LOGINบทที่ ๗
ครั้งนี้ในตลาด
“ที่ตลาดครึกครื้นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
จิ่วเหลียนฮวาเดินอย่างไม่มีเป้าหมายไปตามทาง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางออกมาเดินเตร็ดเตร่ที่นี่ เพียงแต่ทุกครั้งที่นางได้ออกจากวังมาเที่ยวเล่นมักจะเดินเพียงลำพัง สหายในวังจะมีก็ตอนที่ทำงานเท่านั้น
พออยู่ในเวลาอิสระที่เป็นตัวเองได้กลับไม่มีใครอยากเสวนากับนาง!
เพราะเช่นนี้การเดินตลาดที่ดูสนุกสนานสำหรับสหายนางกำนัลคนอื่นกลับเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับจิ่วเหลียนฮวา ทว่าหลังจากที่เจอกับเทพบุปผา ความรู้สึกราวกับเจอญาติสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานกลับมาแทนที่ความโดดเดี่ยว ความรู้สึกของการเดินตลาดก็เช่นกัน
“หากข้าเจอเทพบุปผาก่อนหน้านี้ก็ดีสินะ”
จิ่วเหลียนฮวาถอนหายใจ ดวงตาสอดส่องร้านแผงลอยตามถนน ไม่คิดจะนำเงินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตออกมาใช้ เพราะใจลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นางจึงไม่รู้ตัวว่ายามนี้กำลังมีคนเดินตามตนอยู่
“ท่านอ๋อง เหมือนนางจะเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เราจะเดินตามนางไปเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉียวเหอตั้งคำถามดวงตาสอดส่องโดยรอบ เขาไม่เพียงแค่ต้องติดตามจิ่วเหลียนฮวาเท่านั้น แต่ยังต้องคอยอารักขาความปลอดภัยของจินเทียนหลุนด้วย
“เปิ่นหวางสังหรณ์ใจว่าวันนี้จะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง…เอาเป็นว่าเดินตามไปก่อน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เฉียวเหอเชื่อสัญชาตญาณเจ้านาย เพราะเช่นนี้เขายิ่งระมัดระวังตัวมากขึ้น
“กรี๊ด~”
เสียงกรี๊ดดังขึ้นในตลาดเรียกความสนใจของทุกคนให้จับจ้องไปยังที่มาของเสียงรวมถึงจิ่วเหลียนฮวาและจินเทียนหลุนด้วย
จิ่วเหลียนฮวาขาแข็งทื่อ ไม่เดินเข้าไปใกล้จุดเกิดเหตุเมื่อเห็นชายคลุ้มคลั่งคนหนึ่งใช้หญิงสาวเป็นตัวประกันโดยเอามีดสั้นจ่อคอนางเอาไว้
“การเดินตลาดในรอบหลายเดือนของข้าไยเป็นเช่นนี้…ไม่สนแล้ว ถอยดีกว่า”
จิ่วเหลียนฮวาถอยหลังไปหนึ่งก้าว แผ่นหลังกระแทกกับกำแพงมนุษย์จนนางแทบจะถลาตัวไปด้านหน้า ดีว่ามือหนารั้งเอวเอาไว้ นางจึงไม่ได้เสียหลักหน้าคะมำ
ยามที่จิ่วเหลียนฮวาหันมามองหน้าคนที่ให้ความช่วยเหลือตนก็นิ่งไปทันทีเพราะไม่คิดว่าจะเป็นเจ้านายที่เพิ่งเจอกันเมื่อช่วงเช้า
“หลบไป ตรงนี้ไม่ปลอดภัย”
จิ่วเหลียนฮวาได้สติในยามที่เขาปล่อยมือออกจากเอวตน ดวงตาคู่โตจับจ้องแผ่นหลังกว้างที่ยามนี้กำลังเดินเข้าไปหาชายคลั่งเพื่อช่วยเหลือสตรีผู้เป็นตัวประกัน
“อย่าเข้ามา! มิเช่นนั้นนางตายแน่”
“ฮึก~ช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ…อะ!”
ดรุณีน้อยน้ำตาไหลพราก ทั้งหวาดกลัวทั้งเจ็บปวดเมื่อโดนความคมของมีดเฉือนจนได้เลือด
“ไยต้องจับสตรีอ่อนแอเป็นตัวประกัน สถานการณ์แย่จนต้องใช้วิธีนี้แล้วหรือ”
เฉียวเหอเอ่ยเสียงเย็นโดยที่จินเทียนหลุนเพียงมองนิ่ง ๆ หาจังหวะจัดการชายคลั่ง
“เข้ามาจุ้นทำไม ในเมื่อเจ้าช่วยเหลือข้าไม่ได้”
“ปัญหาเจ้าคือสิ่งใดบอกเปิ่นหวางมาก่อน”
คำแทนตัวอ๋องสร้างเสียงฮือฮาขึ้นในทันที แม้แต่ชายคลั่งเองก็นิ่งไปครู่หนึ่ง
“เจ้าคือ…”
“ชินอ๋องจินเทียนหลุน”
เฉียวเหอเป็นคนเอ่ยนามและสถานะของเจ้านายด้วยท่าทางหยิ่งผยอง จังหวะนั้นเองที่มือชายคลั่งเผลอถอยห่่างจากคอดรุณีน้อยเป็นโอกาสให้จินเทียนหลุนซัดเข็มยาชาออกฤทธิ์ในฉับพลันใส่แขนและหน้าผากชายคลั่ง
ดรุณีน้อยฉลาดพอตัว รีบผลักชายคลั่งออกแล้ววิ่งมาทางจินเทียนหลุน
ชายคลั่งโกรธ แต่ยาชาที่ออกฤทธิ์ครึ่งจิบชาทำให้เขาไม่อาจขยับตัวได้ชั่วคราว จังหวะนั้นมือปราบจากศาลต้าหลี่มาถึงพอดีจึงเข้าควบคุมชายคลั่ง
“ท่านอ๋อง”
หัวหน้ามือปราบคุกเข่าลง มือขวากำหมัดมือซ้ายทับกำปั้นผงกศีรษะลงต่ำทำความเคารพจินเทียนหลุน
“จัดการชายคลั่งคนนี้เสีย เอาไปสอบสวนที่ศาลต้าหลี่ถึงเหตุจูงใจ”
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
หัวหน้ามือปราบยืนขึ้นเต็มความสูง สั่งความลูกน้องให้จัดการคุมตัวชายคลั่งไปศาลต้าหลี่
จิ่วเหลียนฮวารีบหลบเข้าข้างทางทันทีเมื่อมือปราบคุมตัวชายคลั่งเดินมาทางตน ยามนี้ทุกคนคิดว่าสถานการณ์กลับสู่ปรกติแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอีก
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
มีดสั้นสองเล่มพุ่งจากชั้นสองของโรงเตี๊ยม เล่มหนึ่งปักอยู่ที่หน้าผากของชายคลั่ง อีกเล่มหนึ่งปักเข้าที่หัวใจของจิ่วเหลียนฮวาท่ามกลางความตกใจของทุกคน
จินเทียนหลุนเองก็ตกใจเช่นกัน เขารีบวิ่งเข้าไปหาจิ่วเหลียนฮวาที่ดวงตาเบิกโพลง มือจับหน้าอกตัวเองที่มีเลือดไหลซึมผ่านมือ
ตุบ!
ร่างบางร่วงลงพื้นราวกับผลไม้สุกงอม ศีรษะเกือบกระแทกลงพื้นแล้ว ดีว่าจินเทียนหลุนมารับไว้ทัน
“จิ่วเหลียนฮวา!”
จินเทียนหลุนขมวดคิ้วหน้าเครียด เฉียวเหอรีบเข้ามาหาเจ้านายแล้วจับชีพจรของจิ่วเหลียนฮวา
“ท่านอ๋อง…ตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชั่วขณะหนึ่งหัวใจจินเทียนหลุนคล้ายถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นก็หายไป ตวัดสายตาไปทางโรงเตี๊ยมชั้นสองออกคำสั่งให้เฉียวฉือตามมือสังหารที่ปลิดชีพชายคลั่ง
“ท่านอ๋อง จะจัดการอย่างไรกับนางต่อพ่ะย่ะค่ะ เชิญรับสั่งได้เลย”
จินเทียนหลุนหลุบตามองจิ่วเหลียนฮวา ยื่นมือไปใต้จมูกนางเพื่อวัดสัญญาณชีพอีกครั้ง เมื่อไร้ลมหายใจอุ่นร้อนปะทะมือก็ถอดชุดคลุมตัวนอกออกคลุมร่างของจิ่วเหลียนฮวาปิดใบหน้านางเอาไว้
“ฝังนางไว้สุสานตระกูลหม่าตั้งป้ายวิญญาณ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จินเทียนหลุนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ให้เฉียวเหออุ้มร่างเบาหวิวของจิ่วเหลียนฮวาตามตนมาพร้อมสั่งให้มือปราบจัดการทำความสะอาดพื้นที่เกิดเหตุให้เรียบร้อย
มีมือสังหารฆ่าปิดปากเช่นนี้ คดีนี้จะเป็นชายคลั่งธรรมดาได้อย่างไร!
จินเทียนหลุนให้คนปิดข่าวจิ่วเหลียนฮวาไว้ก่อน เขาสามารถสั่งงานองครักษ์คนสนิทให้จัดการจิ่วเหลียนฮวาโดยที่เขาไม่ต้องมาคุมงานเองก็ได้
ทว่าเขากลับขี่ม้านำหน้าเกวียนที่บรรทุกโลงศพของหม่าจิ่วเหลียนฮวาเอาไว้ มุ่งหน้าออกนอกเมืองที่เป็นสุสานฝังรวมร่างตระกูลหม่าที่ถูกประหารนับร้อยเอาไว้
จิ่วเหลียนจะถูกฝังแยกจากบรรพบุรุษของนาง นี่ถือเป็นความเมตตาของจินเทียนหลุนที่มีต่อนางในฐานะที่รับใช้ตำหนักเทียนหลุนจือเล่อมาหลายปี
“หยุด~”
จินเทียนหลุนกระโดดลงจากม้า ยามนี้ยังเป็นเวลาบ่ายคล้อย ทว่าฝนตั้งเค้าทำให้บรรยากาศขมุกขมัวเหมือนฝนจะตก
“เร่่งมือเถิด ฝนใกล้ตกแล้ว”
องครักษ์ห้านายรับคำ พวกเขาช่วยกันยกโลงไม้ลงจากเกวียน ในจังหวะนั้นเองที่ลมห่าใหญ่พัดเข้ามาฝุ่นตลบอบอวล สุสานรวมญาติตระกูลหม่าเดิมก็น่ากลัวเพราะมีเรื่องเล่ามากมายจากชาวบ้านอยู่แล้ว
มายามนี้บรรยากาศยังส่งให้น่าหวาดกลัว หากจินเทียนหลุนไม่มาด้วยพวกเขาคงกลัวกันยิ่งกว่านี้!
ตึก! ตึก!
“เฮือก”
หนึ่งในองครักษ์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากในโลงศพ จินเทียนหลุนไม่เชื่อเรื่องผีสางมุ่นคิ้วใส่ลูกน้องในทันที
“กลัวอะไร”
“ขอ ขออภัยพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
จินเทียนหลุนส่ายหน้าให้น้อย ๆ แล้วออกคำสั่งให้เริ่มขุดดินได้
ตึก!
“ท่านอ๋อง เสียงดังมาจากในโลงพ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์คนเดิมชี้นิ้วไปยังโลงศพ คราวนี้องครักษ์คนอื่นก็ได้ยินเสียงด้วย จินเทียนหลุนจึงเดินเข้ามาใกล้เตียงแล้วสั่งให้เปิดโลง
“ท่านอ๋อง จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากว่าเป็น…”
“เหลวไหล!”
โดนเสียงแข็งใส่เช่นนี้แล้วองครักษ์ทั้งห้าก็ไม่กล้ามีใครทักท้วงอีก ช่วยกันเปิดฝาโลงที่ตอกเอาไว้แน่น ไม่นานก็เปิดฝาโลงออกได้โดยมีสิ่งที่สั่นประสาทพวกเขาตามมาด้วย
จิ่วเหลียนฮวาที่ตายไปแล้วเด้งตัวขึ้นมาทันทีที่ฝาโลงเปิดออก ใบหน้าซีดขาว ดวงตาแข็งทื่อดูไร้ชีวิตของนางทำองครักษ์ตกใจจนแตกกระเจิงเป็นรังผึ้ง
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด
บทที่ ๘๖เมื่อรักและหน้าที่ไปด้วยกันไม่ได้การมาเยือนแคว้นฝูครั้งนี้ จินเทียนหลุนคิดว่าคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องไปถามวิธีการดูแลบุตรจากหมอหลวงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ได้ความรู้จากเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่ต่อไปจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าสตรีมีครรภ์จะเป็นเหน็บชา ต้องหมั่นนวดเท้า เรื่องอาหารการกิน งดดื่มสุรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่ออารมณ์และอย่างสุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่คือการร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยา“เสี่ยวจิ่ว เปิ่นหวางถามฮูหยินทั้งสามแล้ว เรายังเข้าหอกันได้ตามปรกติ เว้นเพียงช่วงนี้กับช่วงใกล้คลอด ขอแค่เปิ่นหวางระวังไม่เน้นท่าโลดโผน ค่ำคืนของเราก็ยังคงเร่าร้อนได้เหมือนเคย”จิ่วเหลียนฮวาหน้าร้อนฉ่า ไม่คิดว่าสวามีของนางจะกล้าพูดเสียงดังต่อหน้าบ่าวในจวนตระกูลไช่ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกนางดึงแขนเขาเข้าไปด้านในเรือนทันทีเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว“ท่านอ๋อง! กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เพคะ”“ขออ
บทที่ ๘๕เจ้าจะไม่ตายไปจากใจข้าสองหนุ่มใหญ่จ้องหน้ากันนิ่ง จิ่วเหลียนฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองหน้าจินเทียนหลุน ไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าเสียงหายใจของตนจะไปขัดจังหวะคนทั้งคู่“ยายหนูจิ่ว ขนมของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”ไช่จงซินถอนสายตาจากจินหลี่จินก่อน เดินไปนั่งตำแหน่งประมุขตระกูล รอคำตอบจากจิ่วเหลียนฮวาอย่างใจเย็น คำอวยพรจากจินหลี่จินเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก ด้วยกลัวจะพรั่งพรูความรู้สึกต่อหน้าทุกคน“อร่อยเจ้าค่ะท่านประมุข”“เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ตามเจ้าหนูหลุนเถิด”จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ ขนมอร่อยมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ หากใจไม่ห้ามเอาไว้ ข้าอยากทานแทนอาหารสามมื้อ”ไช่จงซินหลุดหัวเราะเกือบสำลักน้ำชา“เสี่ยวจิ่วมีอารมณ์ขันแล้ว สตรีวัยเจ้าที่ทานมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีครรภ์ทั้งนั้น หรือเจ้ากำลังมีครรภ์”ไช่จงซินถามโดยไม่คิดอันใด ไม่คิดว่าทุกคนจะเงียบ เขามองหน้าจินเทียนหลุนสลั
บทที่ ๘๔คราวนี้ใครก็ดูถูกเจ้าไม่ได้แล้ววันเวลามาถึงวันที่จินเทียนหลุนเดินทางไปร่วมงานแต่งของท่านอาจารย์ตนที่แคว้นฝู ผู้ร่วมเดินทางประกอบไปด้วย จินหลี่จิน จินเทียนหลุน จิ่วเหลียนฮวา องครักษ์ของอ๋องทั้งสองและนางกำนัลคอยปรนนิบัติจิ่วเหลียนฮวาที่กำลังตั้งครรภ์ตอนนี้ผู้ทราบว่านางตั้งครรภ์มีเพียงฮ่องเต้ ไทเฮาและจินหลี่จินเท่านั้น อายุครรภ์เพิ่มขึ้นเมื่อไรจินเทียนหลุนจะประกาศเรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน“พลังยายหนูจิ่วดีนัก มิเช่นนั้นเราต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึง”ขบวนเดินทางไปร่วมงานมงคลยังไปไม่ถึงไหน แต่จิ่วเหลียนฮวาใช้พลังเทพเคลื่อนกายมาที่ปลายทางล่วงหน้าขบวนเดินทางมาก่อนแล้ว“จริงอย่างที่เสด็จอากล่าว เช่นนี้ดียิ่ง ครรภ์ของเจ้าจะได้ไม่เป็นอันตรายไปด้วย”จิ่วเหลียนฮวาพาเพียงสองหนุ่มราชวงศ์จินมาด้วยเท่านั้น เมื่อขบวนเดินทางใกล้เมืองหลวงแคว้นฝูเมื่อใดถึงค่อยกลับไปนั่งขบวนรถม้าอีกครั้ง“อีกหลาย
บทที่ ๘๓ไม่อยากได้รับคำแสดงความยินดีฉายาชายารองมือปราบมาร ตอนนี้ไม่ได้ลือกันในหมู่จวนขุนนางแล้วเท่านั้น แต่ยังเล่าลือกันไปทั้งเมืองหลวง ปากต่อปากรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แพร่ไปทั้งแผ่นดินใหญ่ แม้แต่ไช่จงซินที่อยู่เมืองหลวงแคว้นฝูยังได้ยิน“ยายหนูจิ่วมีชื่อเสียงใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าหนูหลุนได้กินน้ำส้มสายชูรายวันแน่”ไช่จงซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสุข จนกระทั่งดวงตาเหลือบไปมองเทียบเชิญงานแต่งของตนกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ความเศร้าหมองก็มาแทนที่“นายท่านจะให้ข้าน้อยส่งเทียบเชิญเลยหรือไม่”ไช่จงซินยังไม่ตอบ หลับตาลงซ่อนเร้นความเศร้าหมอง จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้ารับ แม้ไม่อยากให้คน ๆ นั้นมาร่วมงานด้วย…แต่หากไม่เชิญเลย เขาคงก็โดนอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าไม่ให้ความสำคัญ!“ส่งเลย ขออภัยพวกเขาแทนข้าด้วยที่ไม่ได้มาเชิญด้วยตัวเอง”“ขอรับนายท่าน”







