หลังขบวนเสด็จผ่านไปแล้ว อี้หมิงก็ชวนเฟิน ๆ กลับไปยังเรือนพักหลังเล็กของต้น ภารกิจแรกของสองสาวกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า
“เฟิน เฟิน พร้อมมั๊ย!” “ข้าพร้อมแล้วพี่” “สาธุ เทียนตี้ เทียนกง ขอให้ถั่วงอกของลูกออกมาอวบขาว ๆ นะเจ้าคะสาธุ” อี้หมิงยกชามถั่วเขียวที่แช่น้ำข้ามคืนไว้ ยกไหว้วานสิ่งศักสิทธิ์เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย “นั่นพี่ทำอะไรรึ” เฟิน เฟิน ที่เห็นอี้หมิงยกชามที่แช่ถั่วงอกขึ้นเหนือผัวแล้วทำปากขมุกขมิบบ่นพึมพำไปมาจึงอยากใครรู้ “อ่อ! ขอพรเอาฤกษ์เอาชัยนะ ช่างเถอะๆ มาๆ เฟิน เฟิน มาลงมือปลูกถั่วงอกของเรากัน” เมื่อวัตถุดิบพร้อม อี้หมิงก็ลงมือปลูกถั่วงอก โดยนางเริ่มโดยการนำกระบุงไม้สานที่ขอยืมเฟิน เฟิน ไว้ และเสื้อเก่า ๆ ที่มีเนื้อผ้าค่อนข้างโปร่งนิ่ม 1 ผืน ไปแช่น้ำให้ชุ่มจนน้ำไหลหยดออกจากผ้าเป็นทาง มือบางบิดผ้าให้มาดเล็กน้อย จากนั้นปูใส่ลงไปในกระบุง หย่อนมือกอบเอาเมล็ดถั่วเขียวที่แช่น้ำทิ้งไว้ข้ามคืนขึ้นมาจากถังไม้ แล้วย้ายมาวางใส่ในกระบุงแทน ค่อยๆ โรยเมล็ดถั่วเขียวให้กระจายกันไม่ซ้อนทับกันหรือกองกันอยู่มุมใดมุมหนึ่งของกระบุง นิ้วเรียวยื่นตามไปค่อย ๆ แผ่ส่วนที่กองกันมากเกินไปให้แผ่กระจายออก พยายามทำให้มีพื้นที่การเรียงตัวของเมล็ดถั่วเขียวที่พอดี เสร็จแล้วก็ไปนำผ้าอีกผืนไปชุบน้ำ ครานี้นางชุบจนเปียกชุ่มหน่อยเพื่อจะไว้กระจายความชื่นให้กับเมล็ดพันธุ์ มือบางคลี่ผ้าที่เปียกออกกางแล้ววางผ้าทับลงไปปิดเมล็ดถั่วเขียว จากนั้นหันไปหยิบเอากระสอบป่านที่ใหญ่และทึบสวมคลุมปิดกระบุงจนมิดชิด แล้วไปหย่อนไว้ในตุ่มใบเล็ก ปิดฝาตุ่มทับไว้อีกชั้นเผื่อให้มืดสนิดให้ได้มากที่สุด “พี่หมิงอี้ มันจะได้ผลใช่มั๊ย” เฟิน เฟิน ถามขึ้นมา แล้วนึกฉงนในใจอยู่ไม่น้อยทีเดียวว่านางไปเอาวิชาการพวกนี้มาจากที่ไหนกัน เล่นเตล็ดเตร่ด้วยกันมาก็นานไม่เคยที่นางจะเล่าให้ฟังว่าปลูกผักเป็นด้วย “ได้สิ เดี๋ยวอีก 3 วันนะ เราจะมีเงินแล้วล่ะ หึ หึ” อี้หมิงกอดอกพูดอย่างมั่นใจ “อ่อ! เฟิน เฟิน เจ้าพาข้าไปทัวร์ตลาดอีกทีได้มั๊ย กะว่าจะไปดูทำเลทำมาหากินซักหน่อย” “ทะทัวร์ หรอ ถั่วหรอ” เฟิน เฟิน ถามกลับ “อ๋อ! ไปเดินตลาดหนะ ข้าพูดผิด ขอโทษทีๆ ป่ะ ๆ ส่วนนี้เดี๋ยวทุกๆ 2 ชั่วยาม เราค่อยมารดน้ำกันอีกรอบ” “ได้เลย ป่ะไปกัน” สองสาวเดินควงแขนข้ามฝั่งไปยังด้านที่เป็นตลาดอีกรอบ ~ถังหูลู่จ้า ถังหูลู่ ~ ~แม่นาง ๆ มา ๆ ผักมาใหม่สด ๆ จ๊ะ มา ๆ มาดูก่อนนะ ไม่ซื้อ ไม่ว่าจ้า มา มา ~ ~ข้าวต้มจ้า อร่อย ๆ เจ้าเดิมจ้า~ ~เถ้าแก่ เอาข้าวสาร 1 ถังจ๊ะ ~~~~ ~~เนื้อจ๊ะ เนื้อ เนื้อมั๊ยท่านหญิง สด ๆ เลยนะ พึ่งลงมาจากเขาเลย~~~ บรรยากาศผู้คนเดินจับจ่ายซื้อสอยในตลาดยังคงดังเป็นระยะ ขนาดบ่ายคล้อยแล้วตลาดก็ยังมีคนเดินอย่างคับคั่งอยู่เลย ดี ๆ อี้หมิงเอ่ยในใจ ทั้งสองเดินไปเรื่อย ๆ สอดส่องหามุมที่พอจะตั้งโต๊ะขายผักได้ ก็ไม่มีพื้นที่เลย สาวน้อยแต่งกายมอมเมมสองคน เดินเบียดเสียดไปกับผู้คน พยายามสอดส่ายสายตามองหาทำเลที่ว่าง เพื่อจับจองเตรียมขายของ มองแล้วมองเล่าจนท้อ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าไม่มีพื้นที่ให้พวกนางเลยจริง ๆ “เฮ้อ!! เฟิน เฟิน เจ้าว่าเราจะมีที่พอที่จะขายผักหรือไม่” “นั่นสิพี่ นี่เราเดินมาถึงท้ายตลาดแล้วนะ” สองสาวเมื่อเดินวนหาจนเกิดอาการหล้า ก็เกิดถอดใจ หันซ้ายแลขวาพลันสายตาอี้หมิงก็ไปสะดุดกับพื้นที่ว่างเล็ก ๆ สุดตลาด นางเดินตรงดิ่งไปดูทันที แล้วเอ่ยถามชายแก่อ้วนร้าน ๆ ข้าง ๆ ที่กำลังลงมือล้างอุปกรณ์หม้อไหอยู่ “เถ้าแก่ ๆ พื้นที่ตรงนี้ข้าสามารถมาขายของได้หรือไม่” “ฮ๊ะ ได้สิ ได้สิ พึ่งว่างวันนี้แหละ เจ้าของเดิมหนะกลับบ้านไปดูแม่ที่ป่วยต่างแคว้นนู่นแน่ะ ท่าจะนานโขนะกว่าจะได้กลับมา” “โอ๊ะ! เยี่ยมเลย” อี้หมิงยิ้มเต็มวงหน้า “เย้!! พี่หมิงอี้ในที่สุดก็ได้ซักที” “อ้าว!! ว่าแต่พวกเจ้าจะขายอะไรกันรึ บอกไว้ก่อนน่าอย่าริอาจจะมาแข่งขายซาลาเปากับข้านา ของข้านะอร่อยสุดในตลาดนะจะบอกให้ ถ้าพวกเจ้าคิดจะขายเตรียมเจ๊งได้เลย ฮ่ะ ฮ่าๆ ” ชายอ้วนคุยโวหัวเราะอย่างชอบใจ แล้วก้มขัดหม้อต่อ “ไม่หรอกเจ้าค่ะ พวกเราจะขายผักหนะเถ้าแก่” เป็นเฟิน เฟิน ที่ตอบกลับ “ผักรึ โห! ร้านอยู่ลึกขนาดนี้จะขายได้รึ” ชายอ้วนส่ายหัว เฟิน เฟิน เมื่อได้ฟังก็หน้าเสีย นั่นนะสิ แล้วมองย้อนกลับไปตรงทางเริ่มต้นที่นางเดินมา ท้ายตลาดจริง ๆ นั่นแหละ สุดเขตตลาดเลย เฮ้อ! จะขายได้มั๊ยเนี่ย ร่างบางคิดตามคำพูดชายอ้วนแล้วเกาหัวเบา ๆ ” ได้สิ รอดูได้เลย!” ขอแค่ได้ทำเลที่ขายอี้หมิงก็มั่นไปมากกว่าครึ่ง การค้าขายหรอไม่คณามือเธอหรอกนะ ในยุคก่อนที่จากมาหนะ เธอเป็นลูกแม่ค้านะจะบอกให้ แถมธุรกิจบ้านเธอก็ใหญ่ในย่านชุมชนนั้นด้วย วิชาเรื่องการค้าขายคำนวณกำไรขาดทุนนี่ชำนาญอยู่ไม่น้อยเลยละ เมื่อได้ทำเลที่ตั้งแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้าเดินกลับเรือนเล็กอีกฝั่งของตลาด แต่กว่าจะฝ่าผู้คนจากตลาดออกมาเล่นเอาเหงื่อตก แถมหิวมาก ๆ อีกด้วย แถมอาหารที่น่าอร่อย ทั้งกลิ่น อาหารหอม ๆ นั่นอีก อี้หมิงได้แต่ยืนลูบท้องมองตาละห้อย เงินซักบาทก็ไม่มี กลืนน้ำลายหลายอึกแล้วหมายมาดในใจ คอยดูเถอะถ้ารวยนะ แม่จะเหมาให้เกลี้ยงเลย ว่าในใจแล้วอดกลืนน้ำลายกับกลิ่นหอมกรุ่นของอาหารตรงหน้าเสียไม่ได้🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
เจ็ดวันต่อมาหลังจากคดีความเสร็จสิ้นลง บัดนี้ร้านเทียนฝูกลับมาเปิดตามปกติซึ่งแน่นอนว่ามันคึกคักเกือบเท่าตัว ผักของนางที่สร้างขึ้นมากับมือต่างขายดีเป็นอย่างมากทำให้เวลานี้ทั่วทั้งบริเวณฝั่งหมู่บ้านคนอพยพคึกคักเป็นพิเศษ เฉิงอี้ที่เห็นหมิงอี้ยืนเหม่อมองบรรยากาศร้านอยู่ก็รีบสืบเท้าเข้าไปหาอย่างรวดเร็วด้วยความคะนึงถึง“หมิงอี้”“อ้าวเฉิงอี้”“ยินดีกับเจ้าที่สามารถกลับมาเปิดร้านได้เช่นเดิม ดูคึกคักทีเดียว”“อืม ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยข้า”“หึ! เรื่องเช่นนี้แน่นอนว่าสำหรับข้าเจ้านั้น...”“แน่นอนสหายเช่นข้า ทั้งงดงามทั้งเป็นคนดี ชาตินี้เจ้าจะไปหาจากที่ใดใช่หรือไม่” หมิงอี้พอเดาออกว่าเฉิงอี้จะกล่าวเช่นไร เรื่องนี้หมิงอี้นั้นนอนคิดมาตลอดทั้งคืนหลังจากก่อนจากกันที่ศาลต้าหลี่วันนั้นระหว่างนั่งรถม้ากลับเฉิงอี้ได้สารภาพความในใจกับตน แต่หมิงอี้นั้นคิดว่าเรื่องนี้เช่นไรย่อมต้องไม่เกิด หมิงอี้นั้นเมื่อทบทวนตัวเองพบว่านางอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายกับมารดาและสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน มิได้อยากมียศมีตำแหน่งและต่อสู้แย่งชิงกับสตรีอื่นใดเฉิงอี้ครั้นได้ฟังหมิงอี้กล่าวก็พอรู้ความนัย ใบหน้าคมคายหล่อเหลาราวหยกสลักก
‘พิษปรอทหรือ! ละแล้วที่ข้ากินไปเล่า’ กู้ไห่ซินครางในใจ เมื่อคืนพวกตนจัดงานเลี้ยงให้กับกิจการที่ไปได้ดีโกยเงินได้เป็นกอบเป็นกำจึงคิดจะลองชิมมันซักครั้ง และตนนั้นกินไปมากทีเดียว ครั้นคิดถึงตรงนี้พลันก็เกิดอาการคอแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วจนมิอาจอดกลั้นได้ ทำให้เขานั้นต้องรีบวิ่งออกมายังด้านนอกแล้วล้วงคออ้วกออกมาในทันที ซึ่งไม่ต่างกันกับเฉินอ๋องที่พยายามเก็บอาการพะอืดพะอมภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง“เอาล่ะเรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง วันนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้!” เหวินกงมู่หน้าซีดเพราะเมื่อคืนตนนั้นก็คิดพิเรนทร์กินกันไปเสียมาก จนเมื่อรู้ต้นตอสาเหตุที่ทำให้ชาวเมืองป่วยในเวลานี้เขานั้นก็อดที่จะเหงื่อตกเสียมิได้ เหวินกงมู่บัดนี้มือชื่นเหงื่อไปเสียหมดหากแต่เขานั้นพยายามเก็บอาการไว้และเร่งตัดสินคดีตรงหน้าแบบขอไปทีเพื่อที่ตนนั้นจะรีบไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย ‘ไม่ได้พึ่งได้เงินก้อนใหญ่มาจะมาชิงตายก่อนได้อย่างไรกัน’ ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดว่าจะตัดสินคดีนี้อย่างไรเสียงหวานของสตรีที่กำลังถูกพิพากษาอยู่ในเวลานี้ก็ทำให้เขาสะดุ้งน้อย ๆ จนจำใจต้องแก้ไขสถานการณ์ไปก่อน“เช่นไรท่านเจ้ากรมหลักฐานข้ามากมายแลครบถ้วนถึงเพียงนี้ ท
สิ้นเสียงเอ่ยอนุญาตก็ปรากฏร่างสูงปราดเปรียวใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาไร้อารมณ์ขึ้น เขาเดินเข้ามาอย่างองอาจ ท่าทางหยิ่งผยองของเขานั้นสร้างเสียงฮือฮาให้แก่ชาวเมืองเป็นอย่างมาก และยิ่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นไปอีกเมื่อด้านหลังเขานั้นมีเหล่าบุรุษเพศร่างกายผอมกะหร่องดูราวกับคนขี้โรคราวสิบคนเดินเรียงแถวตามหลังกันเข้าไปยังด้านในศ่าลต้าหลี่“นี่หนะหรือพยานที่เจ้าว่า” กู้ไห่ซินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดัง เขาหรือก็นึกว่านางจะแน่นึกว่าหลักฐานที่นางว่าจะสร้างปัญหาให้เขาซะอีก“ท่านเสนาบดีอย่าได้พึ่งดีใจไป ลองฟังข้าก่อนสิเจ้าค่ะ” หมิงอี้แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะเชิดหน้ากอดอกเอ่ยออกมาอย่างมิได้นึกหวั่นกลัวแต่อย่างใด เอาสิข้าตายแล้วฟื้นแถมย้อนเวลาวันนี้จะไม่ยอมเสียชาติเกิด และเกิดแล้วตาย ตายแล้วฟื้นอย่างเด็ดขาด หึ!“ฮึ ๆ” กู้ไห่ซินลูบเครายาวพร้อมทั้งยิ้มเต็มหน้าอย่างยียวน ก่อนจะละมือจากเครายาวที่กำลังลูบอยู่ก่อนจะผายมือให้นางได้ชี้แจงตัวเองให้เต็มที่ เช่นไรเขานั้นก็ย่อมมีทางหนีทีไร่ ก็แค่ตอบไปว่าเป็นผักที่ซื้อจากร้านของนาง หึ!“ท่านเจ้ากรมคนตรงหน้าท่านในเวลานี้ล้วนเป็นคนงานจากไร่ของตระกูลกู้ ไร่ที่ท่านใช้ปลูกผั
เสียงกลองร้องทุกข์หน้าศาลต้าหลี่ดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เหวินกงมู่รีบวิ่งออกมาดูด้วยอารามตกใจและมีอารมณ์นักด้วยเวลานี้ยังเช้าตรู่ และแน่นอนว่าวันนี้ตนเองนั้นไม่มีงานที่จะต้องสะสาง คดีใหญ่ก็ยังไม่ถึงวันที่จะตัดสินเช่นนั้นค่ำคืนที่ผ่านมาของเขาจึงเป็นดั่งคืนวสันต์เพราะเขาถูกเชิญไปสังสรรค์ในงานลี้ยงอันหรูหราที่ข้าราชการหลายคนใฝ่ฝันอยากไปซักครั้งที่จวนเฉินอ๋องร่างอวบค่อนไปทางเจ้าเนื้อเร่งฝีเท้าวิ่งทั้ง ๆ ที่ยังสวมชุดขุนนางยังไม่เรียบร้อยดี ด้านหลังนั้นมีสาวน้อยหน้าตาหมดจรดหลายนางวิ่งถืออาภรณ์ตามมาติด ๆ แต่ครั้นใกล้ถึงศาลาว่าการท่าทางเขากลับแปรเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคน เหวินกงมู่เปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นนิ่งสุขุม ก่อนจะยืนนิ่งให้สาวใช้ปรนนิบัติจัดแต่งอาภรณ์ให้เข้าที่ เพียงอึดใจเดียวเขานั้นก็ดูวางมาดผู้ว่าการศาลต้าหลี่ที่แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามและน่าเคารพเลื่อมใสในสายตาของชาวเมืองเสียแล้ว‘หึ! ท่าทางเช่นนี้แน่นอนว่าเขานั้นตลอดหลายปีมานี้แสดงเสียจนชิน’ปึก!“เป็นผู้ใดมาตีกลองร้องเรียนแต่เช้าตรู่เช่นนี้ เงียบ!”แท่นหมึกถูกเหวินกงมู่วางลงกระทบโต๊ะแท่นตัดสินคดีความอย่างแรงจนหมิงอี้เองถึงกลับชะงัก ส่วนผู้ค
รถม้าวิ่งลิ่วจากร้านเทียนฝูแต่เช้าตรู่นั้นสร้างความแปลกใจให้แก่มารดาแลสหายเช่นอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน เป็นอย่างมาก“นั่นหมิงอี้หรอ นางไปไหนกันช่างดูเร่งรีบนัก” อี้เฟินออกมาทันได้เห็นหลังบุตรสาวไว ๆ แต่ครั้นเรียกนางก็ขึ้นนั่งบนรถม้าไปเสียแล้ว“ไม้รู้เช่นกัน นางมิได้บอกอันใดเลยท่านป้า/ใช่เจ้าค่ะ ไม่ได้บอกข้าเช่นกัน” ทั้งสามมองตามหลังรถม้าด้วยแววตาเป็นห่วง ในใจรู้สึกร้อนรนจนอู๋ไป๋และเฟิน เฟิน ต้องเอ่ยปากว่าพวกตนนั้นจะเร่งตามไป เพราะมองสีหน้าป้าอี้เฟินก็รับรู้ได้ทันทีว่าท่านป้านั้นไม่สบายใจ ยิ่งช่วงนี้อยู่ในระหว่างสืบหาหลักฐานก็ยิ่งต้องระแวดระวังให้มากยู้ววววเสียงรถม้าจอดที่หน้าเรือนหลังใหญ่ที่ปลูกแยกออกมาอย่างเงียบสงบในย่านของชนชั้นสูงของราชวงศ์ หมิงอี้เร่งเดินลงจากรถม้าทันทีที่ล้อรถหยุดลง“เชิญขอรับ” ทหารยามเปิดทางให้หมิงอี้เข้าไปโดยง่ายโดยมิได้ไถ่ถามแต่อย่างใด ซึ่งนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่หมิงอี้อยู่มิน้อย เหตุใดการรักษาความปลอดภัยขององค์รัชทายาทถึงได้หละหลวมเช่นนี้ หรือรู้จักนางเช่นนั้นหรือ แต่หากว่ารู้จักทหารยามแน่นอนว่าย่อมมิเคยเห็นนางแต่เหตุใดถึงให้ผ่านเข้ามาโดยง่ายหมิงอี้ครุ่นคิด
หานเย่รู้สึกไม่ชอบใจกับเจ้าสหายตัวใหญ่ที่บอกกล่าวแก่สตรีตรงหน้าราวตนเป็นขยะเปียกที่เก็บมาเผื่อมีประโยชน์เสียอย่างนั้น แต่กระนั้นก็จำต้องสงบใจเพราะเจ้านี่รับประกันว่าหากติดตามเขามาจะให้งานแลที่อยู่อาศัยที่ดีกว่าหมิงอี้มองทั้งคู่สลับกันไปมาก่อนจะสวมใส่ถุงมือผ้า นางส่ายศีรษะเพียงเล็กน้อยกับอู๋ไป๋ จากนั้นจึงค่อย ๆ หยิบเอาดินที่อู๋ไป๋เก็บมาค่อย ๆ พินิจ“ดินสีเทาออกค่อนไปทางสีดำ อีกทั้งกลิ่นยังฉุนเช่นนี้ อู๋ไป๋ที่ตรงนั้นนอกจากดินเช่นนี้แล้วมีดิน เอ่อสีอื่นรึไม่”“อืม มีนะ เท่าที่ข้าเห็นมีเพียงดินที่ใช้ปลูกผักสลัดพวกนั้นที่มีกลิ่นฉุนและสีเช่นนี้ คิดแล้วก็ช่างน่าประหลาดทั้ง ๆ ที่ตรงนั้นเป็นดินทรายร่วนแท้ ๆ เหตุใดถึงได้มีดินประเภทนี้อยู่กันล่ะ เจ้าหานเย่! เจ้ารู้รึไม่”“ข้าย่อมรู้แน่ก่อนหน้านี้เดือนก่อนกระมัง เจ้าของที่สั่งให้คนงานไปขนดินจากในป่าตรงเขาสมุนไพร ขนมามากทีเดียวว่ากันว่าเป็นดินดีปลูกอะไรก็งามอย่างอัศจรรย์นัก และภูเขานั้นบัดนี้มีคนของทางการปิดล้อมไปแล้วชาวบ้านที่พอรู้เรื่องก็หาเข้าไปเก็บสมุนไพรเฉกเช่นเดิมได้ไม่” หานเย่เอ่ยในสิ่งที่ตนพอรู้และจากที่ชาวบ้านที่เข้ามาเป็นคนงานเช่นกันกับ