LOGINบทที่ ๓
เกิดจากความสงสัย
“ที่จริงแล้ว ข้าเป็นใครหรือเจ้าคะ เหตุใดต้องกลับแดนบุปผา”
“ความลับของสวรรค์ไม่อาจบอกได้ เป็นอันว่าเจ้ารู้เพียงเท่านี้ก็พอ”
จิ่วเหลียนฮวาได้ยินเช่นนั้นก็ไม่คิดซักไซ้อีกต่อไป ตอนนี้คำถามเดียวที่นางอยากทราบจากเทพบุปผาคือ…
“ท่านเทพเจ้าคะ โลกหลังความตายของข้าจะสวยงามหรือไม่”
เทพบุปผายื่นมือไปจับแก้มซีดขาวแล้วลูบขึ้นลงแผ่วเบา “แล้วเจ้าจะมีความสุขอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”
ความสุขเช่นนั้นหรือ
จิ่วเหลียนฮวาได้ยินเช่นนั้นหัวใจพลันอุ่นวาบ
ในตอนนี้เองที่นางรู้ว่าตนเริ่มจะมีเป้าหมายเป็นของตัวเองแล้ว!
“แล้วเรื่องตายเก้าครั้ง ข้าต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติหรือว่าต้องฆ่าตัวตายเจ้าคะ”
“เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะทราบเอง แต่อย่าได้คิดฆ่าตัวตายเป็นอันขาด”
จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ เริ่มมีความรู้สึกเบาใจขึ้นแล้ว เทพบุปผาอยู่สนทนากับนางไม่นานก็ขอตัวกลับ
“ข้าต้องกลับไปทำงานแล้ว เห็นหรือไม่เทพชั้นสูงก็ไม่ได้ว่างงาน มีเวลาว่างแล้วข้าจะมาหา ไปแล้วนะ”
จิ่วเหลียนฮวาย่อกายขอบคุณเทพบุปผา ก่อนที่ร่างงามจะหายวับไปต่อหน้านางเหลือทิ้งไว้เพียงกลีบบุปผาให้รู้ว่านางเคยมาปรากฏตัวตรงนี้[1]
นางย่อตัวลงเก็บกลีบบุปผาสีชมพูอ่อนขึ้นมา สัมผัสกลีบที่มีกลิ่นหอมจรุงได้ไม่นานกลีบบุปผาก็สลาย
“หายไปไหนแล้ว…”
“เสี่ยวจิ่ว! เจ้านั่นแหละหายไปไหนมา เมื่อครู่ข้าจะมาตามเจ้าไปช่วยงานจวนจือเล่อ”
จิ่วเหลียนฮวาสะดุ้งเมื่อนางกำนัลคนเมื่อครู่เดินกลับมาที่ลานซักล้างอีกครั้ง
“คือข้า…”
“ช่างเถอะ! ไปช่วยข้าเช็ดหน้าต่างก่อน”
หากเป็นเวลาปรกติจิ่วเหลียนฮวาย่อมตอบรับการขอความช่วยเหลือนี้ แต่ในตอนนั้นเองที่คำพูดของเทพบุปผาแล่นเข้ามาในหัว
‘...เป็นไปได้เจ้าก็ปฏิเสธบ้าง อย่างไรก็เป็นนางกำนัลเหมือนกัน ไยต้องรับบทเป็นนางทาสเวอร์ชั่นจีนโบราณ’
“อาฉู่ ข้าต้องซักผ้าให้เสร็จก่อน คงไปช่วยงานไม่ได้แล้ว ขอโทษด้วยนะ”
“แต่…”
ไม่รอให้อาฉู่กล่าวคำพูดใด จิ่วเหลียนฮวาก็นั่งลงเก้าอี้ไม้เตรียมซักผ้าต่อ หากนางหันมามองด้านหลังสักนิดจะเห็นว่าอาฉู่ทำปากพะงาบ ๆ
ไม่คิดว่าจิ่วเหลียนฮวาจะรู้จักปฏิเสธ!
“แต่หากเจ้าไม่ไปช่วยข้าเช็ดหน้าต่าง ใครจะช่วยข้าเล่า…นะ! ไปช่วยข้าก่อนแล้วค่อยมาซัก”
อาฉู่ยังไม่คิดยอมแพ้ จิ่วเหลียนฮวาที่เริ่มรำคาญแล้วหยุดมือที่กำลังเอาผ้าแปรงกับไม้กระดาน ชำเลืองมองอาฉู่
“เช่นนั้นเจ้ามาช่วยข้าซักผ้าก่อน แล้วข้าจะไปช่วยเจ้าเช็ดหน้าต่าง”
“เรื่องอะไร! นี่ไม่ใช่หน้าที่ข้า อีกอย่างหนาวขนาดนี้ใครจะซักผ้าได้”
จิ่วเหลียนฮวามองอาฉู่นิ่ง ๆ ให้รู้ว่าตนเองที่กำลังซักผ้าท่ามกลางอากาศหนาว อาฉู่ไม่ใช่คนโง่ เมื่อเข้าใจความหมายและคิดว่าวันนี้จิ่วเหลียนฮวาพูดคุยด้วยไม่ง่ายจึงล่าถอย ก่อนไปไม่วายทิ้งคำพูดนี้ไว้
“จำไว้ หากเจ้าตกทุกข์ได้ยากข้าจะไปช่วยเจ้า”
ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเดินจากไป จิ่วเหลียนฮวาส่ายหน้าไล่หลังอาฉู่ พูดด้วยน้ำเสียงไม่เบานัก
“ทำอย่างกับว่าเจ้าเคยช่วยอะไรข้า”
จิ่วเหลียนฮวาไม่สนใจใครอีก ซักผ้าของนางต่อไป นางค้นพบว่าหลังจากมือได้รับการรักษาแล้วก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดกับการซักผ้าอีกต่อไป ไม่แม้แต่จะรู้สึกหนาวด้วยซ้ำ
เพราะนางกำลังให้ความสนใจกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกายจึงไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครกำลังจับจ้องอยู่
“พลังบริสุทธิ์แบบนั้นมาจากตรงนี้แน่ แต่จิ่วเหลียนฮวาสตรีที่มีชีวิตรอดได้เพราะข้านะหรือจะมีพลังบริสุทธิ์แบบนั้น”
ชินอ๋องจินเทียนหลุนวัย 20 ชันษาซ่อนตัวอยู่หลังเสาจับจ้องแผ่นหลังบางของจิ่วเหลียนฮวา ใบหน้าของเขายาวได้รูป ดวงตา จมูก ริมฝีปากรับกันทุกสัดส่วนให้ความละมุนสวนทางกับร่างกายที่ดูบึกบึนสมกับที่ฝึกในหน่วยพิเศษของกองทัพพิทักษ์ชายแดน
“ท่านอ๋อง…”
องครักษ์เฉียวเหอเงียบไปเมื่อมือหนาชูกำปั้นในความหมายให้เงียบเสียง ทว่าเฉียวเหอทำเพียงเบาเสียงลงเท่านั้น สู้กับเสียงในหัวไม่ได้เอ่ยถามออกไปในที่สุด
“ท่านอ๋องถูกใจนางหรือพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เคยเห็นพระองค์แอบมองสตรีคนใดมาก่อนเลย…โอ๊ย! พี่ใหญ่เตะข้าทำไม”
เฉียวเหอนับว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน สวนทางกับพี่ชายของเขาเฉียวฉือวัย 23 หนาวที่มีบุคลิกนิ่งขรึม เมื่อเห็นน้องชายวัย 19 หนาวเริ่มลามปามเจ้านาย เขาก็ลงโทษโดยการเตะน่องอีกฝ่ายไม่เบานัก
“ขออภัยท่านอ๋องขอรับ”
จินเทียนหลุนเพียงมององครักษ์ข้างกายนิ่ง ๆ ก่อนที่จะตวัดสายตาไปมองจิ่วเหลียนฮวา
“เปิ่นหวางสัมผัสได้ถึงพลังบริสุทธิ์บางอย่าง ก่อนหน้านี้เจ้าทั้งสองรู้สึกเวลาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งหรือไม่”
เฉียวฉือและเฉียวเหอมองหน้ากันก่อนที่จะส่ายหน้า
“กระหม่อมไม่รู้สึกอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จินเทียนหลุนมุ่นคิ้วเพราะไม่แน่ใจว่าตนคิดไปเองหรือไม่ ยิ่งสององครักษ์กล่าวว่าไม่รู้สึกเช่นเดียวกับตนจึงเก็บความสงสัยนี้เอาไว้ก่อน
“ช่างเถอะ…นั่นนางกำลังซักชุดของเปิ่นหวางอยู่หรือไม่ กำจัดเลือดก่อนหรือยัง”
“กระหม่อมกำจัดเลือดก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ผ้าย่อมมีรอยขาดแน่ กำชับนางไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ รวมถึงให้นางปะซ่อมชุดให้เปิ่นหวางด้วย”
เฉียวเหอรับคำแล้วเป็นคนเดินเข้าไปหาจิ่วเหลียนฮวาด้วยตนเองโดยมีสองหนุ่มจับจ้องตาไม่กะพริบ
จิ่วเหลียนฮวาเงยหน้าขึ้นเมื่อหางตาเห็นชุดสีดำขององครักษ์ประจำกายจินเทียนหลุน นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพราะคิดว่าเป็นเทพบุปผามาหานางในชุดองครักษ์
“ท่านเทพมีอันใดจะกำชับข้าหรือเจ้าคะ”
ไม่เพียงเฉียวเหอเท่านั้นที่มุ่นคิ้วให้กับคำพูดของจิ่วเหลียนฮวา แม้แต่จินเทียนหลุนที่ลอบมองอยู่ก็เช่นกัน ในใจจินเทียนหลุนคิด…
ท่านเทพเช่นนั้นหรือ เวลาหยุดนิ่งเมื่อครู่มิใช่ข้าที่คิดไปเองหรือนางโกหกเพื่อสร้างความสนใจให้แก่ข้ากันแน่
“ท่านเทพอันใด ข้าเฉียวเหอ องครักษ์ประจำกายชินอ๋องจินเทียนหลุน”
จิ่วเหลียนฮวาหน้าถอดสี ตะโกนร้องในใจว่าตนพลาดแล้ว
“ข้า…เอ่อ ข้าเห็นท่านองครักษ์หล่อเหลาดุจเทพเซียนจึงเผลอพูดในสิ่งที่คิดไปเจ้าค่ะ”
เฉียวเหอมีสีหน้าดีขึ้น ภาษากายที่แสดงถึงความพอใจของเขาฉายชัดแม้จะมองจากด้านหลัง จินเทียนหลุนเห็นเช่นนั้นก็ส่ายหน้าเบา ๆ
“ชมถูกคนเสียด้วย”
“กระหม่อมไปกำชับอีกคนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
จินเทียนหลุนยกมือห้ามทัพ
“ไม่ต้อง เพียงคนสนิทของเปิ่นหวางเข้าไปสนทนากับนางกำนัลซักล้างก็สร้างความสนใจให้ทุกคนพอแล้ว”
เฉียวฉือผงกศีรษะรับ “เป็นกระหม่อมคิดไม่รอบคอบ ขออภัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
จินเทียนหลุนไม่กล่าวอะไร สายตาจับจ้องไปยังจิ่วเหลียนฮวาเพื่อจะจับพิรุธนาง
เฉียวเหอกระแอมหนึ่งครั้งเรียกความสงบนิ่งกลับคืนมา แม้จะพอใจกับคำแก้ตัวของนางแต่ดึงสติตัวเองกลับมาได้ว่าห้ามเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเป็นอันขาด
ต้องคำนึงถึงหน้าท่านอ๋อง!
“ข้ารู้ตัวว่ารูปงาม แต่ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับคำชมของเจ้า แต่จะมากำชับเรื่องพระภูษา”
จิ่วเหลียนฮวามองไปที่ชุดสีดำ รู้ในทันทีว่าหมายถึงชุดที่นางซักเสร็จแล้วเตรียมตากแห้ง
“พระภูษามีอันใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เห็นอะไร”
จิ่วเหลียนฮวาตีหน้าซื่ีอ ทว่าเฉียวเหอรู้ว่านางรับคำแล้วว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
“นับว่าเจ้าหัวดี…อ้อ! อย่าลืมปักชุนให้ด้วย หวังว่าจะไม่มีใครเห็นรอยขาดนี้นอกจากเจ้า”
จิ่วเหลียนฮวาหน้าเจื่อน เฉียวเหอจึงเลิกคิ้ว
“ทำไมหรือ”
“ข้าปักชุนไม่เป็นเจ้าค่ะ”
“แต่เจ้าเป็นนางกำนัลและยังเป็นสตรี ไยเรื่องงานปะชุนจึงทำไม่เป็น”
จิ่วเหลียนฮวาไม่ตอบแต่มองไปยังชุดที่วางไว้ในลานซักล้าง เฉียวเหอมองตามแล้วลั่นปากถาม
“อย่าบอกว่าเจ้าซักเองทั้งหมดนี่!”
“เจ้าค่ะ แค่ซักผ้าก็หมดวันแล้ว ข้ายังจะเอาเวลาไหนไปเรียนปักผ้า”
เฉียวเหอถอนหายใจ เมื่อคิดว่าชะตาชีวิตของสตรีจากตระกูลต้องโทษไม่ได้ราบรื่นนักก็รู้สึกเห็นใจนาง
“เอาเป็นว่าจัดการให้เรียบร้อย ท่านอ๋องไม่ประสงค์ให้เรื่องนี้ล่วงรู้ถึงไทเฮาให้ทรงกังวลพระทัย”
จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับเบา ๆ
ในตอนนั้นเองที่หางตาสังเกตเห็นร่างสูงในชุดสีดำขาวปักลายอินทรีย์ดูน่าเกรงขามกำลังกอดอกมองมาที่นางโดยมีองครักษ์ใส่ชุดสีเดียวกับองครักษ์ข้างกายนางยืนอยู่ด้วยคนหนึ่ง
ท่านอ๋อง
หน้าตาที่มีเค้าโครงแบบวัยเยาว์ทำให้จิ่วเหลียนฮวาเดาได้ไม่ยาก รีบย่อกายคารวะเขาในทันที
[1]ติดตามเรื่องราวของเทพบุปผาได้ที่เรื่อง…บุปผาเยียวยาใจ
บทที่ ๙๐ความทรงจำที่สวยงามไม่มีลืมเลือนทุกชาติห้าปีผ่านไป…จิ่วเหลียนฮวาชีวิตสนุกมากเมื่อมีลูกน้อยทั้งหลายมาคอยล้อมหน้าล้อมหลัง แม้แต่จินเทียนหลุนยังเข้าไม่ถึงตัวนาง เพราะเช่นนี้เขาถึงฝากลูกไปเลี้ยงกับคนนั้นที คนนี้ทีเพื่อจะได้ใช้เวลาส่วนตัวกับชายารักบ้างเสี่ยวกั่วกัวท่านหญิงใหญ่ถูกฝากเลี้ยงกับหยางเซียงยี่ เสี่ยวน่ายน่ายถูกนางกำนัลของไทเฮามารับตัวไปเล่นในวังเกือบทุกวัน เช่นเดียวกับเสี่ยวน่ายกัวที่แทบจะกินนอนอยู่ที่ห้องทรงอักษรของฮ่องเต้จินจิ่นฟู่จวิ้นอ๋องที่อยากอยู่กับหลานเช่นกันแต่ไม่มีโอกาสนั้นเลยถึงกับออกปากกับหลานชายว่าให้เขามีหลานให้อีกสักสองคนจะได้ครบกันหนึ่งปีต่อจากคลอดแฝดสาม จิ่วเหลียนฮวาก็ตั้งครรภ์อีกครั้งเป็นแฝดชายหญิง ชื่อเล่นเสี่ยวผิงผิงและเสี่ยวปิงปิงบุตรชายเสี่ยวผิงผิงตกเป็นของจวิ้นอ๋อง บุตรสาวเสี่ยงปิงปิงตกเป็นของจื่อเจี่ยนเฉิงจวิ้นอ๋องและจื่อเจี่ยนเฉิงยังมีแรงพอจะสร้างทายาท ทว่าพวกเขากลับไม่คิดแต่งงานหรือ
บทที่ ๘๙พระนัดดารุ่นแรกของราชวงศ์เก้าเดือนแห่งการตั้งครรภ์แฝดสามไม่ง่าย!ดีว่าจิ่วเหลียนฮวามีพลังเทพปกป้อง ทั้งยังมีคนดูแลอย่างดีทั้งคนจากไทเฮา สมุนไพรบำรุงครรภ์จากคลังหลวง สภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นพิษอย่างหยางเซียงยี่และการดูแลที่ดีจากสวามีในยามค่ำคืนจินเทียนหลุนมีตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ กลางวันว่ายุ่งจากการทำงานแล้ว แต่กลางคืนก็ยังมาปรนนิบัติพระชายาช่วยนวดเท้าให้นางกลางคืนเมื่อยามที่เกิดอาการเหน็บชานางจึงผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้จนกระทั่งมาถึงวันที่น้ำคร่ำแตก!“น้องรองไม่ต้องกังวล หมอที่เก่งที่สุดอยู่ในนั้นแล้ว”ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่ที่เสด็จมาจวนจือเล่อเอ่ยปลอบอนุชาที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องคลอดแม้คนปลอบจะใจไม่สงบเช่นเดียวกันก็ตาม!“นั่นสิหลุนเอ๋อร์ เจ้าเดินไปเดินมาจนแม่ลายตาแล้ว นั่งลงก่อน มีเทพโอสถอยู่ทั้งคนยังจะกังวลเพียงนี้”ไทเฮาก็เอ่ยปลอบโอรสด้วยคน คลอดแฝดสามเดิมทีน่าเป็นห่วง
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด
บทที่ ๘๖เมื่อรักและหน้าที่ไปด้วยกันไม่ได้การมาเยือนแคว้นฝูครั้งนี้ จินเทียนหลุนคิดว่าคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องไปถามวิธีการดูแลบุตรจากหมอหลวงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ได้ความรู้จากเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่ต่อไปจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าสตรีมีครรภ์จะเป็นเหน็บชา ต้องหมั่นนวดเท้า เรื่องอาหารการกิน งดดื่มสุรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่ออารมณ์และอย่างสุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่คือการร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยา“เสี่ยวจิ่ว เปิ่นหวางถามฮูหยินทั้งสามแล้ว เรายังเข้าหอกันได้ตามปรกติ เว้นเพียงช่วงนี้กับช่วงใกล้คลอด ขอแค่เปิ่นหวางระวังไม่เน้นท่าโลดโผน ค่ำคืนของเราก็ยังคงเร่าร้อนได้เหมือนเคย”จิ่วเหลียนฮวาหน้าร้อนฉ่า ไม่คิดว่าสวามีของนางจะกล้าพูดเสียงดังต่อหน้าบ่าวในจวนตระกูลไช่ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกนางดึงแขนเขาเข้าไปด้านในเรือนทันทีเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว“ท่านอ๋อง! กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เพคะ”“ขออ
บทที่ ๘๕เจ้าจะไม่ตายไปจากใจข้าสองหนุ่มใหญ่จ้องหน้ากันนิ่ง จิ่วเหลียนฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองหน้าจินเทียนหลุน ไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าเสียงหายใจของตนจะไปขัดจังหวะคนทั้งคู่“ยายหนูจิ่ว ขนมของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”ไช่จงซินถอนสายตาจากจินหลี่จินก่อน เดินไปนั่งตำแหน่งประมุขตระกูล รอคำตอบจากจิ่วเหลียนฮวาอย่างใจเย็น คำอวยพรจากจินหลี่จินเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก ด้วยกลัวจะพรั่งพรูความรู้สึกต่อหน้าทุกคน“อร่อยเจ้าค่ะท่านประมุข”“เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ตามเจ้าหนูหลุนเถิด”จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ ขนมอร่อยมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ หากใจไม่ห้ามเอาไว้ ข้าอยากทานแทนอาหารสามมื้อ”ไช่จงซินหลุดหัวเราะเกือบสำลักน้ำชา“เสี่ยวจิ่วมีอารมณ์ขันแล้ว สตรีวัยเจ้าที่ทานมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีครรภ์ทั้งนั้น หรือเจ้ากำลังมีครรภ์”ไช่จงซินถามโดยไม่คิดอันใด ไม่คิดว่าทุกคนจะเงียบ เขามองหน้าจินเทียนหลุนสลั







