การแต่งงานผ่านไปอย่างทุลักทุเล ยามที่กำลังยกน้ำชาคำนับฟ้าดิน หลี่รั่วหานก็แกล้งจ้าวไป๋ลู่ โดยการใช้ไหล่ของเขากระแทกไหล่ของนาง จนน้ำชาในถ้วยกระฉอกมาโดนใบหน้าของนางเต็ม ๆ จ้าวไป๋ลู่เองก็มิยอมแพ้ ยามที่ต้องตักขนมมงคลป้อนให้เขากิน นางก็ตักขึ้นมาเต็มช้อนโดยที่ไม่เป่าให้หายร้อนเสียก่อน ก็ยัดเข้าปากเขาในทันที
ภาพที่เจ้าบ่าวตาเหลือกช่างสร้างความสุนทรีย์ให้คนในงานไม่น้อย
ช่างเป็นงานแต่งที่บันเทิงเสียจริง!!!
"เฮ้อ!!! หมิงอวี้ข้าหิวแล้ว"
"ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวจะนำหมั่นโถวมาให้ท่านนะเจ้าคะ"
ยามนี้นางมานั่งพักในเรือนหอเรียบร้อยแล้ว จ้าวไป๋ลู่ยกมือขึ้นลูบท้องด้วยความหิวโหย ให้ตายเถิด การแต่งงานมันช่างทรมานเสียจริงเชียว
ไม่นานหมิงอวี้ก็นำหมั่นโถวมาให้นางสามลูก จ้าวไป๋ลู่กินจนหมดก่อนจะทิ้งกายลงนอนบนเตียง ความอิ่มทำให้นางรู้สึกง่วงงุนไม่น้อย จึงผล็อยหลับไปเสียอย่างนั้น
หลังจากส่งแขกเหรื่อเรียบร้อยแล้ว หลี่รั่วหานก็เดินเข้ามาในห้องหอก่อนจะสั่งให้หมิงอวี้ออกไปเสีย เขาเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่ และยกเท้าขึ้นมาเขี่ยขานางอย่างรังเกียจ
"อ๊าาาา ซาลาเปาไส้หมูแดง ซดน้ำซุปด้วย เยี่ยม!!!"
หลี่รั่วหานรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นอกจากนางจะไม่ยอมลุกแล้ว ยังกล้าละเมอถึงของกินอีกด้วย
ตะกละที่สุด!!!
"ตื่น!!! ไปนอนพื้นเดี๋ยวนี้ นี่มันเตียงของข้า!!!"
"หา!!! ต้องนอนกินที่พื้นถึงจะอร่อยหรือ!!!"
หลี่รั่วหานเริ่มหมดความอดทนแล้ว ในระหว่างที่เขากำลังจะยกเท้าขึ้นถีบนางให้ตกเตียง โรคเดิมก็กำเริบขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
บัดซบ!!! มันแข็งอีกแล้ว!!!
เขายกมือขึ้นไปจับที่หว่างขาของตนเองก่อนจะมองมาที่จ้าวไป๋ลู่
ฝากไว้ก่อนเถอะเด็กผี!!! ไว้ข้าชักเสร็จแล้วจะมาจัดการกับเจ้า!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลี่รั่วหานจึงรีบเดินไปที่ด้านหลังม่านซึ่งมีอ่างน้ำอยู่ เขาไม่ได้สนใจอ่างน้ำนั้นเท่าใดนัก ยามนี้เขารีบถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจนหมดก่อนจะใช้มือสาวชักลำแท่งแก่นกายขึ้นลงอย่างเมามัน
"อ๊าาาา ชักลงชักขึ้น ชักขึ้นชักลง!!! ซี้ดดด!!!"
เขาส่งเสียงครวญครางอย่างเสียวสะท้าน นี่เป็นบทสวดสวรรค์ที่เสด็จลุงทรงมอบให้เขา เสด็จลุงบอกว่ายามที่ชักจะต้องท่องบทสวดสวรรค์นี้พร้อมกันไปด้วย จะทำให้พละกำลังที่ข้อมือเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
"โอ้ววว ชักขึ้นชักลง ชักลงชักขึ้น!!!"
ยามนี้เองที่จ้าวไป๋ลู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาพอดี นางขยี้ตาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น
"ผู้ใดมาท่องชักลงชักขึ้น ชักอันใดกัน!!! เอ๊ะ นั่น ใครน่ะ!!!"
เมื่อมองฝ่าความมืดที่มีเพียงแสงเทียนเลือนราง นางจึงเห็นว่ามีใครบางคนกำลังทำบางสิ่งอยู่ที่หลังม่านผืนบางนั้น
หรือว่าจะเป็น?
โจร!!!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นจ้าวไป๋ลู่จึงเดินเข้าไปใกล้ม่านนั้นอย่างช้า ๆ มือของนางถือหมอนเอาไว้แน่น หากเป็นโจรจริง ๆ นางจะฟาดมันให้ตายคาหมอนนี่เสีย!!!
นางค่อย ๆ เยื้องย่างกาย
ทีละก้าว
ทีละก้าว
"ชักขึ้นชักลง ชักลงชักขึ้น!!!"
"เจ้า โจร..."
"ชักขึ้นชัก...โว้ยยยยยย!!!"
ภาพที่เห็นทำให้จ้าวไป๋ลู่ถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกของตนอย่างตื่นตะลึง!!!
พระโพธิสัตว์ช่วยด้วย!!! งูยาวมากเจ้าค่ะ!!!
"นี่เจ้า!!! ไสหัวไป๊!!!"
"ไปแล้วเจ้าค่ะ เชิญท่านชักต่อเถิด ข้าจะไปนอนแล้ว!!!"
ไม่ต้องอาบแล้วน้ำ นอนมันทั้งแบบนี้นี่แหละ!!!
จ้าวไป๋ลู่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ โดยที่มือยังคงตบที่หน้าอกตนเองไม่หยุด
อมิตาพุทธ ใหญ่ หนอ ยาว หนอ!!!
ไม่ใช่ สิ!!!
หลี่รั่วหานใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย คืนนั้นทั้งคืนเขาทำได้เพียงนอนเอนกายพิงอ่างน้ำอยู่เช่นนั้นจนถึงรุ่งสาง
ยามเช้ามาถึง หลังจากแต่งกายเรียบร้อยแล้ว นางก็มารับสำรับยามเช้าที่โต๊ะอาหาร เมื่อมาถึงก็พบว่าหลี่รั่วหานกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"ไร้มารยาท ให้ข้ารอเจ้าเป็นนานสองนาน ไม่แหกตาดูหรือ!!!"
"ขออภัยเจ้าค่ะ เมื่อคืนข้านอนไม่ค่อยหลับ"
"เหตุใดจึงนอนไม่หลับ"
"เอ่อ..."
จ้าวไป๋ลู่เอ่ยพลางจ้องมองไปยังหว่างขาของหลี่รั่วหานด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน หลี่รั่วหานที่เห็นเช่นนั้นจึงถลึงตามองนางทันที
"อย่าคิดลวนลามข้าทางสายตา สตรีเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์จะได้เห็นทุกส่วนบนร่างกายของข้าจำเอาไว้!!!"
"เจ้าค่ะ"
จ้าวไป๋ลู่ไม่อยากเถียงกับเขาให้มากความ ให้ตายเถิด เมื่อคืนนางเห็นจนหมดแล้ว เขาลืมไปแล้วหรือ!!!
"อิ่มแล้วก็รีบไปคารวะท่านแม่ ชักช้าน่ารำคาญ!!!"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินนำหน้านางไปที่เรือนใหญ่ทันที
องค์หญิงหงลี่และแม่ทัพใหญ่ดีต่อนางไม่น้อย อีกทั้งยังเอ็นดูนางมากอีกด้วย จ้าวไป๋ลู่จึงค่อนข้างวางใจลงได้เป็นอย่างมาก แม้หลี่รั่วหานจะไม่ดีกับนางก็ตาม แต่ตราบใดที่แม่สามียังคงเมตตานาง นางย่อมใช้ชีวิตในจวนโหวได้อย่างราบรื่นเป็นแน่
วันทั้งวันในจวนโหวผ่านไปอย่างเรียบง่าย จ้าวไป๋ลู่ทำขนมและอาหารให้แม่สามีได้ลองชิมอย่างตั้งใจ อีกทั้งฝีมือการแกะสลักผักผลไม้ของนางก็ดีเยี่ยมไม่แพ้ผู้ใดอีกด้วย
องค์หญิงหงลี่เองก็มิได้เร่งรัดให้นางกับหลี่รั่วหานร่วมหอกันอย่างจริงจัง องค์หญิงหงลี่ย่อมรู้นิสัยของบุตรชายตนเองดียิ่งกว่าผู้ใด
เวลาล่วงเลยมาจนถึงยามบ่าย จ้าวไป๋ลู่รู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย นางจึงออกมาเดินเล่นที่สวนท้ายจวนเพียงลำพัง นางมองเห็นชิงช้าต้นเรื่องที่ทำให้นางกับหลี่รั่วหานต้องมาแต่งงานกัน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ
"อื้อออ!!!"
เอ๊ะ!!! เสียงผู้ใดกัน!!!
จ้าวไป๋ลู่ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเดินตามเสียงนั้นไปที่ด้านหลังต้นสาลี่ นางเห็นเหมือนมีคนกำลังทำบางสิ่งอยู่
"ชักขึ้นชักลง ชักลงชักขึ้น!!!"
"ซื่อจื่อ!!!"
"โว้ยยยยยย!!! เจ้าอีกแล้ว!!!"
หลี่รั่วหานที่กำลังรูดชักลำแท่งเอ็นร้อนอย่างเมามันที่ใต้ต้นสาลี่หันขวับมามองจ้าวไป๋ลู่ทันทีด้วยความตกใจ เดิมทีเขาคิดว่าตรงนี้ปลอดผู้คนแล้วเสียอีก แต่เด็กผีนี่กลับโผล่มาเสียได้!!!
"ชู่ว์!!! อย่าเสียงดังเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวไพร่มาเห็นเข้ามันจะไม่งามนะเจ้าคะ!!!"
จ้าวไป๋ลู่ยกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากก่อนจะมองซ้ายทีขวาที สร้างความสงสัยให้หลี่รั่วหานไม่น้อย
"เจ้ามองสิ่งใด!!!"
"มองคนเจ้าค่ะ!!!"
จ้าวไป๋ลู่กระซิบกระซาบกับเขาอย่างระมัดระวัง
"ซื่อจื่อ ท่านชักต่อเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะดูต้นทางให้เอง"
"หา!!!"
จ้าวไป๋ลู่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง หลี่รั่วหานกัดฟันกรอด ก่อนจะเอ่ยทีละคำด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
"ไส หัว ไป!!!"
"ไม่ได้เจ้าค่ะ ดูจากอาการก็รู้ว่าท่านใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว ข้ารู้เจ้าค่ะ ท่านพ่อกับพี่ชายข้าก็ชอบทำเช่นนี้บ่อย ๆ เร่งมือเถิดเจ้าค่ะ!!! เอาให้เต็มที่ ข้าจะดูต้นทางให้ท่านเอง ถ้ามีคนมาข้าจะรีบบอกท่านทันที"
หลี่รั่วหาน อ้าปากค้าง นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!!!
นางจะดูต้นทางให้เขาด้วย!!!
แม้จะสงสัยแต่ยามนี้ไม่มีเวลาแล้ว เขาใกล้จะเสร็จสมแล้ว ขืนหยุดกลางคันย่อมไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพเป็นแน่ อีกทั้งเขายังต้องชักแข่งกับเสด็จลุงในวันพรุ่งนี้อีกด้วย จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
"เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย"
"ได้เจ้าค่ะ ไว้ใจข้าได้เลย!!!"
เมื่อตกลงกันตามแผนแล้ว หลี่รั่วหานจึงตั้งหน้าตั้งตารูดชักท่อนเนื้อท่อนเอ็นตนเองอย่างถี่ระรัว ในขณะที่จ้าวไป๋ลู่ก็มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง
"อ๊าา ชักขึ้นชักลง ชัก..."
"ชักลงชักขึ้น!!!"
"บัดซบ!!! มาท่องตามข้าด้วยเหตุใดกัน!!!"
"ขออภัยเจ้าค่ะ มันจำติดหูข้าเสียแล้ว!!!"
หลี่รั่วหาน "..."
หวังเจียหมิ่นเดินถือกล่องใส่อาหารไว้ในมือ ก่อนจะเดินขึ้นไปบนวัดไป๋หม่า เขาทำเช่นนี้มาร่วมปี เขาเองก็เต็มใจทำโดยไม่เคยปริปากบ่นแม้เพียงน้อยเสียงกวาดพื้นดังมาเป็นระยะ หวังเจียหมิ่นจ้องมองสตรีตรงหน้าที่ยามนี้นางเกล้าผมอย่างเรียบร้อย สวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา กำลังถือไม้กวาดกวาดใบไม้อย่างตั้งใจนางคือหลี่หลานฮวา หรือก็คือ หนิงเสวี่ย นั่นเอง นางเสียสติอยู่ร่วมปี กว่าจะทำใจยอมรับเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่นางจะยอมรับว่านางกับหลี่รั่วหานเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และไม่ง่ายเลยกว่านางจะยอมรับว่าสตรีที่นางเกลียดชังนักหนา แท้จริงแล้วคือมารดาผู้ให้กำเนิดนาง แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก แต่ในท้ายที่สุดนางก็ทำใจยอมรับมันได้ แม้จะต้องใช้เวลาบ้างก็ตาม นางอุทิศตัวให้พระโพธิสัตว์ ชาตินี้จะขอสร้างบุญเพื่อไถ่บาปกรรมที่นางเคยทำเอาไว้ทั้งหมด แม่ทัพใหญ่หลี่ องค์หญิงหงลี่และหลี่รั่วหานยังคงมาเยี่ยมนางอยู่เสมอ พวกเขายังคงพูดกับนางเหมือนเช่นทุกครา ว่ายังรอวันที่นางจะยินดีกลับจวนโหวอีกครั้ง ซึ่งนางเองก็ยังไม่รู้ว่าวันนั้นจะมาถึงเมื่อใดนางรู้สึกผิดต่อทุกคน ด้วยความรู้สึกผิดในใจนางจึงเล
จ้าวไป๋ลู่ยื่นน้ำตาลก้อนหนึ่งให้หลี่รั่วหานเพื่อให้เขาใช้แก้อาการแสบร้อนในปาก เขารีบยัดน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากทันที ยามนี้ปากของเขาบวมราวกับโดนฝูงผึ้งรุมต่อย สร้างความขบขันให้แก่นางไม่น้อย "หลี่รั่วหาน" "หืม" "ท่านพ่อท่านแม่ข้าบอกข้าว่า พวกเขาชอบท่านมาก" "จริงหรือ?" "จริงสิ แต่จะให้ข้ากลับเข้าจวนไปง่าย ๆ ก็คงจะไม่ดีเท่าใดนัก" "จ้าวไป๋ลู่ เรามาแต่งงานกันอีกรอบเถิด!!!" "ท่านว่าอย่างไรนะ" "ข้าจะแต่งงานกับเจ้าอีกรอบ เรามาแต่งงานกันเถอะ" "หลี่รั่วหาน ท่านแน่ใจแล้วหรือ ว่าจะแต่งกับข้าอีกครั้ง" "แน่ใจสิ""หากข้าไม่ได้อ่อนโยนเหมือนแต่ก่อนเล่า ไม่ใช่คนที่ท่านสามารถเอาเปรียบได้เช่นแต่ก่อนอีกเล่า" "ข้าก็ยังยืนยันที่จะแต่งกับเจ้าเช่นเดิม" "ท่านจะไม่โกหกข้า ไม่ทำร้ายข้าอีกครั้งใช่หรือไม่" "ข้าจะไม่มีวันทำให้เจ้ากับลูกเสียใจอีกเป็นอันขาด" "หากท่านผิดสัญญา ข้าจะไม่กลับไปหาท่านอีก" "ห้าปีที่ข้ารอเจ้า มันเป็นบทเรียนชั้นดีที่สอนข้าอย่างสาหัสแล้วจ้าวไป๋ลู่" "ตกลง เช่นนั้นข้าจะแต่งงานกับท่านอีกครา" "จริงหรือ เจ้าพูดจริงหรือ!!!" "หน้าข้าเหมือนคนโกหกหรือ?" "ก็ข้าคิดว่าเจ้า..." "หุบปาก!!!"
จวนตระกูลจ้าวหลี่รั่วหานมาตามที่ตกลงกับจ้าวไป๋ลู่เอาไว้ ยามนี้เขากำลังนั่งตัวเกร็งอยู่ที่ห้องโถงด้านในจวนตระกูลจ้าว อดทนกับสายตากดดันของจ้าวเยียน ฮูหยินหลิวอิ๋ง และจ้าวเฉียน ที่มองเขาด้วยแววตาที่เย็นเยียบแต่เพื่อนางกับลูกเขายอม จ้าวเยียนปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา "ซื่อจื่อ ท่านแน่ใจแล้วหรือ ที่จะลดตัวลงมาหาพวกเรา" "แน่ใจขอรับ ข้าเต็มใจทำทุกสิ่งเพื่อจ้าวไป๋ลู่กับลูก" "ก็ดี ท่านทำอาหารเป็นหรือไม่ แม่ครัวเก่าเพิ่งจะลาออกไป ฮูหยินข้ากำลังอยากได้ลูกมือทำครัวอยู่พอดี" "ได้เลยขอรับ" ฮูหยินหลิวอิ๋งปรายตามองหลี่รั่วหานคราหนึ่ง ก่อนจะครุ่นคิดถึงจดหมายที่องค์หญิงหงลี่ส่งมาให้นาง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า จัดการให้หนัก! ยามนี้นางกับองค์หญิงหงลี่ปรับความเข้าใจกันด้วยดีแล้วหลี่รั่วหานเดินตามฮูหยินหลิวอิ๋งเข้ามาในโรงครัว ก่อนจะจ้องมองนางที่กำลังหยิบมีดคมขึ้นมาถือเอาไว้ ในใจของเขาก็รู้สึกเย็นวาบแปลก ๆ "มีดนี่คมมาก ข้าใช้มันหั่นเนื้อเป็นประจำ เป็นมีดประจำตัวของข้า เดิมทีข้าอยากส่งต่อมันให้กับจ้าวไป๋ลู่ ซื่อจื่อท่านรู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าจึงอยากส่งต่อมีดนี้ให้บุตรสาวของข้า"
ยามนี้เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในความสงบแล้ว ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเช่นเคย และมีเรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องหนึ่งนั่นก็คือ เซียวถงกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับสวีลั่วลั่ว ทั้งสองพบรักกันเมื่อหนึ่งปีก่อนจ้าวไป๋ลู่ยินดีกับทั้งสองเป็นอย่างมาก และนางดีใจที่เซียวถงจะมีสตรีที่ดีพร้อมมาคอยดูแลเสียที ส่วนนางเองก็ยังไม่ได้ใจอ่อนกับหลี่รั่วหาน แม้ว่าเขาจะพยายามตามง้อนางก็ตาม ยามนี้จ้าวหยางอายุได้สี่ขวบปีแล้ว เป็นวัยที่กำลังช่างพูดช่างคุย บางคราเขาตื่นมาชวนนางคุยกลางดึกก็เคยทำมาแล้ว วันนี้เป็นวันมงคลของเซียวถงและสวีลั่วลั่ว จ้าวไป๋ลู่พาจ้าวหยางไปร่วมงานในครานี้ด้วย งานเลี้ยงจัดอย่างยิ่งใหญ่ ผู้คนต่างมาร่วมยินดีกับบ่าวสาวกันมากมายจ้าวไป๋ลู่มองดูเซียวถงกับสวีลั่วลั่วที่หยอกล้อกันตามประสาคู่แต่งงานก็เผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย งานแต่งของนางไม่เคยมีความทรงจำเหล่านี้อยู่เลยแม้แต่น้อย "ไป๋ไป๋" จ้าวไป๋ลู่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปพบหลี่รั่วหานที่เดินมาพร้อมกับหลัวเทียนเฉิน นางเพียงมองเขาแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา "แม่นางไป๋ไป๋ ดีใจที่ได้พบเจ้าอีกครา" "ใต้เท้าหลัว" "อย่าเรียกบ่อย ข้ากลัวจะตกหลุมรักเจ้
เว่ยจิ่นซางหยิบยาพิษออกมาจากในอกเสื้ออีกขวดหนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาองค์หญิงหงลี่ช้า ๆ "ตายซะเถอะ ในที่สุดข้าก็ล้างแค้นได้สำเร็จสักที" ฉึก! ยังไม่ทันที่เว่ยจิ่นซางจะสังหารองค์หญิงหงลี่ได้สำเร็จ มีดเล่มหนึ่งก็แทงเข้ามาที่แผ่นหลังของนางทะลุมาที่หน้าท้อง เมื่อนางหันกลับไปช้า ๆ จึงได้พบว่าเป็นฝีมือของหนิงเสวี่ย "นะ!!! นังชั่ว นังเนรคุณ!!!" "ฮือออออ" หนิงเสวี่ยแทงมีดจนสุดด้าม ก่อนจะทิ้งกายลงนั่งบนพื้นแล้วปิดหน้าร้องไห้โฮออกมาอย่างเจ็บปวดเว่ยจิ่นซางตกตายด้วยมีดเล่มนั้นของหนิงเสวี่ย"ท่านแม่!!!"ด้านนอกมีเสียงการต่อสู้ดังขึ้น ก่อนจะมีคนเปิดประตูพุ่งเข้ามา เป็นหลี่รั่วหานนั่นเอง เขามองสภาพศพของเว่ยจิ่นซางที่นอนตายอยู่บนพื้นดวงตาเบิกกว้าง ข้าง ๆ กันมีหนิงเสวี่ยที่นั่งร้องไห้อยู่ เขาไม่มีเวลาสนใจหนิงเสวี่ยมากนัก เขารีบวิ่งเข้าไปแก้มัดให้องค์หญิงหงลี่ ก่อนจะเดินเข้าไปหาจ้าวไป๋ลู่และลูกที่นอนหลับไม่ได้สติอยู่ข้าง ๆ กัน"ไป๋ไป๋!!!" "นางสลบไม่ได้สติมาหลายชั่วยามแล้ว" เสียงของหลี่รั่วหานปลุกหนิงเสวี่ยให้ตื่นจากความสับสนและหวาดกลัวในจิตใจ นางค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมองเขาช้า ๆ เมื่อเขาหันมาส
นางกรอกยาพิษทั้งที่มือก็สั่นไม่น้อย ยิ่งได้เห็นแววตาที่แข็งกระด้างขององค์หญิงหงลี่ที่มองมา มือนางก็สั่นมากยิ่งขึ้น จนทำยาพิษหกลงพื้นไปเสียดื้อ ๆ องค์หญิงหงลี่กินยาพิษนั้นไปไม่ถึงครึ่งขวดด้วยซ้ำ แต่นางก็กระอักโลหิตสีดำออกมาไม่น้อย เว่ยจิ่นซางที่ได้เห็นเช่นนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะสะใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง แปะ แปะ แปะ หนิงเสวี่ยกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองเว่ยจิ่นซาง "ท่านแม่" เว่ยจิ่นซางหันมามองหนิงเสวี่ยด้วยสายตาที่เย็นชา "ผู้ใดเป็นแม่เจ้ากัน?" "เอ๋? ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงเอ่ยวาจาเช่นนี้เจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ" เว่ยจิ่นซางปรายตามองหนิงเสวี่ยอย่างดูแคลน แววตาที่เคยมองนางประดุจลูกในไส้ แววตาที่อ่อนโยนเลือนหายไปจนหมดสิ้น ยามนี้มีเพียงความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ นางทุ่มเทแรงกายแรงใจ รอเวลานี้มานานเหลือเกิน นางรอจนกระทั่งถึงวันนี้!!! "ฮ่า ๆ ๆ ๆ การได้มองเห็นบุตรสาวกำลังฆ่ามารดาของตนเองกับมือ ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง ๆ" เว่ยจิ่นซางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข หนิงเสวี่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ด้านองค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเว่ยจิ่นซางเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ใจของนางก็เต้นแรงอย่างบ