2 อาทิตย์ต่อมา
หลังจากที่งานแต่งได้ถูกจัดขึ้นในโรงแรมหรูหราระดับห้าดาว ทั้งแขกที่มาร่วมงานและทุกๆ คนต่างมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแสดงความยินดี แต่คงจะมีเพียงชายหนุ่มคนเดียวเท่านั้นที่เอาแต่ทำสีหน้าบูดบึ้งตึง เคร่งเครียดเย็นชาตลอดทั้งงาน แม้แต่ในขั้นตอนพิธีสวมแหวนแต่งงานเขาก็ไม่เต็มใจที่จะสวมให้กับหญิงสาวอย่างวนิดาเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวที่เห็นท่าทีเยือกเย็นจนคล้ายกับไร้เยื่อใยที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงของชายหนุ่มแล้ว ทำให้ความเจ็บปวดระลอกแล้วระลอกเล่าผุดขึ้นมาเสียความรู้สึกราวกับว่าหัวใจดวงน้อยกำลังถูกเข็มทิ่มแทง แต่เธอก็ทำได้เพียงแอบใช้หลังมือปาดน้ำตาด้วยความเจ็บปวดน้อยใจอดทนเพื่อลูกในท้องเท่านั้น... บ้านหลังหนึ่ง ห้องรับแขก “หนูวนิดาชอบไหมจ๊ะ” คุณหญิงได้เอ่ยถามหญิงสาวในฐานะแม่สามีมีใบหน้ายิ้มแย้มอย่างไม่มีท่าทีที่จะรังเกียจเธอเลยแม้แต่น้อย “ชอบค่ะคุณแม่” “บ้านหลังนี้แม่สร้างขึ้นเพื่อจะมอบให้กับวายุกับหนูเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานนะ” “ขอบคุณนะคะคุณแม่” ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้ม หญิงสาวได้แต่กวาดสายตามองไปยังบริเวณภายในของบ้านซึ่งถูกตกแต่งได้อย่างสวยหรูดูแพงตามฐานะอย่างตื้นตันใจ จนแทบจะสรรหาคำไหนมาบรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลยว่าตัวเธอโชคดีมากแค่ไหนที่มีวาสนาได้แม่สามีที่ใจดีกับเธอได้ถึงขนาดนี้ “ส่วนเรื่องของใช้อะไรที่ขาดเหลือหรืออยากได้อะไรเพิ่มหนูบอกแม่ได้เลยนะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วหนูไม่ต้องเกรงใจนะลูก” “แค่นี้ก็เยอะมากแล้วค่ะคุณแม่” “เยอะตรงไหนกันแค่นี้ยังเล็กน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ลูกสะใภ้แม่จะน้อยหน้าคนอื่นได้ยังไง แม่ไม่ยอมหรอกนะ” คุณหญิงแม่สามีพูดอย่างเอาใจลูกสะใภ้แสนดีอย่างวนิดา ทำให้เธอแอบอดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากสามีจะแสนดีเอาใจใส่เธอแบบนี้สักนิดมันคงจะดีไม่น้อย “แม่ว่าเราไปซื้อของตกแต่งมาเพิ่มดีไหม ตรงนี้เหมือนว่ามันจะดูโล่ง ๆ ไป หนูวนิดาว่าไง” “ดาแล้วแต่คุณแม่เลยค่ะ” “อย่างนั้นก็เอาตามที่แม่ว่าก็แล้วกัน ส่วนเรื่องแม่บ้าน…” “มะ...ไม่ต้องก็ได้ค่ะ เดี๋ยวงานบ้านหนูทำเองดีกว่า” ยังไม่ทันให้คุณหญิงพูดจบประโยคหญิงสาวรีบยกมือเรียวขึ้นโบกมือส่ายไปมาด้วยความเกรงใจทันที “ได้ยังไงกัน หนูกำลังท้องกำลังไส้อยู่นะ ไม่รู้ล่ะแม่ไม่ยอมให้หนูต้องทำงานหนัก ๆ หรอกนะลูก” คุณหญิงรีบเอ่ยปากค้านอย่างหนักทำให้ชายหนุ่มอย่างจิรายุที่นั่งฟังเงียบอยู่ใกล้ๆ ถึงกับกลอกตามองบนอย่างหมั่นไส้กับความเอาใจใส่ลูกสะใภ้ที่เกินหน้าเกินตา เขาไม่คิดเลยว่าผู้เป็นแม่จะหลงผู้หญิงคนนั้นที่เขาไม่ชอบใจอย่างไม่ลืมหูลืมตาได้ถึงขนาดนี้ ครืด ครืด ในระหว่างการสนทนาจู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของชายหนุ่มได้ส่งเสียงดังขึ้น ทำให้เขาต้องรีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดู (สายเรียกเข้า 'ทีน่า') เมื่อบนหน้าจอโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่าเป็นใครโทรเข้ามา ชายหนุ่มแยกยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อยอย่างมีเลศนัยก่อนที่จะไม่รอช้ารีบกดรับสายโดยทันที “ฮัลโหลครับทีน่า” ชายหนุ่มพูดกับปลายสายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานปานจะหยดต่อหน้าต่อตาผู้เป็นแม่และวนิดาที่เพิ่งจะแต่งเข้ามาเป็นภรรยาของเขาถูกต้องตามกฎหมายอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจเลยว่าเธอจะรู้สึกยังไง (พี่วายุขา ทีน่าคิดถึงพี่วายุจังเลยค่ะ) เสียงออดอ้อนของเด็กใสสต๊อกทำเอาชายหนุ่มใจอ่อนยวบยาบราวกับขี้ผึ้งถูกไฟลน “พี่ก็คิดถึงน้องทีน่าครับ” (ทีน่าคิดถึงพี่วายุมาก ๆ เลยค่ะ แล้วก็ทีน่าอยากไปช็อปปิ้งด้วย พี่วายุพาทีน่าไปได้มั้ยคะ นะ นะ น่าพี่วายุขา) “ได้สิครับ รอพี่แป๊บนะเดี๋ยวพี่จะรีบไปหา” น้ำเสียงของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เสน่หายิ้มแย้มออกหน้าออกตาดูมีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ แต่ท่าทีแบบนั้นของชายหนุ่มกำลังทำให้ริมฝีปากบางเรียวของหญิงสาวต้องเม้มแน่นขึ้น มือเรียวทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่น ดวงตาดำสนิทตราตรึงอยู่บนใบหน้าของหล่อเขาซึ่งเป็นสามีของเธอนิ่ง เต็มด้วยความเจ็บปวดหัวใจ หยาดน้ำอุ่นๆ เอ่อขึ้นในตาจนวิสัยทัศน์พร่ามัวแต่ต้องฝืนกลั้นอดทนต่อความรู้สึกเอาไว้ภายในใจอย่างสุดกำลัง (รีบๆ มานะคะ ทีน่ามีของขวัญรอพี่วายุด้วยน๊า) น้ำเสียงออดอ้อนดั่งลูกแมวน้อยมีหรือเสือร้ายจะอดใจไหว ชายหนุ่มได้ลุกขึ้นพรวดออกจากโซฟาแล้วรีบเดินดุ่มๆ ออกมาจากตรงนั้นทันที โดยไม่คิดจะนึกถึงความรู้สึกของภรรยาอย่างวนิดาในตอนนี้เลยสักนิด “เจ้าวายุนั่นแกจะไปไหนกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ! เจ้าลูกไม่รักดีคนนี้ มันน่าเขกหัวกระบาลเสียจริงๆ” "..." ผู้เป็นแม่กัดฟันกรอดเมื่อเห็นแล้วว่าไม่สามารถที่จะหยุดเจ้าลูกชายตัวดีของตนได้อีกต่อไป ก่อนที่เสียงสตาร์ตรถดังขึ้นแล้วถูกขับออกไปด้วยความเร็ว ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะเริ่มอบอวลไปด้วยความหม่นหมองภายในบ้านหลังใหม่ “หนูวนิดาลูก...” ฝ่ามือเล็กแตะลงบนท่อนแขนเรียวของลูกสะใภ้อย่างเศร้าสร้อยทั้งเห็นใจ ในตอนนี้หญิงสาวรู้สึกขมขื่นทั้งเสียใจไม่น้อยเมื่อสามีอย่างเขาไม่คิดจะหันมาสนใจเหลียวแลแม้ว่าเธอจะกำลังทั้งครรภ์ลูกน้อยของเขาก็ตาม.... “แม่ต้องขอโทษหนูแทนลูกชายที่ไม่เอาไหนของแม่ด้วยนะลูก” “ไม่เป็นไรค่ะ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องมาขอโทษหนูเลย” หญิงสาวพยายามบังคับน้ำเสียงของตัวเองไม่ให้สั่นแม้ว่ามันจะเป็นไปได้ยากก็ตาม เธอพยายามไม่คิดมากเพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อย แต่ทุกอย่างมันกลับตรงกันข้าม ยิ่งเขาละเลยต่อเธอมากเท่าไหร่หัวใจดวงน้อยของเธอยิ่งบอบช้ำมากเท่านั้น คนสองคนแต่งงานโดยที่ไม่ได้รักกัน ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด...ก็คงไม่แปลกที่คนอย่างเธอจะไม่ได้รับความรักจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี… “อดทนสักนิดนะลูก ยังไงแม่ก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งวายุลูกชายตัวดีของแม่คงจะตาสว่างได้เห็นความรัก ความหวังดีในตัวของหนูอย่างแน่นอน” “...” “สักวันหนึ่งลูกชายของแม่จะต้องเปิดใจรับหนู อย่างที่แม่กำลังทำอยู่ในตอนนี้” “ค่ะคุณแม่” หญิงสาวพยักหน้าตอบรับอย่างเค้นยิ้มขมๆ ก่อนที่คุณหญิงจะต้องขอตัวกลับเพราะดันมีธุระสำคัญเข้ามา แต่ก็ไม่วายที่ท่านได้กำชับห้ามให้เธอยกกระเป๋าเสื้อผ้าสัมภาระใบใหญ่ขึ้นไปบนชั้นสองโดยเด็ดขาด 'กระเป๋าพวกนี้หนูห้ามยกขึ้นไปข้างบนด้วยตัวเองนะ ไว้วายุกลับมาก่อนเข้าใจที่แม่สั่งใช่ไหม' 'เข้าใจค่ะคุณแม่' เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง หญิงสาวได้รอให้ชายหนุ่มสามีของเธอกลับมาอย่างใจจดใจจ่อในความเงียบ เธอได้แต่นั่งชะเง้อคอมองว่าเมื่อไหร่เขาจะขับรถกลับมา แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็ยังไร้วี่แวว “เฮ้อ” สุดท้ายแล้วหญิงสาวก็ได้แต่นั่งถอนหายใจในเวลาบ่ายคล้อย ก่อนที่เธอจะหันไปมองกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งถูกวางเอาไว้อยู่กลางบ้าน พลางครุ่นคิดว่าเห็นทีเธอคงต้องจัดการลากมันขึ้นไปยังห้องนอนด้วยตัวเองแล้วจริงๆ “ฮึบ” พละกำลังแขนอันน้อยนิดกำลังฉุดกระชากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ สองฝ่าเท้าเล็กพยายามก้าวขาเดินขึ้นบันไดด้วยความทุลักทุเล กว่าเธอจะลากกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาถึงห้องนอนได้ก็ใช้เวลานานอยู่พอสมควร เพราะถ้าหากเธอไม่ระวังมันอาจจะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในท้องก็เป็นได้ “แม่จะอดทนเพื่อหนูนะลูก” เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นพลางเธอได้ก้มต่ำลงมองหน้าท้องซึ่งเริ่มนูนเด่นตามอายุครรภ์ที่เพิ่มมากขึ้นของตัวเองด้วยใจรักและเปี่ยมไปด้วยความสุข “เอาใจช่วยแม่ด้วยนะลูก แม่จะอดทนเพื่อหนูคนดี” ตึก ตึก ตึก “มีอะไรกินบ้างนะ” หลังจากการเก็บเสื้อผ้าใส่ตู้เสร็จหญิงสาวก็รีบลงมายังด้านล่าง มุ่งหน้าเดินไปยังห้องครัวเพราะนี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเตรียมอาหารมือเย็น และเมื่อเปิดตู้เย็นออกมาก็เห็นว่าภายในนั้นได้อัดแน่นเต็มไปด้วยของสดสำหรับไว้ทำอาหารมากมาย เธอกวาดสายตามองครู่หนึ่งก่อนที่จะจัดการหยิบวัตถุดิบที่จะทำอาหารออกมาทีละอย่าง “ทำอาหารง่าย ๆ ก็แล้วกัน” พูดเสร็จหญิงสาวก็ไม่รอช้าที่จะรีบลงมือทำอาหารโดยทันที เธอรู้สึกมีความสุขขึ้นมาบ้างเมื่อได้จัดเตรียมอาหารพวกนี้ในฐานะภรรยาที่ดี ปรนนิบัติสามีอย่างที่ภรรยาอย่างเธอควรจะทำ ครึ่งชั่วโมงต่อมา “หวังว่าคุณจะชอบฝีมือการทำอาหารของดานะคะ วายุ” ริมฝีปากอวบอิ่มฉ่ำน้ำคลี่ยิ้มหวาน เมื่อเธอมองผลงานในการทำอาหารซึ่งถูกวางอยู่บนโต๊ะ เหลือเพียงแค่รอเวลาที่ชายหนุ่มจะกลับมาทานข้าวเย็นพร้อมกัน แต่ทว่า... หลังจากที่หญิงสาวได้จัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว เวลาผ่านไปเกือบจะสามชั่วโมงจนท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มจะกลับมาเลยแม้แต่น้อย เธอก็ทำได้แค่นั่งเฝ้ารออย่างมีความหวังว่าเขาจะรีบกลับมาหา แต่แล้วคนอย่างเธอก็ต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเช่นเคย… 'เขาจะมาสนใจผู้หญิงหน้าไม่อายอย่างเธอทำไมกัน' แต่ถึงอย่างไรหญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขาแล้ว มันคงไม่เป็นอะไรหรอกใช่มั้ย ถ้าหากเธออยากจะโทรศัพท์ไปถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่... หญิงสาวได้นั่งชั่งใจอยู่นานพลางดวงตาหวานจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงเบอร์โทรของชายหนุ่มอย่างลังเล จนในที่สุดความเป็นห่วงก็สามารถเอาชนะความลังเลภายในใจได้ เธอจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และผ่อนออกมาเบาๆ ก่อนจะกดต่อสายโทรหาเขาทันที (ฮัลโหล) เสียงทุ้มแฝงไปด้วยความเย็นชาดังมาจากปลายสาย พร้อมกับมีเสียงพูดคุยของหญิงชายหลายคนดังแทรกผ่านเข้ามาในสายได้ยินอย่างชัดเจน “คะ...คุณคะ คุณจะกลับบ้านเมื่อไหร่เหรอคะ” (โทรมาทำไม ฉันจะกลับตอนไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่งน่ารำคาญ) น้ำเสียงดุดันของชายหนุ่มตวาดใส่หญิงสาวทันทีก่อนที่เขาจะรีบลุกขึ้นยืนเดินออกมาจากโต๊ะ เพื่อหามุมเงียบสงบคุยกับเธอในสาย (มีอะไร) “คะ คือว่า ฉันทำกับข้าวรอคุณกลับมาทานพร้อมกันค่ะ...แล้วคุณจะกลับบ้านตอนไหนคะฉันจะได้รอ” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มคงกำลังโกรธที่เธอโทรไปรบกวน (ไม่กิน! แล้วก็ไม่ต้องรอด้วย อย่ามาวุ่นวายกับฉันน่ารำคาญจริงๆ) ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด ทันทีที่ชายหนุ่มตะคอกเสียงใส่หญิงสาวจบ เขาก็ได้ตัดสายโทรศัพท์ของเธอทิ้งอย่างไร้เยื่อใยความโศกเศร้าปกคลุมไปทั่วบริเวณภายในวัด แขกที่ตามร่วมงานกันมากมายต่างสวมใส่ชุดสีดำเพื่อไว้อาลัยให้กับผู้ล่วงลับ“ดิฉันขอแสดงความเสียใจกับคุณหญิงด้วยนะคะ” มารดาของหญิงสาวเดินทางมาร่วมไว้อาลัยให้กับลูกเขยอย่างจิรายุ ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะทำไม่ดีกับบุตรสาวเอาไว้มากมายแต่ในเมื่อเขาจากไปแล้วก็ทำได้แค่อโหสิกรรมให้แก่กันเท่านั้น“ขอบคุณจากใจนะคะที่คุณหญิงอุตส่าห์เดินทางมาร่วมงาน อีกอย่างต้องขอโทษคุณหญิงแทนวายุลูกชายดิฉันด้วยนะคะกับในสิ่งที่เคยทำไม่ดีกับหนูวนิดา”ผู้เป็นมารดาพูดขอโทษทั้งน้ำตาอย่างเจ็บปวดใจที่ต้องมาสูญเสียลูกชายคนเดียวทั้งที่ยังไม่ได้ตั้งตัวและยังทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยสักนิด หัวอกของคนเป็นแม่แตกสลายเมื่อได้เห็นร่างไร้ลมหายใจของลูกชายชิงตายจากไปก่อนอย่างไม่อาจจะยอมรับความจริงได้ในตอนนี้“คุณหญิงไม่ต้องขอโทษดิฉันเลยค่ะ เรื่องแบบนี้คงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น...แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราคนเป็นแม่ก็ทำให้ได้แค่ต้องทำใจยอมรับมันให้ได้เท่านั้น” มารดาของหญิงสาวก็เศร้าใจไม่น้อยทั้งเห็นใจหัวอกคนเป็นแม่ด้วยกันว่ามันทรมานเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหนที่ต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ทุกอย่า
หญิงสาวที่กำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องทำงานชายหนุ่มพร้อมกับแม่สามี เธอพยายามตั้งสติระบายลมหายใจออกมาเบาๆ ข่มกลั้นความรู้สึกอยากร้องไห้เอาไว้ก่อนจะตัดสินใจเอื้อมมือไปเคาะบานประตูทันทีก๊อก ก๊อก ก๊อกเพียงไม่นานนักผ่านประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงของชายหนุ่มที่เสื้อผ้าอยู่ในสภาพยับเยิน คงไม่ต้องเดาเลยว่าเขาเพิ่งจะเสร็จจากภารกิจทางกายมาแต่ทว่าทันทีที่ได้เห็นเธอกับมารดาอยู่ตรงหน้าเขาถึงกับเบิกตากว้าง ใบหน้าก็ซีดเผือดลงทันทีหญิงสาวที่เห็นสภาพของชายหนุ่มที่รักมากในตอนนี้แล้ว ริมฝีปากของเธอถึงกับสั่นระริกอย่างแค้นใจ แต่ทำได้แค่ผ่อนลมหายใจระงับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในอก “คะ คุณแม่กับดา…มากันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมไม่โทรมาบอกผมก่อน” ชายหนุ่มเอ่ยถามน้ำเสียงอึกอัก“ว่าไงพ่อตัวดี คุยกับหนูวนิดาเขาเถอะนะ ฉันไม่อยากจะคุยกับแก” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่แข็งกระด้าง ชักสีหน้าใส่ลูกชายด้วยความโกรธก่อนจะยืนกอดอกหันหลังให้กับเขา“เห็นช่วงนี้คุณทำงานหนักไม่ค่อยได้กลับไปทานข้าวที่บ้าน...ดาก็เลยซื้อข้าวมาฝากคุณค่ะ”“อะ อ๋อขอบคุณนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อน ยื่นมือมารับถุงข้าวในมือของหญิงส
คฤหาสน์“หนูวนิดาไปยังไงมายังไงลูก” แม่สามีอ้าแขนโอบกอดร่างของลูกสะใภ้ด้วยความรักก่อนที่ทั้งสองจะนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก แต่เธอในตอนนี้เมื่อเห็นใบหน้าของท่านแล้วถึงกับลำคอตีบตัน พยายามสะกดความรู้สึกที่แสบร้อนในดวงตาเอาไว้“สวัสดีค่ะคุณแม่” เธอยกมือพนมไหว้“แม่คิดถึงหนูจังเลย เป็นยังไงบ้างลูกช่วงนี้”“ก็ดีค่ะคุณแม่ หนูกับคุณวายุก็เพิ่งจะกลับมาจากเที่ยวทะเล”“ดีจริง วายุลูกชายของแม่ดูเอาใจใส่หนูเก่งจังเลยนะช่วงนี้ เห็นแบบนี้แล้วแม่ค่อยสบายใจหน่อย” เมื่อเห็นท่าทีว่าแม่สามีกำลังสบายใจ เธอจึงเค้นยิ้มรับบางๆ ที่แสนอ่อนโยนและขมขื่นใจยังไม่อยากจะพูดอะไรออกไปในตอนนี้“คุณแม่คะ เย็นนี้คุณแม่ว่างหรือเปล่าคะ พอดี…ดาอยากจะพาคุณแม่ไปที่หนึ่งหน่อยนะค่ะ”“ได้สิสำหรับลูกสะใภ้ของแม่ แม่ว่างอยู่แล้วจ้ะ ว่าแต่หนูวนิดาอยากพาแม่ไปที่ไหนเหรอลูก”“ดายังขอไม่บอกตอนนี้นะคะ พอดีเป็นเซอร์ไพรส์ค่ะ”“แหมะ ลูกสะใภ้คนนี้มีเซอร์ไพรส์ให้แม่ด้วย น่ารักจริงๆ เลย” พูดจบแม่สามีก็คว้าร่างตั้งครรภ์ของลูกสะใภ้เข้ามากอดด้วยความรัก หญิงสาวรรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากท่านพลันทำให้น้ำตาแวววาวค่อยๆ เอ่อขึ้นมาคลอเบ้าตาอย่าง
อารมณ์ของหญิงสาวในตอนนี้ดิ่งลงสู่เหว แววตาคู่นั้นมองลึกเข้าไปในตาของชายหนุ่มอย่างพยายามสะกดกลั้นความขมขื่นเจ็บปวดในใจ ไม่ว่ารสชาติของอาหารตรงหน้ามันจะอร่อยมากขนาดไหนแต่ความรู้สึกของเธอในตอนนี้นั้นมันชั่งขมฝาดลิ้นกินเหลือเกิน จนกินได้ไม่กี่คำก็ต้องวางช้อนยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแต่ผิดกับชายหนุ่มที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขากำลังนั่งทานอาหารตามปกติทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น แต่เธอก็แอบสังเกตได้ว่าสายตาของเขาเหลือบมองไปยังโต๊ะของหญิงสาวซึ่งอยู่โต๊ะถัดไปที่เขาได้แอบเจอกันก่อนหน้าตอนไปห้องน้ำเป็นครั้งคราว แลดูแล้วอายุของหล่อนน่าจะน้อยกว่าเธอไม่กี่ปีแต่ทว่าผู้หญิงคนนั้นดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ใบหน้าดูสะสวยรสนิยมในการแต่งตัวก็ดูเซ็กซี่ทั้งน่าค้นหา ไม่เหมือนกับเธอในตอนนี้ที่ดูจืดชืดมองไปตรงไหนก็ไม่มีชีวิตชีวาแตกต่างราวฟ้ากับเหว สรุปแล้วเธอไม่มีอะไรเทียบผู้หญิงคนนั้นได้เลยจริงๆ …ห้องพัก“เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อยามาให้ คุณนอนรอผมอยู่ที่ห้องก่อนนะ”“อย่าไปนานนะคะ ดา…ไม่อยากอยู่คนเดียว”“ครับที่รัก รอแป๊บนึงนะแล้วผมจะรีบกลับมา”“ค่ะ” ริมฝีปากชมพูดยกเป็นรอยยิ้มขมๆ หลังจากจบบทสนทนาหญิงสาวพยักหน้ารับ
00.45น.ด้วยฮอร์โมนของคุณแม่ตั้งครรภ์ทำให้หญิงสาวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกรู้สึกปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำแทบจะทุกเวลา ทว่าหัวใจของภรรยาอย่างเธอหล่นไปกองอยู่ปลายเท้าเมื่อไร้เงาของสามี“คุณคะ”เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ หญิงสาวจึงพยุงร่างขึ้นมาแล้วก้าวขาลงจากเตียง ก่อนที่เธอกวาดสายตามองหาร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มรอบห้องแต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของเขาแต่โทรศัพท์เขาก็ยังไม่เอาไปหญิงสาวทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเธอจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกลับมานอนบนเตียงเช่นเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปพักหนึ่งเปลือกตาบางยังคงข่มตานอนไม่หลับนอนพลิกตะแคงไปมาอย่างเป็นกังวลทั้งข้องใจว่าชายหนุ่มนั้นหายไปไหนในเวลาดึกขนาดนี้ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกวูบโหวงอยู่ภายในใจราวกับว่าเซ้นส์สัมผัสกำลังทำงานขึ้นมาอย่างน่าแปลกประหลาด อีกทั้งลูกน้อยในท้องก็ออกแรงดิ้นจนเธอรู้สึกจุกราวกับว่าเด็กน้อยกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างให้เธอรู้02.30น.แกร๊กเสียงประตูห้องพักถูกเปิดออกแม้มันจะแผ่วเบามากแค่ไหนแต่ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาท่ามกลางความเงียบงัน เพียงไม่นานเสียงฝ่าเท้าหนักๆ ก็เดินเข้ามาในห้องนอน หญิงสาวที่ยังคงนอนไม
หลายวันต่อมา“หน้าตาคุณดูอิดโรยจังเลยนะคะช่วงนี้ พักผ่อนก็น้อยทำงานก็หนักดาเป็นห่วงคุณจัง”หญิงสาวเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังนั่งทานอาหารเช้า เธอมองหน้าของสามีด้วยความเป็นห่วงทั้งกังวลอยู่ในใจลึกๆ เพราะเห็นว่าช่วงนี้เขาทำงานจนต้องกลับบ้านดึกทุกวัน เวลาพักผ่อนก็ไม่ค่อยจะมีแถมรุ่งเช้าก็รีบขับรถออกไปทำงานอีกเป็นแบบนี้มาสักพักหนึ่งแล้ว“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ ที่ผมทำงานหนักก็เพื่อให้คุณกับลูกได้อยู่อย่างสุขสบายนะรู้มั้ย” ชายหนุ่มยื่นฝ่ามือไปกุมมือหญิงสาวเอาไว้ทั้งยังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เธอเหมือนกับในทุกครั้งๆ“ขอบคุณนะคะที่คุณยอมทำงานหนักเพื่อดากับลูก”“อีกไม่กี่เดือนก็ใกล้จะคลอดแล้ว คุณอยู่แต่บ้านคงจะเบื่อแย่เลยใช่มั้ย งั้นเราไปหาที่ผ่อนคลายสมองสักหน่อยดีมั้ยครับเผื่อคุณจะได้สบายใจขึ้น คุณอยากไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่าเดี๋ยวผมพาไป”“ดาไปได้เหรอคะ” ได้ยินชายหนุ่มพูดแบบนั้นแล้วดวงตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตื่นเต้นขึ้นมาทันที“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ แต่ห้ามไกลเกินไปนะคุณท้องแก่แล้วผมไม่อยากให้คุณต้องรถเดินไกลนานๆ” ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบหญิงสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างรื่นเริงใจ เธอจึงไม่รอช้ารีบบอกสถานที่ที่อยากจ