LOGINบทที่ ๘
เปิ่นหวางไม่คิดว่าน่ารังเกียจ
“เฮ้ย! ผีหลอก”
ที่ข้างโลงศพมีเพียงจินเทียนหลุนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม แม้แต่เฉียวเหอก็ยังเผลอถอยหลังไปหลายก้าว แต่เมื่อเห็นเจ้านายยังยืนกำดาบไว้แน่นเขาจึงเดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายร่างสูงทำใจแข็งจ้องร่างในโลงศพ
“ท่านอ๋อง นาง…”
“นางยังไม่ตาย”
แม้แต่คนพูดประโยคนี้ยังสะท้านยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉียวเหอที่จับชีพจรจิ่วเหลียนฮวาแล้วพบว่านางสิ้นใจแล้ว
“จะเป็นไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ก็ในเมื่อกระหม่อมจับชีพจรนางแล้วไม่เต้น”
“โดยทั่วไปชีพจรและหัวใจจะหยุดเต้นพร้อมกัน แต่บางกรณีชีพจรอาจหายไปก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้น…”
“เป็นไปได้ว่านางยังไม่ตายตั้งแต่แรกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จินเทียนหลุนพยักหน้ารับ ยื่นมือไปจับแก้มจิ่วเหลียนฮวาพบว่าร่างกายนางเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว เพื่อความมั่นใจจึงคิดยื่นมือไปตรวจชีพจรตรงคอให้นาง
ทว่ามือเขากลับถูกนางคว้าเอาไว้หมับ!
“ท่านอ๋องกำลังทำอะไรเพคะ”
จินเทียนหลุนถอนหายใจอย่างเบาใจเมื่อนางเอ่ยกับเขามาเป็นคำพูด ในตอนนั้นเองที่เฉียวเหอรู้ว่าเจ้านายตนก็หายใจไม่ทั่วท้องให้กับสถานการณ์นี้
“เจ้า…ขออภัย ก่อนหน้านี้เปิ่นหวางคิดว่าเจ้าเสียชีวิตไปแล้วจึงได้พามาฝังที่สุสานตระกูลหม่า”
จินเทียนหลุนคิดจะพูดว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า’ แต่เมื่อเห็นท่าทางงงงวยของนางแล้วจึงเปลี่ยนคำพูด
“ตายไปแล้วหรือเพคะ”
จิ่วเหลียนฮวายกมือสัมผัสอกข้างซ้ายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้แล้ว
นอกจากเลือดที่แห้งกรังติดเสื้อแล้ว นางไม่ได้รู้สึกเจ็บที่หน้าอกอีกต่อไป ในใจคิด…
ท่านเทพไม่ได้โกหกข้า ตอนนี้ข้าต้องตายอีกแปดครั้งสินะถึงจะกลับแดนบุปผาได้
“จิ่วเหลียนฮวา กลับตำหนักเทียนหลุนไปแล้วเปิ่นหวางจะให้หมอหลวงมาตรวจอาการเจ้า”
จิ่วเหลียนฮวากลับมาอยู่กับปัจจุบัน รีบโบกมือปฏิเสธในทันที
“มิได้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้เป็นอันใดแล้ว ขอบพระทัยท่านอ๋องที่เปิดฝาโรงก่อนที่หม่อมฉันจะขาดอากาศหายใจตายจริง ๆ”
“เจ้าเสียดสีเปิ่นหวาง”
จิ่วเหลียนฮวาหน้าเสีย ลุกออกจากโลงศพมาคุกเข่าที่พื้นเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ ได้โปรดท่านอ๋องและท่านองครักษ์ทั้งหลายช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
จิ่วเหลียนฮวาผสานมือโค้งตัวแนบหน้าผากจรดพื้นดิน เพียงสถานะบุตรหลานของตระกูลหม่าก็ทำให้นางใช้ชีวิตลำบากแล้ว นางไม่อยากเพิ่มสถานะผีดิบฆ่าไม่ตาย
“ไม่ต้องขอร้อง เปิ่นหวางสั่งไม่ให้คนแพร่งพรายเรื่องของเจ้าแล้ว แต่เปิ่นหวางไม่ให้คำมั่นว่าเรื่องจะไม่ถึงหูคนในวังเลย เมื่อวานเหตุการณ์ชุลมุนมาก อาจจะมีคนที่รู้จักเจ้าอยู่ในเหตุการณ์เมื่อวานนี้ก็ได้”
จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ ได้ยินแบบนี้แล้วนางจะได้เตรียมใจตั้งรับ ชีวิตนางไม่ง่ายมาตั้งแต่เกิด นางไม่คิดว่าตนจะโชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเห็นเหตุการณ์
ณ จวนจือเล่อ
เมื่อจิ่วเหลียนฮวาไม่ยอมให้จินเทียนหลุนเชิญหมอหลวงมารักษา เขาจึงให้หมอทั่วไปมารักษานางที่จวนจือเล่อ นางจะเป็นนางกำนัลคนแรกที่ได้โอกาสเลือกที่พักก่อนโดยมีเจ้าของจวนหนุนหลัง
จิ่วเหลียนฮวาจึงเลือกห้องที่มีทิวทัศน์นอกหน้าต่างเป็นสระบัวตามนามของตนเอง
ห้องที่นางเลือกมีสองเตียงด้วยกัน ตอนอยู่ตำหนักเทียนหลุนจือเล่อห้องนางก็มีสองเตียง แต่ไม่มีสหายนางกำนัลคนใดเลือกนอนห้องเดียวกับนาง
มายามนี้อยู่จวนจือเล่อแล้ว นางก็อยากรู้ว่าใครจะเลือกนอนห้องเดียวกับนางหรือไม่ หรือจะให้นางคนเดียวอีกตามเคย
“เชิญท่านหมอ”
จิ่วเหลียนฮวาเลิกสำรวจห้องเมื่อได้ยินเสียงเฉียวเหอดังขึ้นหน้าเรือนพักนางกำนัลที่มีห้องพักมากกว่าสิบห้อง
“คารวะท่านหมอเจ้าค่ะ”
จิ่วเหลียนฮวาโล่งใจที่ท่านหมอเป็นสตรี
“แม่นางมิต้องมากพิธี”
จิ่วเหลียนฮวาผายมือเชิญหมอหญิงไปนั่งศาลาแปดเหลี่ยมเพราะในห้องยังไม่ได้รับการทำความสะอาด
เฉียวเหอรู้มารยาท เดินออกจากศาลาแปดเหลี่ยมทันทีเพราะจิ่วเหลียนฮวาต้องเผยเนื้อหนังบริเวณกลางอกให้หมอหญิงดู ที่นี่ไม่มีใครอื่นอีก นางจึงไม่กังวลว่าจะมีผู้ใดลอบมองหรือไม่
ไม่คิดเลยว่าคนที่นางมิคิดว่าจะลอบมองตนต้องเบือนหน้าหนีทันทีที่เห็นจิ่วเหลียนฮวาดึงเสื้อลงจนเผยเนื้อนวลไร้บาดแผลเหวอะหวะ
“...แม่นางเพิ่งได้รับบาดเจ็บมาจริงหรือ”
เพราะบนผิวจิ่วเหลียนฮวาปรากฏเพียงรอยแผลเป็นเล็ก ๆ สวนทางกับเสื้อที่มีคราบเลือดเปื้อนเต็มหน้าอก
จิ่วเหลียนฮวาก้มลงมองแผลของตนเอง ไม่รู้จะอธิบายสถานการณ์ของตนเองอย่างไรดี
“เอ่อ คือว่า…”
“เอาเถอะ! ข้าเป็นหมอมานานหลายปีรู้ว่าสิ่งใดควรรู้สิ่งใดไม่ควรรู้ ข้าเก็บข้อมูลผู้ป่วยได้เก่งมาก ความนี้จะอยู่ที่ข้าเพียงผู้เดียวจนกระทั่งตัวตาย”
จิ่วเหลียนฮวาไม่เชื่อคำพูดของหมอหญิงเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องไปรายงานจินเทียนหลุนต่อ
“เจ้าค่ะ”
แต่สุดท้ายนางก็ตอบสั้น ๆ พร้อมรอยยิ้ม รอหมอหญิงเขียนเทียบยารักษาอาการภายในให้
“ดื่มยาตำรับนี้สามวัน อาการภายในดีขึ้นแน่ แต่เรื่องรอยแผลเป็นอาจจะต้องใช้ยาดีหน่อยถึงจะไม่ทิ้งรอยเรื่องนี้แม่นางต้องขอความกรุณาจากท่านอ๋องเองแล้ว”
ยาภายนอกที่ไม่ให้ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ราคาแพงนัก จิ่วเหลียนฮวามีทุนทรัพย์ไม่พออย่างที่หมอหญิงคิดจึงไม่ได้โกรธเคืองที่อีกฝ่ายมองทะลุ
“ข้าเป็นนางกำนัลต่ำต้อย มีรอยแผลเป็นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เรื่องนี้เรื่องเล็ก”
จิ่วเหลียนฮวามองเทียบยาในมือ ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเก็บเทียบยานี้เอาไว้ไม่คิดใช้เงินตัวเองซื้อหรือรบกวนใคร
ข้าต้องตายอีกตั้งแปดครั้ง เสียดายของ
“แม่นางอย่าได้กล่าวเช่นนั้น รูปโฉมแม่นางงดงามอยู่แล้ว ออกจากวังเมื่อใดย่อมแต่งให้กับบุรุษรูปงามที่มีฐานะหน่อยได้ อย่าให้ร่างกายเป็นแผลเป็นเลย”
จิ่วเหลียนฮวาเห็นสายตาจริงใจของหมอหญิงจึงส่งยิ้มให้บางเบา ไม่คิดพูดความในใจอันดื้อรั้นออกไป หมอหญิงที่ผ่านประสบการณ์มามากย่อมเดาความคิดนางออก ลอบถอนหายใจแผ่วเบา ในใจคิด…
เห็นแกความเอ็นดูที่ข้ามีต่อเจ้าจะช่วยพูดต่อหน้าท่านอ๋องให้ก็แล้วกัน
หมอหญิงเดินออกไปแล้วแต่จิ่วเหลียนฮวายังนั่งอยู่ที่เดิม นั่งมองโคมไฟดวงน้อยแสงสลัว ถอนหายใจให้กับเรื่องราวมากมายในวันนี้
ทางด้านหมอหญิงได้ถูกเชิญมาเรือนรับแขกโดยมีจินเทียนหลุนนั่งรออยู่แล้ว
นางรายงานผลการตรวจทุกอย่างให้เขาฟังรวมถึงเรื่องแผลเป็นที่อาจทิ้งร่องรอยเอาไว้
“มิทราบว่าหม่อมฉันปากมากไปหรือไม่ แต่ว่าผิวพรรณของสตรีสำคัญยิ่ง หากทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ว่าที่สามีของนางอาจรังเกียจเอาได้”
“มีรอยแผลเป็นน่ารังเกียจหรือ”
หมอหญิงนิ่งไปเพราะคิดนำจินเทียนหลุนไปก้าวหนึ่งแล้ว ด้านเฉียวเหอคิดทันหมอหญิงแล้วจึงกระแอมให้เจ้านายตนเบา ๆ
จินเทียนหลุนหันไปมองคนสนิท เริ่มแสดงท่าทางกระอักกระอ่วนเพราะคิดตามทันทั้งสองแล้ว
“เปิ่นหวางไม่ได้หมายความว่าจะเป็นสามีนางในอนาคต แต่เปิ่นหวางไม่คิดว่าสตรีมีแผลเป็นน่ารังเกียจ อย่างไรเจ้าก็ขอความเมตตาแทนนางแล้ว เปิ่นหวางจะให้คนเอายาไปให้นาง”
หมอหญิงยิ้มเต็มใบหน้า คำนับขั้นสูงสุด
“แล้วเทียบยาเล่าทานเล่า ให้นางไปแล้วใช่หรือไม่”
“เพคะ”
“เขียนให้เปิ่นหวางอีกแผ่น”
หมอหญิงยิ้มเต็มใบหน้า รีบเขียนเทียบยาอีกชุดให้จินเทียนหลุน ทีนี้นางก็หมดกังวลเรื่องผู้ป่วยไม่ทานยาแล้ว
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
“รบกวนท่านหมอเก็บเรื่องอาการของนางเป็นความลับด้วย…เฉียวเหอส่งแขก”
เฉียวเหอภายมือเชิญหมอหญิง ภายในห้องจึงเหลือเพียงเขา เฉียวฉือยังไม่กลับจากการไปจัดการเรื่องมือสังหารที่ลอบปลิดชีพชายคลั่ง
แต่ข้อมูลที่เขาทราบเบื้องต้นพบว่าร่างกายของชายคลั่งได้รับยาเสพติดตัวใหม่ที่ลอบนำเข้ามาจากแคว้นจู
เขามีลางสังหรณ์ว่าจะได้เดินทางไปเยือนแคว้นจูเพื่อสืบที่มาและทำลายบ่อเกิดยาเสพติดนี้
“คืนนี้ต้องลอบเข้าวังถวายรายงานฝ่าบาทแล้ว”
บทที่ ๘๘สตรีคลอดบุตรไม่ต่างจากก้าวเข้าประตูปากผีเมืองฮั่นหลินเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องขึ้น!เพื่อไม่ให้ตนมัวแต่จมปลักอยู่กับความรักที่ไม่อาจร่วมทางไปกับคนรักได้จนสุดฝั่ง จินหลี่จินจึงขอฮ่องเต้ไปสืบคดีนี้ด้วยตนเอง ฮ่องเต้อนุญาตเพราะคิดว่าการทำงานหนักอาจทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลาฟุ้งซ่านส่วนจินเทียนหลุนนั้น ยามนี้ได้รับตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองหลวงต่อจากท่านตาของจินหลี่จินเดิมทีตำแหน่งนี้ฮ่องเต้จินจิ่นฟู่อยากมอบให้จินหลี่จิน แต่อีกฝ่ายรักอิสระ อยากทำหน้าที่ที่ไม่กังขังตนเอาไว้เพียงในเมืองหลวง เขาจึงได้รับหน้าที่พิเศษเป็นฑูตประจำแคว้น ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ได้สะดวกสมกับที่ไม่มีครอบครัวส่วนจินเทียนหลุนที่มีชายาที่ท้องโตขึ้นทุกวันรอที่จวนอยู่แล้ว เช้ามาเข้ากองทัพฝึกทหาร ค่ำกลับจวนอยู่เป็นเพื่อนชายาและแนบหูคุยกับลูกน้อยทุกคืนแม้เด็กในท้องจะไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับเพราะเพิ
บทที่ ๘๗ความรักระหว่างมนุษย์เหมือนลมสายหนึ่งยามนี้เทพโอสถกำลังยืนอยู่บนกลางท้องฟ้า ใต้เท้าเป็นสัตตบงกชแห่งการเคลื่อนย้าย ด้านซ้ายมีหวงผิงที่ยืนอยู่บนปุยเมฆมองการแต่งงานของไช่จงซินในมุมสูงสีหน้าของเขาเรียบเฉยต่างกับเทพโอสถที่ฉายแววปวดใจ เมื่อคนที่กำลังเดินเคียงคู่กับไช่จงซินเข้าไปในโถงทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินมิใช่คนที่มีใจต้องกัน“ข้าเป็นคนนอก มองดูแล้วยังปวดใจเพียงนี้ พวกเขาสองคนก็คงปวดใจจนหายใจไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ จุกลิ้นปี่ตรงนี้”หวงผิงหันมามองนิ้วมือเรียวที่ชี้จุดตรงลิ้นปี่ที่อยู่ตรงกลางด้านล่างอกเหนือกระเพาะอาหาร“ท่านเจ็บเพราะจิ้มแรงเกินไป”คนที่กำลังคล้อยไปกับเรื่องราวไม่สมหวังของคู่รักมนุษย์ตวัดสายตามามองหวงผิง แต่เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายยังไม่เข้าใจความรู้สึกนี้จริง ๆ ก็ไม่โทษเขา“เอาเถอะ! เรื่องยังไม่เกิดกับตนจะเข้าใจได้อย่างไร ลองจินตนาการดู หากเจ้าเป็นไช่จงซินหรือจินหลี่จินจะไม่รู้สึกอันใด
บทที่ ๘๖เมื่อรักและหน้าที่ไปด้วยกันไม่ได้การมาเยือนแคว้นฝูครั้งนี้ จินเทียนหลุนคิดว่าคุ้มค่าที่สุด ไม่ต้องไปถามวิธีการดูแลบุตรจากหมอหลวงที่ไม่เคยตั้งครรภ์ แต่ได้ความรู้จากเหล่าฮูหยินทั้งหลายที่ต่อไปจะกลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าสตรีมีครรภ์จะเป็นเหน็บชา ต้องหมั่นนวดเท้า เรื่องอาหารการกิน งดดื่มสุรา รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่จะมีผลต่ออารมณ์และอย่างสุดท้ายที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่คือการร่วมหลับนอนระหว่างสามีภรรยา“เสี่ยวจิ่ว เปิ่นหวางถามฮูหยินทั้งสามแล้ว เรายังเข้าหอกันได้ตามปรกติ เว้นเพียงช่วงนี้กับช่วงใกล้คลอด ขอแค่เปิ่นหวางระวังไม่เน้นท่าโลดโผน ค่ำคืนของเราก็ยังคงเร่าร้อนได้เหมือนเคย”จิ่วเหลียนฮวาหน้าร้อนฉ่า ไม่คิดว่าสวามีของนางจะกล้าพูดเสียงดังต่อหน้าบ่าวในจวนตระกูลไช่ที่กำลังทำความสะอาดอยู่ด้านนอกนางดึงแขนเขาเข้าไปด้านในเรือนทันทีเพราะปั้นสีหน้าไม่ถูกแล้ว“ท่านอ๋อง! กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าคนอื่นไม่ได้เพคะ”“ขออ
บทที่ ๘๕เจ้าจะไม่ตายไปจากใจข้าสองหนุ่มใหญ่จ้องหน้ากันนิ่ง จิ่วเหลียนฮวาเห็นเช่นนั้นก็มองหน้าจินเทียนหลุน ไม่กล้าหายใจแรงเพราะกลัวว่าเสียงหายใจของตนจะไปขัดจังหวะคนทั้งคู่“ยายหนูจิ่ว ขนมของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง”ไช่จงซินถอนสายตาจากจินหลี่จินก่อน เดินไปนั่งตำแหน่งประมุขตระกูล รอคำตอบจากจิ่วเหลียนฮวาอย่างใจเย็น คำอวยพรจากจินหลี่จินเมื่อครู่ทำให้เขาไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอีก ด้วยกลัวจะพรั่งพรูความรู้สึกต่อหน้าทุกคน“อร่อยเจ้าค่ะท่านประมุข”“เรียกข้าว่าท่านอาจารย์ตามเจ้าหนูหลุนเถิด”จิ่วเหลียนฮวาพยักหน้ารับ “เจ้าค่ะ ขนมอร่อยมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ หากใจไม่ห้ามเอาไว้ ข้าอยากทานแทนอาหารสามมื้อ”ไช่จงซินหลุดหัวเราะเกือบสำลักน้ำชา“เสี่ยวจิ่วมีอารมณ์ขันแล้ว สตรีวัยเจ้าที่ทานมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสตรีมีครรภ์ทั้งนั้น หรือเจ้ากำลังมีครรภ์”ไช่จงซินถามโดยไม่คิดอันใด ไม่คิดว่าทุกคนจะเงียบ เขามองหน้าจินเทียนหลุนสลั
บทที่ ๘๔คราวนี้ใครก็ดูถูกเจ้าไม่ได้แล้ววันเวลามาถึงวันที่จินเทียนหลุนเดินทางไปร่วมงานแต่งของท่านอาจารย์ตนที่แคว้นฝู ผู้ร่วมเดินทางประกอบไปด้วย จินหลี่จิน จินเทียนหลุน จิ่วเหลียนฮวา องครักษ์ของอ๋องทั้งสองและนางกำนัลคอยปรนนิบัติจิ่วเหลียนฮวาที่กำลังตั้งครรภ์ตอนนี้ผู้ทราบว่านางตั้งครรภ์มีเพียงฮ่องเต้ ไทเฮาและจินหลี่จินเท่านั้น อายุครรภ์เพิ่มขึ้นเมื่อไรจินเทียนหลุนจะประกาศเรื่องนี้ให้ทราบโดยทั่วกัน“พลังยายหนูจิ่วดีนัก มิเช่นนั้นเราต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะเดินทางถึง”ขบวนเดินทางไปร่วมงานมงคลยังไปไม่ถึงไหน แต่จิ่วเหลียนฮวาใช้พลังเทพเคลื่อนกายมาที่ปลายทางล่วงหน้าขบวนเดินทางมาก่อนแล้ว“จริงอย่างที่เสด็จอากล่าว เช่นนี้ดียิ่ง ครรภ์ของเจ้าจะได้ไม่เป็นอันตรายไปด้วย”จิ่วเหลียนฮวาพาเพียงสองหนุ่มราชวงศ์จินมาด้วยเท่านั้น เมื่อขบวนเดินทางใกล้เมืองหลวงแคว้นฝูเมื่อใดถึงค่อยกลับไปนั่งขบวนรถม้าอีกครั้ง“อีกหลาย
บทที่ ๘๓ไม่อยากได้รับคำแสดงความยินดีฉายาชายารองมือปราบมาร ตอนนี้ไม่ได้ลือกันในหมู่จวนขุนนางแล้วเท่านั้น แต่ยังเล่าลือกันไปทั้งเมืองหลวง ปากต่อปากรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แพร่ไปทั้งแผ่นดินใหญ่ แม้แต่ไช่จงซินที่อยู่เมืองหลวงแคว้นฝูยังได้ยิน“ยายหนูจิ่วมีชื่อเสียงใหญ่แล้ว คราวนี้เจ้าหนูหลุนได้กินน้ำส้มสายชูรายวันแน่”ไช่จงซินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความสุข จนกระทั่งดวงตาเหลือบไปมองเทียบเชิญงานแต่งของตนกับคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวง ความเศร้าหมองก็มาแทนที่“นายท่านจะให้ข้าน้อยส่งเทียบเชิญเลยหรือไม่”ไช่จงซินยังไม่ตอบ หลับตาลงซ่อนเร้นความเศร้าหมอง จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็พยักหน้ารับ แม้ไม่อยากให้คน ๆ นั้นมาร่วมงานด้วย…แต่หากไม่เชิญเลย เขาคงก็โดนอีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าไม่ให้ความสำคัญ!“ส่งเลย ขออภัยพวกเขาแทนข้าด้วยที่ไม่ได้มาเชิญด้วยตัวเอง”“ขอรับนายท่าน”







