คิดว่าจะบังเอิญพบมารดาที่ร้านอาหาร“มากินข้าวเหรอหนึ่ง”“ครับ”“แล้วนั่นมากับใคร หน้าไม่คุ้นไม่ใช่หนูหลิวนี่” ช้องมาศมองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ลูกชายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แม้จะไม่พอใจแต่แสงจันทร์ก็ยังคงยิ้มแย้มก่อนจะยกมือไหว้ทักทายพร้อมแนะนำตัว“สวัสดีค่ะคุณแม่ หนูชื่อแสงจันทร์ค่ะ”“ใครถามหล่อน” น้ำเสียงและประโยคดุดันของ  
“อ้อ…เชิญเข้าบ้านก่อนค่ะ” เบญจาผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเข้าบ้าน แม้ไม่ทันตั้งตัวที่จู่ๆ เดวิสก็มาหาถึงที่บ้านเช่นนี้แต่เบญจาก็เก็บอาการได้เป็นอย่างดี“คุณสบายดีหรือเปล่า”“สบายขึ้นค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้คุยด้วยหลายวัน พอดีฉันยุ่งๆ กับงาน” ตอนนี้เบญจาทำใจเรื่องอังกูรและ แสงจันทร์ได้มากแล้ว เรื่องงานแม้จะมีปัญหาแต่ก็ผ่านมันไปได้ส่วนเรื่องเขาเธอยอมรับว่ายังไม่รู้วิธีรับมือ เพราะแบบนั้นจึงเลี่ยงที่จะพูดคุยหรือเจอหน้าแม้จะมั่นใจว่าไม่ได้คิดอะไรกับเดวิส แต่มื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงก็อดที่จะสับสนไม่ได้ พอสับสนสมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เขาบอกรักลามไปจนถึงจูบแรก ก่อนจะปัดตกความคิดเหล่านั้นแล้วบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอยังไม่พร้อมจะรักใครในตอนนี้ ความรักของเธอมันห่วยมันแย่ เธอไม่ต้องการเจอเหตุการณ์เลวร้ายอย่างที่อังกูรและ แสงจันทร์ทำไว้อีก“ผมจะมาบอกว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว” ประโยคที่ได้ยินทำเอาเบญจาอึ้งไปอีกหน ทั้งๆ ที่ไม่พ
“คำว่าเพื่อนของเรามันคืออะไร”“นี่ๆ ฟังแล้วก็ช่วยตาสว่างได้แล้วนะจ๊ะ เมื่อก่อนฉันคิดกับเธอแบบเพื่อนจริงๆ เป็นห่วงเป็นใยเพื่อนที่แสนดีของเธอไง แต่พอเธอมีแฟนฉันก็อิจฉาจนอยากได้”“บ้า ตรรกะวิบัติ ว่างๆ ก็ช่วยไปเช็กประสาทหน่อยนะ ฉันสงสารคนที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ” พูดจบเบญจาก็สะบัดหน้าใส่แสงจันทร์ ไม่เท่านั้นยังปิดประตูรั้วใส่ดังปังก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างไม่สนใจส่วนแสงจันทร์ยืนกัดฟันกรอดๆ ของพวกนี้เธอไม่ต้องกลับมาเอาก็ยังได้แต่ที่ยอมเสียเวลาแวะมาก็เพราะอยากมาเยาะเย้ยเบญจา ไม่คิดว่าเธอจะถูกเบญจาสวนกลับ น่าโมโหชะมัดเบญจาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาในห้องรับแขกแล้วยกมือขึ้นคลึงระหว่างคิ้วที่เวลานี้ปวดตุบๆ เมื่อไหร่เรื่องบ้าๆ พวกนี้จะจบลงเสียที เธอเหนื่อยและเบื่อจนอยากหนีไปให้ไกล แต่จะไปไหนได้ในเมื่อมีงานต้องรับผิดชอบ พอตั้งสติได้เบญจาก็เข้าออฟฟิศแวะไปโกดังเลี้ยงข้าวลูกน้องแม้เพื่อนเพียงคนเดียวของเธอทำร้ายเธอจนเจ็บปางตาย แต่พนักงานทุกคนกลับส่งยิ้มให้เธอ ภาพที่เห็นท
“อ้อ…เมื่อกี้เหมือนฉันจะเห็นร้านบะหมี่อยู่ข้างๆ ร้านสะดวกซื้อ เราไปกินกันไหมคะ เพราะตอนนี้ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน” เอ่ยบอกเสร็จก็ส่งยิ้มให้เขา แม้จะยิ้มไม่สดใสเหมือนเดิมอย่างน้อยรอยยิ้มนี้ก็สลัดความทุกข์ออกไปจากความรู้สึกของเบญจาได้พอสมควร“ครับ” เดวิสเอ่ยรับ ทั้งคู่นั่งกินก๋วยเตี๋ยวกันคนละชามก่อนที่เดวิดจะอาสาไปส่งเธอที่บ้านซึ่งเบญจาก็บอกเส้นทางให้ ขณะนั่งรถอยู่นั้นเธอก็อดที่จะทึ่งกับทักษะการขับรถที่ดีเยี่ยมเกินคาดของอีกคนมาก ออกเดินทางมาได้ครู่ใหญ่ก็ถึงบ้านของเบญจา“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง ขอบคุณความบังเอิญที่คุณไปเจอฉันแล้วช่วยดึงสติไว้” เบญจาคิดว่าทุกอย่างระหว่างเธอกับเดวิสคือความบังเอิญเท่านั้น แต่ชายหนุ่มรู้ว่ามันไม่ใช่ความบังเอิญเขาตั้งใจตามหาเธอต่างหาก“ครับ”“ว่าแต่คืนนี้คุณพักที่ไหน” เบญจามีคำถามในหัวมากมายแต่ถ้าถามออกไปอีกฝ่ายจะคิดว่าเธอก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเปล่า เพราะคิดแบบนั้นเธอจึงได้แต่เก็บคำถามไว้“โรงแรม...ครับ”“จากบ้านฉันไปก