หลังตื่นนอน หญิงสาวได้ช่วยอี้เฟินเก็บกวาด ทำอาหารและทานข้าวมื้อเช้าเสร็จ ก็เดินออกมาส่งนางที่ปากทางหมู่บ้านคนอพยพ เพื่อไปทำงานในตลาดที่อยู่อีกฝากของหมู่บ้าน
ไม่ใช่ว่าอี้หมิงไม่อยากช่วยแบ่งเบาภาระของนาง แต่นางขอไว้ด้วยความกลัวว่าจะโดนเจ้าพวกอันธพาลรังแกเหมือนรอบที่แล้ว ที่ลูกนางโดนตีเกือบตาย โดยที่จริงแล้วลูกของนางได้ตายไปแล้ว และอี้หมิงที่ตายในวันเดียวกันในโลกอนาคตจึง ได้มาเกิดแทนในร่างของเธอ โดยที่อี้เฟินนางเองก็ยังไม่รู้ว่าลูกนางได้ตายไปเสียแล้ว” พี่หมิงอี้”
” อ้าว เฟิน เฟิน ไปไหนมา”
ข้าไปในตลาดมา วันนี้ในตลาดเขาลือกันว่าฮ่องเต้จะเสด็จไปล่าสัตว์ในป่า ข้าเลยจะมาชวนพี่ไปดูขบวนเสด็จด้วยกัน
” ขบวนเสด็จหรอ”” อื้อ หึ “เฟิน เฟิน พยักหน้างึก ๆ
” ไปสิ “
อี้หมิงรู้สึกตื่นเต้น ดีเหมือนกันอยากเห็นด้วยตัวเองซักครั้ง จะว่าไปการที่ได้มาอยู่ตรงนี้ก็ตื่นเต้นดีเหมือนกันแฮะ!! พบเจอผู้คนที่แปลกตา การแต่งตัวที่ผิดแผกไปจากที่เธอเคยเจอ คำพูด การใช้ชีวิต ตอนนี้ถือว่าเธออยู่อย่างธรรมชาติสุด ๆ ไม่มีทีวีให้ดู ไม่มีห้างให้เดินเที่ยว ไม่มีโทรศัพท์ให้ไถเล่นโซเชียล แต่ก็ลำบากชะมัด!! อี้หมิงบ่นในใจ แล้วมิวายก้มลงมองอาภรณ์ที่ตนสวมอยู่ตอนนี้ เหอะ!! ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าเธอจะอยู่มาได้ แต่ก็คิดถึงบ้านชะมัดเลย“ป่ะ งั้นเราไปกัน” เฟิน เฟิน เอื้อนเอ่ยแล้วตรงมาเกี่ยวเเขนนางแล้ว ควงเเขนเดินตรงมุ่งหน้าไปอีกฝั่งของหมู่บ้าน
ครั้นเมื่อทั้งคู่เดินมาถึงก็แทบจะไม่มีที่ให้ได้ยืนแล้ว ผู้คนยืนเต็มไปหมดทั้งสองฝั่งของถนนอย่างหนาคับคั่ง อี้หมิงมองไปรอบ ๆ ตัวอย่างตื่นเต้น“เอ๊ะ เฟิน เฟิน ดูสิ! ทำไมสาว ๆ พวกนั่นแย่งกันออกมายืนด้านหน้ากันใหญ่เลย ดูสิ นู่นยาวถึงนู่นเลย ดูสิ ๆ แย่งกันใหญ่เลย”
อี้หมิงชี้ให้เฟิน เฟิน มองดูกลุ่มสาวงามที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์สวยงาม สีฉูดฉาด สวยงาม อย่างนึกฉงน
เฟิน เฟิน เหลียวมองตามที่อี้หมิงชี้ชวนให้ดู เห็นกลุ่มสาวๆ บางคนก็เบียดกันออกมาอยู่ด้านหน้าแถว ผลักแย่งไปมา ~นี่ ๆ ออกไปสิ ข้ามาก่อนนะ! นี่! จะมาบังข้าทำไมกัน~“โอ๊ะ!” เสียงอุทานตกใจของอี้หมิง
“นี่หลีกไปนะ!! เจ้าพวกขอทานสกปรก ชิ้ว ๆ ไป อย่ามายืนเกะกะคุณหนูข้า”
” พวกคนรวยนิสัยไม่ดี พี่หมิงอี้เป็นอย่างไรบ้าง”
” ข้าไม่เป็นไรๆ “อี้หมิงเอ่ยตอบ สองสาวถูกดันให้ออกมาอยู่ด้านหลังโดยปริยาย
~กุบกับ กุบกับ กุบกับ ย่ะ! ย่ะ! กุบกับ กุบบับ “เสียงวิ่งของม้าจำนวนมาก ที่มีชายแต่งกายด้วยชุดดำ พันใบหน้ามิดชิด ควบวิ่งเป็นขบวนออกมาจากพระราชวังเสียงวิ่งของม้าที่กระทบพื้นถนน เรียกเสียงฮือฮาจากผู้คนมากมาย สองสาวหันไปมองตามเสียงอย่างสนใจใคร่รู้
“นั่น องครักษ์พยัคฆ์เงาออกมาแล้ว”
เสียง เฟิน เฟิน กระโดด ชี้นิ้วบอกอี้หมิงให้มองตาม ไม่นานก็ปรากฎ บุรุษร่างกำยำสวมใส่อาภรณ์สีเลือดนกปักลวดลายด้วยด้ายสีทองอย่างประณีต ควบม้าเดินตามมาอย่างสง่างามอี้หมิงมองตามด้วยความตื่นเต้นแล้วอุทานในใจ ‘สมัยก่อนมีคนหล่อขนาดนี้ด้วยหรือนี่ นี่หล่อกว่าโอปปาที่เธอติ่งอีกนะเนี่ย’
“เฟิน เฟิน คนนั้นใครกัน” อี้หมิงถามร่างบางที่ยืนเขย่งมองอย่างใคร่รู้ “อ่อ ที่พี่หมิงอี้เห็น บุรุษรูปงามที่ควบม้าตามหลัง องครักษ์พยัคฆ์เงา คือ เฉินอ๋อง น้องชายของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไง คนที่เจ้าคลั่งใคร่ไง พี่หมิงอี้ลืมไปแล้วรึ นี่!อย่าบอกนะว่าพี่จำไม่ได้อีกแล้ว สลบไปไม่กี่วันก็เลอะเลือนแล้วจริง ๆ ด้วย""ขะข้าเนี่ยนะ ชอบเขา "อี้หมิงใช้นิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่เจ้าหมิงอี้ช่างหวังสูงเหมือนกันนะเนี่ย อี้หมิงคิดในใจ
“นั่น ๆ ชินอ๋อง กรี๊ดด พี่หมิงอี้ ท่านอ๋องรูปงามยิ่งนัก “
เฟิน เฟิน มีอาการดี๊ด๊าเมื่อบุรุษที่สวมชุดอาภรณ์สีอ่อนควบม้าสีขาวผ่านไป~ไท่จื่อ เสด็จ~ ทุกคนต่างนั่งหมอบลงไปกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงชุบซิบเซ็งแซ่เมื่อครู่เงียบหายราวเป่าสาก
“พี่หมิงอี้ พี่ นั่งลง ๆ เร็ว!” เฟิน เฟิน เงยหน้า ดึงกระตุกแขนเสื้อหมิงอี้ให้รีบนั่งลงก่อนที่ขบวนขององค์รัชทายาทจะเสด็จผ่านมา “อ่ะ โอเคร โอเค นั่งแล้วๆ” อี้หมิงค่อย ๆ นั่งลง ไม่นานก็มีขบวนทหารบ้างถือดาบใหญ่ บ้างก็ถือธง สวมใส่ชุดเกราะสีดำแดง เดินพร้อมเพรียงกันเป็นแถวยาว ในขณะที่อี้หมิงกำลังเงยมองขบวนเสด็จอย่างตื่นตาตื่นใจ ~พลิ้วว พลิ้วว~ พลันเกิดสายลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรปักลายงดงามที่ปิดคลุมหน้าต่างรถม้าอยู่ เลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างบังเอิญ ทำให้ร่างบางสามารถมองทะลุเข้าไปภายในรถม้าได้ ทันใดนั้นพลันสายตาก็ได้สบเข้ากับแววตาดุคมดั่งพญาเหยี่ยวของบุรุษที่นั่งด้านในรถม้าเข้าอย่างบังเอิญ แอ๊ะ!สายตาคมดุจเหยี่ยวนั่น!!~ตึก ตึก ตึก~
” หล่อมาก “เธออุทานออกมา ” พี่ว่ากะไรนะ “ ” ข้าเปล่าๆ “ เมื่อขบวนทหารกล้าผ่านไป ก็ตามมาด้วยขบวนบ่าวรับใช้ที่เดินขนาบข้างทั้งสองของรถม้าคันใหญ่ที่ประดับงดงามพิเศษเมื่อสิ้นสุดขบวน ท้องถนนก็กลับมาคึกคักเช่นดังเดิม
” อยากมีกล้องจริง ๆ จะได้เก็บไว้ไปอวดเพื่อน ๆ ซักหน่อย “
อี้หมิงบ่นในใจ …………..หมิงอี้ที่วิ่งมาถึงโรงเรือนก่อนก็รีบเปิดประตูอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้นที่จะให้ทุกคนได้ลิ้มรสชาไข่มุกที่ตนเองลงมือทำ“โอ๊ะ นี่ลืมไปเสียสนิท” หมิงอี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังขาดบางอย่างที่สำคัญไป และสำคัญอีกด้วยจึงหันไปหมายจะใช้ลู่อินที่เธอนั้นเรียกให้ตามมาดูในสิ่งที่เธอทำแฮ่ก ๆลู่อินที่มาถึงก็มีอาการเหนื่อยหอบเพราะตนนั้นกลัวเจ้านายจะเกิดหกล้มจึงเร่งวิ่งให้ทันเถ้าแก่สาว ‘หือ กลิ่นหอม ๆ หวาน ๆ นี่มันอะไรกัน’ ลู่อินสูดจมูกดมกลิ่นที่ไม่ค่อยคุ้นเสียเท่าไหร่พร้อมทั้งมองซ้ายแลขวาเพื่อหาต้นตอของกลิ่นประหลาด ของหวานหรือขนมเช่นนั้นหรือ“ลู่อิน น้ำแข็งที่ซื้อเก็บไว้ใต้เรือนครั้งก่อนยังเหลืออยู่ใช่รึไม่”“ยังพอเหลืออยู่เจ้าค่ะ น่าจะเหลือใช้ถึงหน้าหนาวที่จะมาเลยแหละเจ้าค่ะ” ลู่อินตอบและนึกทึ่งที่เถ้าแก่ตนคิดรอบคอบครั้งก่อนนำคนงานออกไปตัดน้ำแข็งมาเก็บไว้ใต้เรือนทำให้หน้าร้อนทั้งร้านเทียนฝูก็มีน้ำแข็งเย็น ๆ พอดับกระหายร้อน“อืมเช่นนั้นเจ้าไปเอามาให้ข้าที อ่อลู่อินทุบ ๆ ให้แตกเป็นก้อนเล็ก ๆ มาให้ข้าด้วยนะ อืมลู่อินไปตามคนที่พอว่างงานมาอีกสักคนเถิดแล้วเอาถ้วยชามาให้ข้าทีขอมากหน่อยนะ” หมิงอี้ที่กำลังริ
คิดเช่นนั้นหมิงอี้ก็เปลี่ยนคิดทางการเดินมุ่งตรงไปยังโรงเรือนที่ตนใช้คลุกตัวคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ มือบางเปิดประตูไม้อย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ แขนเสื้อกว้างถูกนำเชือกมามัดก่อนจะนำมาคล้องคอเพื้อไม่ให้เกะกะการทำชาไข่มุกในครั้งนี้ของตน ดวงตาเปล่งประกายตื่นเต้นเมื่อคิดไปถึงรสชาติแปลกใหม่ที่ผู้คนที่อยู่ด้านนอกนั้นจะได้ลิ้มรสกัน“เอาล่ะชาไข่มุกในโลกอนาคตจะมาเสิร์ฟให้ทุกท่านได้ชิมแล้วนะบัดนี้ ฮ่า ๆ” มือบางปัดกันไปมาก่อนลงมือทำ“อยู่นี่ไง อืมยังพอเหลืออยู่แค่นี้ก็ได้” หมิงอี้ก้มลงหยิบแป้งข้าวเหนียวสีขาวออกมา พอดีกับน้ำอุ่นที่เธอมักอุ่นไฟไว้ชงชาถูกนำมาผสมเทผสม สองมือขาวเนียนละเอียดค่อย ๆ นวดแป้งไปมาจนน้ำแลแป้งเข้ากันเหนียวหนึบเป็นเนื้อเดียวกันจนได้เป็นก้อนขนาดไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไปออกมาก้อนหนึ่ง หมิงอี้มองดูก้อนแป้งที่ตนนั้นได้ออกมาหลังจากนวดไปมาอยู่สักพักแต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจสักเท่าไหร่สีมันดูจืดชืดไปกระมังเช่นนั้น“อืม เอาอย่างนี้แล้วกันใส่ ๆ ไปหากอร่อยจะได้ทำขายไม่แน่เพื่อคนยุคนี้ชอบ ฮึ ๆ” หมิงอี้หยิบผลอิงเถาจากจานที่มารดามักนำมาวางไว้ในเธอเมื่อเห็นว่าเธอชื่นชอบมัน ขึ
“อะฮึ่ม” เฉิงอึ้ครั้นเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นผู้ใดก็พลันชิงกระแอมขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ฮุ่ยเหอที่เตรียมทำความเคารพเขาหน้าตาตื่นนั้นต้องชะงัก พร้อมทั้งเปลี่ยนทีท่าในทันที เพียงเห็นท่าทีขององค์รัชทายาทเฉิงอี้เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าผู้คนที่รายล้อมพระองค์อยู่ในบัดนี้ไม่ร็สถานะแท้จริงของพระองค์ โดยหาร็ไม่ว่าเฉิงอี้นั้นหาได้ปกปิดฐานะตนกับเจ้าของร้านเทียนฝูแห่งนี้ไม่ อีกทั้งเปิดเผยแล้วหมิงอี้นางยังไม่มีทีท่าจะสนใจซ้ำจะปีนป่ายขึ้นมาเคียงข้างเจ้าของตำหนักบูรพาเฉกเช่นเขาไม่ ซึ่งเรื่องนี้เองฉฺงอี้ก็สงสัยอยู๋ไม่น้อยใต้หล้านี้ผู้ใดไม่หมายตาตำแหน่งพระชายาของเขากัน เห็นแต่มีเพียงนางที่ยังเห็นเขานั้นเป็นสหายเฉกเช่นสหายผู้อื่นของนาง เห็นได้ชัดว่าเขานั้นมากความสามารถแลมิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใดไม่ เขาย่อมมั่นใจ! ว่าต้องมีบางอย่างผิดพลาดเกิดขึ้นกับนางเป็นแน่“อ้าว ท่านผู้ตรวจการก็มารับผักในวันนี้งั้นรึ ได้จองไว้รึไม่เล่าฮึ” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ เมื่อเห็นว่าบรรยากาศโดยรอบผู้คนเริ่มซุบซิบนินทากันไปใหญ่จนเกิดเสียงดังเซ็งซ่ขึ้น“อะเอ่อปะเปล่าพ่ะ เอ่อ ข้า ฮึ่มเพียงมาดูความสงบ อะฮึ่ม” เป็นฮุ่ยเหอที่จู่ ๆ ก็เกิดลิ้นเ
บรรยายกาศครึกครื้นของอีกฝั่งเมือง ในขณะที่บัดนี้ในตลาดที่เคยคึกคักของเมืองหลวงกลับเงียบเหงาสร้างความประหลาดใจให้กับขุนนางแลทหารที่ลาดตะเวนตรวจตราความเรียบร้อยเป็นประจำของเมืองเป็นยิ่งนักจน“พวกเจ้าไปตรวจดูเสียหน่อย นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่” ฮุ่ยเหอผู้ตรวจการประจำสำหนักของศาลต้าหลี่ยืนนิ่งทอดสายตามองไปยังอีกฝั่งของตลาดอย่างใคร่สงสัย มือใหญ่กำกระบี่ที่คาดอยู่ข้างเอวแน่น ในใจรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอันมาก แต่เพียงครู่ก็มีเสียงของหนึ่งในทหารที่ร่วมลาดตะเวนด้วยกันเอ่ยขึ้นให้เขาได้ประจักษ์แจ้งถึงเหตุประหลาดในวันนี้“ผู้ตรวจการขอรับ วันนี้ร้านเทียนฝูเปิดขายผักสลัดไร้ดินวันแรกผู้คนที่ลงชื่อสั่งไว้จึงเดินทางไปรับผักกันขอรับ หนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินของข้ารวมอยู่ด้วย นางตื่นมาแต่เช้าตรู่แลท่าทางดูตื่นเต้นยิ่งนักขอรับ”“เจ้าว่าเช่นไรนะ ผักไร้ดิน ปลูกผักจะไม่ใช้ดินได้เช่นไรกันเล่า เกรงว่าคงโนหลอกกันแล้วกระมัง ไม่ได้! หากเป็นเช่นนั้นจะปล่อยให้มีการหลอกลวงชาวเมืองเฉกเช่นนี้ได้อย่างไรกันอีกอย่างร้านเทียนฝูนั้นใช้เวลาไม่นานก็รุ่งเรืองขึ้นอย่างน่าประหลาดใจจากหมู่บ้านคนอพยพแร้นแคลนจู่ ๆ กลับมีอยู่มีกินซ้ำรุ
“อะอ้าว องค์...เอ่อเฉิงอี้ข้าไม่คิดว่าวันนี้เจ้าจะมา” หมิงอี้เผลอหลุดยิ้มกว้างออกมา“เหตุใดโอกาสดีเช่นนี้ข้าจะไม่มาร่วมยินดีได้กันเล่า” เฉิงอี้เอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะเร่งหันไปมองสหายอีกคนของหมิงอี้เมื่อมีเสียงห้าวตะโกนเอ่ยทักทายของตนเสียงดัง ในน้ำเสียงนั้นเผยแววดีใจแลตื่นเต้น“เฉิงอี้! เจ้ามาก็ดีมาช่วยข้าเร็วเข้า ๆ ข้าไม่ไหวแล้วเนี่ย!” อู๋ไป๋โบกไม้โบกมือใหญ่เมื่อแลเห็นสหายอีกคน แม้เขาจะนึกไม่ชอบใจใบหน้าหล่อเหลาประดุจดั่งเทพเซียนนั้นของเขาเท่าใดแต่เวลาคับขันเช่นนี้เย่อหยิ่งไปแล้วได้สิ่งใดกัน“หมะ...อ้าวอู๋ไป๋ ได้ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” อี้เฉิงที่ยกมือเตรียมทักทายหมิงอี้ที่วันนี้นางช่างดูงดงามอ่อนหวานแลน่าทะนุถนอมราวกระเบื้องเคลือบเป็นที่สุดนั้น ‘นับวันสตรีผู้นี้ยิ่งงามสินะ’ แต่เฉิงอี้ก็เพียงเก็บคำกล่าวนี้ในใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างเสียดายเมื่อจำต้องไปช่วยสหายอีกคนเช่นอู๋ไป๋ที่ดูท่าแล้วคงสุดแล้วแต่กำลังจริง ๆ กระมังถึงได้เอ่ยขอร้องเช่นนี้ “หมิงอี้ไว้ข้ามาพูดคุยด้วย ขอตัวเพียงครู่ไปช่วยฝั่งนั้นก่อนแล้วกัน หึ ๆ” เฉิงอี้เอ่ยกับนางอย่างนึกเสียดาย พึ่งมาถึงพูดคุยยังไม่ถึงครึ่งประโยคก็ต้องคลาดกันเสียแล้ว อั
หนึ่งเดือนผ่านไปหมิงอี้เวลานี้ยืนยิ้มกริ่มมองดูบรรดาลูกค้าที่หลากฐานะยืนรอคิวต่อแถวกันยาวเหยียดแต่เช้าตรู่เมื่อถึงกำหนดวันที่ผักที่พวกเขาสั่งจองหวังลิ้มลองนั้นได้นำออกมาวางขายในเวลานี้ ซึ่งสโลแกนที่หมิงอี้เสริมเข้าไปเป็นโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขายนั้นคือ ‘ดึงถอนสด ๆ ราวกับลูกค้ามาปลูกเอง’ และทันทีที่ปล่อยโฆษณานี้ออกไปปรากฏว่าหมิงอี้นั้นได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นมากเลยทีเดียว มากจนเกินกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก~นี่พวกเจ้าอย่าเบียดเข้ามาสิ ~~ก็ข้าอยากเห็นแล้วนี่นา นะนั่นดูสิ ๆ เจ้าของร้านนางมาแล้วล่ะ~~มาแล้ว ๆ นางมาแล้ว ข้าตื่นเต้นนักเชียวในที่สุดก็มาถึง ข้าอยากชิมเสียแล้วล่ะ โน่น ๆ ดูสิ ๆ ข้ามองเห็นผัก โอ้โหนั่น ๆ ผักเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ล่ะ~~ฮ่า ๆ เจ้านี่ทึ่มเสียจริงเลย ฮึ ๆ นางปลูกในกระบอกไม้ไผ่ต่างหากเล่าหาใช่เกิดในไม้ไผ่เสียที่ใดกัน~~เหมือนกันแหละหน่า...~แปะ ๆ ๆ ๆ“อ้าว ๆ พ่อแม่พี่น้อง พี่ ป้า น๊า อา เงียบ ๆ ก่อนนะจ๊ะ ได้ทุกคนจ๊ะ ผักมีเยอะนักเชียว ใครมาก่อนอยู่ด้านหน้ามาช้าอยู่ด้านหลัง ต่อแถวกันเช่นนี้จะได้ผักเร็ว ๆ แล้วกลับบ้านไปกินให้อร่อย ๆ ไงจ๊ะ อ้าว ๆ มา ๆ ท่านน้า ๆ ไหนข้าดูสิ โอ้นี่ลูก