อี้หมิงได้นำเอาเม็ดถั่วเขียวออกมาจากถุงผ้า นางนำไปแช่น้ำปล่อยทิ้งข้ามคืนไว้ แล้ววันพรุ่งจึงจะจำนำออกมาเพาะ เมื่อจัดการทำถั่วเขียวเสร็จ สาวน้อยและมารดาได้นำเอาพริกที่มีทั้งเม็ดที่เน่าเสีย และช้ำ ซึ่งเป็นเม็ดที่แก่แล้วภายในอัดแน่นไปด้วยเมล็ดพริกเต็มเม็ด มาค่อย ๆ ใช้มีดกรีดทีละเม็ด แล้วใส่ในกระด้ง นางตั้งใจจะนำเมล็ดพริกแก่เหล่านี้ออกมาผึ่งตากแดดทำให้แห้ง แล้วจะนำไปเพาะต่อไปนั่นเอง
ซึ่งวันนี้เธอกับเฟิน เฟิน หลังจากถอนหญ้าที่รกปกคลุมพื้นที่ว่างขนาดเล็กหลังเรือนเล็กเสร็จ ทั้งสองก็ลงมือพรวนดิน โดยอี้หมิงบอกกับเฟิน เฟิน ว่า มันคือขั้นตอนของการเตรียมดิน โดยขุดดินที่อยู่ด้านล่างขึ้นมาพรวนตากแดดไว้ก่อน เป็นการพลิกให้หน้าดินที่อยู่ด้านบนลงไปอยู่ด้านล่าง แล้วใช้ไม้เเหลมเสียบๆ จนพรุนลงไปเป็นการเพิ่มพื้นที่ช่วยทำให้ดินไม่จับกันเป็นก้อนใหญ่ ดินจะได้โปร่ง จะได้มีช่องว่างให้น้ำและอากาศแทรกเข้าไปพอเหมาะ ทำให้ดินมีความเป็นกรดและด่างที่พอดี เป็นการช่วยให้รากของต้นพืชที่จะปลูกชอนชัยหาอาหารได้ดี และที่สำคัญเป็นการฆ่าเชื้อโรคให้กับดินไปในตัวอีกด้วย พืชที่ปลูกจะได้โตเร็ว ๆ “โอ้โห!!! พี่หมิงอี้ พี่ไปเอามาจากไหนกัน ใครสอนเจ้ามารึ ครั้งก่อนที่พี่จะสลบไปเรายังเตร็ดแตร่เล่นกัน และยังแย่งอารหารกับคนเร่ร่อนในตลาดด้านกะโน้นอยู่เลยนะ ไม่ยักกะรู้ว่าพี่จะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย” เฟิน เฟิน ถามอย่างประหลาดใจ ด้านอี้หมิงไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มให้เฟิน เฟิน แล้วลงมือใช้ไม้ไผ่ปลายแหลมเสียบลงดินต่อไปเรื่อย ๆ ” อ่ะ หมิงอี้พริกเสร็จแล้ว “อี้เฟินเอ่ยบอกลูกสาวที่นับวันยิ่งแปลกประหลาด หมิงอี้คนเดิมเคยสนใจงานการเกษตรเสียที่ไหน แม้แต่เธอเองยังไม่มีความรู้ด้านนี้เลย อี้เฟินส่ายหน้ากับความคิดตนเอง ” ดีเลย ต่อไปก็มะเขือเทศ “ “อ่ะ นี่” อี้เฟินยกตะกร้าที่ใส่มะเขือเทศที่บางลูกบ้างก็ช้ำ บางลูกก็เน่าไปแล้วครึ่งซีก มาวางตรงหน้า อี้หมิงเลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วใช้มีดกรีดลงไปแบะเนื้อออกแล้วคว้านเอาแต่เมล็ดเหลืองๆ ออกมา “เราจะะเอาเมล็ดมะเขือเทศนี่ไปตากแดดเหมือนพริก จะได้ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์ได้” อี้หมิงอธิบายกับอี้เฟิน “อ่อ ข้าเข้าใจเเล้วล่ะ” ทั้งสองช่วยกันลงมือพลางพูดคุยสัพเพเหระกัน จนในที่สุดก็ได้เมล็ดพันธุ์ออกมา สองแม่ลูกช่วยกันยกกระด้งที่มีเมล็ดพริก และมะเขือเทศที่แผ่กระจายเต็มกระด้งอยู่ ออกไปตากแดดยังลานเล็กหน้าบ้าน เมื่อเสร็จแล้วอี้หมิงก็วกมาหอบยกเอาใบผักทั้งหลายที่มารดาได้มา ไปวางทิ้งไว้ในแปลงผักเพื่อที่จะให้หมักและทำเป็นปุ๋ยธรรมชาติต่อไป ส่วนผักบุ้งบัดนี้ถูกนำมาชำแช่อยู่ในน้ำเป็นที่เรียบร้อย รอเพียงตากหน้าดินเสร็จเท่านั้น “หมิงอี้ ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจะได้มาทานข้าวกัน “ อี้เฟินตะโกนบอกลูกสาว วันนี้นางไปรับจ้างล้างจานในโรงเตี๊ยมในตลาดมาได้ค่าตอบแทนเป็นแป้งสาลี แถมยังได้หมูจากอู๋ไป๋ที่ใจดีแบ่งมาให้อีก วันนี้นางจึงจะทำเมนูที่ลูกสาวนางโปรดปรานที่นาน ๆ ได้ทำที เดิมสมัยที่อยู่แคว้นเหลียง นางพลันนึกย้อนไปถึงสมัยที่หลายปีก่อนที่ นางเติมโตในตระกูลขุนนางใหญ่ เมื่อเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นก็ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งที่สาว ๆ ทั้งเมืองใฝ่ฝัน มีลูกสาวน่ารัก มีสามีที่ดี แต่แล้วราชสำนักเกิดระส่ำระส่าย บ้านเมืองเกิดสงครามทำให้ครอบครัวแตกแยก สามีนางรึ แม้แต่ศพก็หาไม่พบ นางและคนของนางต่างพลัดหลงแตกจากกัน มีเพียงนางและลูกสาวที่โดนกวาดต้อนมายังแคว้นต้าหลี่แห่งนี้ จากชีวิตอันแสนสุขสบายกลับต้องตาลปัตร ระหกระเหินกระเสือกกระสนทำงานงานแลกข้าว เพื่อประทังชีวิตของลูกน้อยและตัวนางเอง เมื่อนึกย้อนอดีตใบหน้าที่คล้อยตามกาลเวลาแต่ยังคงเหลือเค้าโครงความงามอยู่ก็พลันน้ำตารื้นขึ้นมา อี้เฟินถอนหายใจอย่างปลงตกกับโชคชะตาแล้วลงมือทำอาหารต่อ วันนี้นางตั้งใจทำเกี๊ยวทอด ส่วนผสมถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย มือที่เริ่มเหี่ยวจุ่มมือลงไปในน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ เเขนเสื้อถูกพันเลิกขึ้นเพื่อสะดวกแก่การปรุงอาหาร เริ่มต้นด้วยการนำหมูมาหั่น จากนั่นก็ลงมือสับหมูหยาบ ๆ จนเกิดเป็นเสียงมีดที่กระทบกับเขียงไม้เป็นจังหวะ “ปุก ปุก!!” เมื่อได้หมูสับที่ต้องการ ก็เอื้อมมือหยิบเต้าหู้ที่เหลือมาซอยหั่น ๆ เป็นชิ้นเล็กเต๋าอย่างชำนาญมีด ต่อด้วยซอยสับต้นหอมที่เก็บจากผักที่ร้านเหลือทิ้ง น้ำหมูสับ ตามด้วยเต้าหู้ และหอมซอยเทผสมลงในชามไม้ใหญ่ ใช้มือปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน เมื่อทั้งสามอย่างผสมเข้าที่แล้ว ขึงหยิบแป้งที่เตรียมไว้ค่อยๆ โรยและคลุกเคล้าไปมาจนได้เป็นก้อนแป้งกลมขาดไม่ใหญ่มาก มือค่อย ๆ หยิบแบ่งก้อนออกมาขนาดพอดี นวดคลึงไปมากับมือจนเป็นก้อนกลม ๆ แล้ววางบนไม้ขนาดสี่เหลี่ยม นวดแบออกเป็นแผ่น ๆ ขนาดพอดี ตอนนี้กระทะเหล็กที่ตั้งไว้กำลังร้อนพอดี จนเกิดเป็นเสียงเดือด” ปุด ปุด “นางคุมไฟไม่ให้แรงมาก เมื่อเห็นว่าน้ำมันร้อนได้ที่ก็หล่นแผ่นแป้งลงไปทอด เกิดเป็นเสียง “ฟู่ ฟู่ “เกิดกลิ่นหอมจากการทอดลอยฟรุ้งหอมไปทั่วบ้าน ” อึก! “อี้หมิงกลืนน้ำลาย จากกลิ่นอาหารที่หอมยั่วยวนกระเพาะน้อย ๆ ของเธอ หลายวันตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ได้กินแต่ข้าวต้มกับผักมาตลอด แต่ข้าวต้มที่นางกินแม่น่าตาธรรมดาแต่รสชาตินั่นหาได้ธรรมดาไม่ มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของข้าวและน้ำซุปที่หวานกลมกล่อมกำลังดี จนอดชมในใจไม่ได้ว่าแม่นางในชาตินี้ก็ทำอาหารได้อร่อยเหมือนแม่ของเธอไม่น้อย คิดแล้วก็ทำให้คิดถึงพ่อกับแม่ที่เธอจากมา ป่านนี้จะเป็นเช่นไรบ้างหนอ จะคิดถึงนางกันบ้างไหมนะ ” หมิงอี้ นี่แม่ทำเกี๊ยวทอดที่เจ้าชอบ มาๆ ลูก มาทานกัน” อี้หมิงสะดุ้งออกจากภวังค์ที่กำลังคิดถึงบ้าน มองเกี๊ยวทอดตรงหน้าแล้วหยิบขึ้นชิมทันที “ค่อย ๆ นะลูก พึ่งทำเสร็จกำลังร้อน ๆ อยู่เลย” อี้เฟินบอกยิ้ม ๆ ” หื้มมม อร่อยย! “หลังกัดคำแรกแล้วเคี้ยว อี้หมิงตะลึงกับรสชาติที่ได้สัมผัส นางตาโตเคี้ยวตุ่ย ๆ มือก็ส่งเกี๊ยวทอดเข้าปากไม่หยุดอย่างเอร็ดอร่อย ไม่นานอาหารด้านหน้าก็หมดเกลี้ยง อี้เฟินมองลูกสาวที่กำลังเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยก็ยิ้มหายเหนื่อยจากการทำงานเป็นปลิดทิ้ง ขอแค่ลูกของนางกินอิ่มนอนหลับ ไม่ป่วย ไม่ไข้ เพียงเท่านี้นางก็มีความสุขมากแล้วล่ะ ” อื้มม อร่อยมากเลยทะท่านแม่ ฝีมือท่านไม่ธรรมดานะเนี่ย “อี้หมิงพูดหยอกเย้า ” อ่ะ อะ อร่อยก็กินเยอะ ๆ นะ ไว้ข้าจะทำให้กินใหม่นะอ่ะ “ เมื่อทานเรียบร้อยอี้หมิงจึงอาสาเก็บจานชามไปล้าง เมื่อเรียบร้อย สองแม่ลูกจึงได้แยกย้ายกันเข้านอนสู่นิทราหลังจากดหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
หมิงอี้ที่วิ่งมาถึงโรงเรือนก่อนก็รีบเปิดประตูอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นที่จะให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาไข่มุกที่ตนเองลงมือทำ“โอ๊ะ นี่ลืมไปเสียสนิท” หมิงอี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังขาดบางอย่างที่สำคัญไป และสำคัญอีกด้วยจึงหันไปหมายจะใช้ลู่อินที่เธอนั้นเรียกให้ตามมาดูในสิ่งที่เธอทำแฮ่ก ๆลู่อินที่มาถึงก็มีอาการเหนื่อยหอบเพราะตนนั้นกลัวเจ้านายจะเกิดหกล้มจึงเร่งวิ่งให้ทันเถ้าแก่สาว ‘หือ กลิ่นหอม ๆ หวาน ๆ นี่มันอะไรกัน’ ลู่อินสูดจมูกดมกลิ่นที่ไม่ค่อยคุ้นเสียเท่าไหร่พร้อมทั้งมองซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของกลิ่นประหลาด ของหวานหรือขนมเช่นนั้นหรือ“ลู่อิน น้ำแข็งที่ซื้อเก็บไว้ใต้เรือนครั้งก่อนยังเหลืออยู่ใช่รึไม่”“ยังพอเหลืออยู่เจ้าค่ะ น่าจะเหลือใช้ถึงหน้าหนาวที่จะมาเลยแหละเจ้าค่ะ” ลู่อินตอบและนึกทึ่งที่เถ้าแก่ตนคิดรอบคอบครั้งก่อนนำคนงานออกไปตัดน้ำแข็งมาเก็บไว้ใต้เรือนทำให้หน้าร้อนทั้งร้านเทียนฝูก็มีน้ำแข็งเย็น ๆ พอดับกระหายร้อน“อืมเช่นนั้นเจ้าไปเอามาให้ข้าที อ่อลู่อินทุบ ๆ ให้แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ มาให้ข้าด้วยนะ อืมลู่อินไปตามคนที่พอว่างงานมาอีกสักคนเถิดแล้วเอาถ้วยชามาให้ข้าทีขอมากหน่อยนะ” หมิงอี้ที่กำลังริ
คิดเช่นนั้นหมิงอี้ก็เปลี่ยนคิดทางการเดินมุ่งตรงไปยังโรงเรือนที่ตนใช้คลุกตัวคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ มือบางเปิดประตูไม้อย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ แขนเสื้อกว้างถูกนำเชือกมามัดก่อนจะนำมาคล้องคอเพื้อไม่ให้เกะกะการทำชาไข่มุกในครั้งนี้ของตน ดวงตาเปล่งประกายตื่นเต้นเมื่อคิดไปถึงรสชาติแปลกใหม่ที่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกนั้นจะได้ลิ้มรสกัน“เอาล่ะชาไข่มุกในโลกอนาคตจะมาเสิร์ฟให้ทุกท่านได้ชิมแล้วนะบัดนี้ ฮ่า ๆ” มือบางปัดกันไปมาก่อนลงมือทำ“อยู่นี่ไง อืมยังพอเหลืออยู่แค่นี้ก็ได้” หมิงอี้ก้มลงหยิบแป้งข้าวเหนียวสีขาวออกมา พอดีกับน้ำอุ่นที่เธอมักอุ่นไฟไว้ชงชาถูกนำมาผสมเทผสม สองมือขาวเนียนละเอียดค่อย ๆ นวดแป้งไปมาจนน้ำแลแป้งเข้ากันเหนียวหนึบเป็นเนื้อเดียวกันจนได้เป็นก้อนขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไปออกมาก้อนหนึ่ง หมิงอี้มองดูก้อนแป้งที่ตนนั้นได้ออกมาหลังจากนวดไปมาอยู่สักพักแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่สีมันดูจืดชืดไปกระมังเช่นนั้น“อืม เอาอย่างนี้แล้วกันใส่ ๆ ไปหากอร่อยจะได้ทำขายไม่แน่เพื่อคนยุคนี้ชอบ ฮึ ๆ” หมิงอี้หยิบผลอิงเถาจากจานที่มารดามักนำมาวางไว้ในเธอเมื่อเห็นว่าเธอชื่นชอบมัน ขึ
“อะฮึ่ม” เฉิงอึ้ครั้นเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดก็พลันชิงกระแอมขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฮุ่ยเหอที่เตรียมทำความเคารพเขาหน้าตาตื่นนั้นต้องชะงัก พร้อมทั้งเปลี่ยนทีท่าในทันที เพียงเห็นท่าทีขององค์รัชทายาทเฉิงอี้เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้คนที่รายล้อมพระองค์อยู่ในบัดนี้ไม่ร็สถานะแท้จริงของพระองค์ โดยหาร็ไม่ว่าเฉิงอี้นั้นหาได้ปกปิดฐานะตนกับเจ้าของร้านเทียนฝูแห่งนี้ไม่ อีกทั้งเปิดเผยแล้วหมิงอี้นางยังไม่มีทีท่าจะสนใจซ้ำจะปีนป่ายขึ้นมาเคียงข้างเจ้าของตำหนักบูรพาเฉกเช่นเขาไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองฉฺงอี้ก็สงสัยอยู๋ไม่น้อยใต้หล้านี้ผู้ใดไม่หมายตาตำแหน่งพระชายาของเขากัน เห็นแต่มีเพียงนางที่ยังเห็นเขานั้นเป็นสหายเฉกเช่นสหายผู้อื่นของนาง เห็นได้ชัดว่าเขานั้นมากความสามารถแลมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใดไม่ เขาย่อมมั่นใจ! ว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้นกับนางเป็นแน่“อ้าว ท่านผู้ตรวจการก็มารับผักในวันนี้งั้นรึ ได้จองไว้รึไม่เล่าฮึ” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบผู้คนเริ่มซุบซิบนินทากันไปใหญ่จนเกิดเสียงดังเซ็งซ่ขึ้น“อะเอ่อปะเปล่าพ่ะ เอ่อ ข้า ฮึ่มเพียงมาดูความสงบ อะฮึ่ม” เป็นฮุ่ยเหอที่จู่ ๆ ก็เกิดลิ้นเ
บรรยายกาศครึกครื้นของอีกฝั่งเมือง ในขณะที่บัดนี้ในตลาดที่เคยคึกคักของเมืองหลวงกลับเงียบเหงาสร้างความประหลาดใจให้กับขุนนางแลทหารที่ลาดตะเวนตรวจตราความเรียบร้อยเป็นประจำของเมืองเป็นยิ่งนักจน“พวกเจ้าไปตรวจดูเสียหน่อย นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่” ฮุ่ยเหอผู้ตรวจการประจำสำหนักของศาลต้าหลี่ยืนนิ่งทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของตลาดอย่างใคร่สงสัย มือใหญ่กำกระบี่ที่คาดอยู่ข้างเอวแน่น ในใจรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอันมาก แต่เพียงครู่ก็มีเสียงของหนึ่งในทหารที่ร่วมลาดตะเวนด้วยกันเอ่ยขึ้นให้เขาได้ประจักษ์แจ้งถึงเหตุประหลาดในวันนี้“ผู้ตรวจการขอรับ วันนี้ร้านเทียนฝูเปิดขายผักสลัดไร้ดินวันแรกผู้คนที่ลงชื่อสั่งไว้จึงเดินทางไปรับผักกันขอรับ หนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินของข้ารวมอยู่ด้วย นางตื่นมาแต่เช้าตรู่แลท่าทางดูตื่นเต้นยิ่งนักขอรับ”“เจ้าว่าเช่นไรนะ ผักไร้ดิน ปลูกผักจะไม่ใช้ดินได้เช่นไรกันเล่า เกรงว่าคงโนหลอกกันแล้วกระมัง ไม่ได้! หากเป็นเช่นนั้นจะปล่อยให้มีการหลอกลวงชาวเมืองเฉกเช่นนี้ได้อย่างไรกันอีกอย่างร้านเทียนฝูนั้นใช้เวลาไม่นานก็รุ่งเรืองขึ้นอย่างน่าประหลาดใจจากหมู่บ้านคนอพยพแร้นแคลนจู่ ๆ กลับมีอยู่มีกินซ้ำรุ
“อะอ้าว องค์...เอ่อเฉิงอี้ข้าไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะมา” หมิงอี้เผลอหลุดยิ้มกว้างออกมา“เหตุใดโอกาสดีเช่นนี้ข้าจะไม่มาร่วมยินดีได้กันเล่า” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะเร่งหันไปมองสหายอีกคนของหมิงอี้เมื่อมีเสียงห้าวตะโกนเอ่ยทักทายของตนเสียงดัง ในน้ำเสียงนั้นเผยแววดีใจแลตื่นเต้น“เฉิงอี้! เจ้ามาก็ดีมาช่วยข้าเร็วเข้า ๆ ข้าไม่ไหวแล้วเนี่ย!” อู๋ไป๋โบกไม้โบกมือใหญ่เมื่อแลเห็นสหายอีกคน แม้เขาจะนึกไม่ชอบใจใบหน้าหล่อเหลาประดุจดั่งเทพเซียนนั้นของเขาเท่าใดแต่เวลาคับขันเช่นนี้เย่อหยิ่งไปแล้วได้สิ่งใดกัน“หมะ...อ้าวอู๋ไป๋ ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” อี้เฉิงที่ยกมือเตรียมทักทายหมิงอี้ที่วันนี้นางช่างดูงดงามอ่อนหวานแลน่าทะนุถนอมราวกระเบื้องเคลือบเป็นที่สุดนั้น ‘นับวันสตรีผู้นี้ยิ่งงามสินะ’ แต่เฉิงอี้ก็เพียงเก็บคำกล่าวนี้ในใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายเมื่อจำต้องไปช่วยสหายอีกคนเช่นอู๋ไป๋ที่ดูท่าแล้วคงสุดแล้วแต่กำลังจริง ๆ กระมังถึงได้เอ่ยขอร้องเช่นนี้ “หมิงอี้ไว้ข้ามาพูดคุยด้วย ขอตัวเพียงครู่ไปช่วยฝั่งนั้นก่อนแล้วกัน หึ ๆ” เฉิงอี้เอ่ยกับนางอย่างนึกเสียดาย พึ่งมาถึงพูดคุยยังไม่ถึงครึ่งประโยคก็ต้องคลาดกันเสียแล้ว อั
หนึ่งเดือนผ่านไปหมิงอี้เวลานี้ยืนยิ้มกริ่มมองดูบรรดาลูกค้าที่หลากฐานะยืนรอคิวต่อแถวกันยาวเหยียดแต่เช้าตรู่เมื่อถึงกำหนดวันที่ผักที่พวกเขาสั่งจองหวังลิ้มลองนั้นได้นำออกมาวางขายในเวลานี้ ซึ่งสโลแกนที่หมิงอี้เสริมเข้าไปเป็นโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขายนั้นคือ ‘ดึงถอนสด ๆ ราวกับลูกค้ามาปลูกเอง’ และทันทีที่ปล่อยโฆษณานี้ออกไปปรากฏว่าหมิงอี้นั้นได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว มากจนเกินกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก~นี่พวกเจ้าอย่าเบียดเข้ามาสิ ~~ก็ข้าอยากเห็นแล้วนี่นา นะนั่นดูสิ ๆ เจ้าของร้านนางมาแล้วล่ะ~~มาแล้ว ๆ นางมาแล้ว ข้าตื่นเต้นนักเชียวในที่สุดก็มาถึง ข้าอยากชิมเสียแล้วล่ะ โน่น ๆ ดูสิ ๆ ข้ามองเห็นผัก โอ้โหนั่น ๆ ผักเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ล่ะ~~ฮ่า ๆ เจ้านี่ทึ่มเสียจริงเลย ฮึ ๆ นางปลูกในกระบอกไม้ไผ่ต่างหากเล่าหาใช่เกิดในไม้ไผ่เสียที่ใดกัน~~เหมือนกันแหละหน่า...~แปะ ๆ ๆ ๆ“อ้าว ๆ พ่อแม่พี่น้อง พี่ ป้า น๊า อา เงียบ ๆ ก่อนนะจ๊ะ ได้ทุกคนจ๊ะ ผักมีเยอะนักเชียว ใครมาก่อนอยู่ด้านหน้ามาช้าอยู่ด้านหลัง ต่อแถวกันเช่นนี้จะได้ผักเร็ว ๆ แล้วกลับบ้านไปกินให้อร่อย ๆ ไงจ๊ะ อ้าว ๆ มา ๆ ท่านน้า ๆ ไหนข้าดูสิ โอ้นี่ลูก