"โอ้ย…ปวดหัว!" ฉันทิ้งตัวลงบนม้าหินอ่อนหน้าคณะนิเทศที่เป็นที่นั่งประจำของกลุ่มก่อนขึ้นเรียน แล้วฟุบใบหน้านอนทับแขนเรียวในตอนเช้าตรู่ของวันที่มีเรียนและเข้าใกล้เวลาจะเข้าเรียนคาบเช้าเต็มที
หากไม่ติดว่าวันนี้มีการสอบเก็บคะแนนในคาบฉันจะขาดเรียนให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อคืนดันดื่มเอาเป็นเอาตายไม่สนใจแม้จะรู้ว่ามีการสอบในคาบเรียนเช้า ให้ตายเถอะยังคงรู้สึกถึงแอลกอฮอล์ที่ยังคาอยู่ที่คอจนแทบอยากจะพุ่งออกมาอยู่เลย
"ก็มึงเล่นแดกเข้าไปขนาดนั้น ไม่ปวดหัวก็แย่" เรียกว่าอาบแทนดื่มก็คงจะดีกว่าซะกว่า เมื่อคืนถือว่าเป็นคืนที่ฉันดื่มหนักในรอบปีเลยก็ว่าได้
"ก็กูเครียดนี่หว่า" เพราะคิดว่าแอลกอฮอล์มันก็ทำให้ฉันลืมเรื่องเครียดไปได้ชั่วขณะ ถึงจะตื่นมาแล้วยังปัญหายังอยู่เช่นเดิมไม่ได้หายไป แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งที่อยากจะลืม
"แล้วสรุปเรื่องที่แม่มึงบังคับให้หมั้นคือเรื่องจริงเหรอวะ?" นี่แหละคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหตุการณ์อาบเหล้าเมื่อคืนนี้ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์หรือแม่แท้ ๆ ของฉันยื่นคำขาดบังคับให้ฉันหมั้นกับบุคคลปริศนา ไม่รู้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม หน้าตาและการศึกษา รู้แค่อย่างเดียวคือฐานะรวยที่เอาการ เพราะการหมั้นของฉันเกิดขึ้นด้วยธุรกิจทั้งสิ้น
"ถ้าไม่จริงกูจะเครียดแบบนี้เหรอ แม่งเอ้ย…ทำยังไงดีวะ" ว่าแล้วฉันก็แหงนหน้าขึ้นมาเท้าคางอย่างท้อใจ แม่ไม่ยอมฟังคำพูดหรือเหตุผลของฉันเลยสักนิด เอาแต่บอกว่าเขาดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ ช่วยครอบครัวเราเอาไว้ได้โดยไม่ถามความเห็นของฉันเลยสักนิด แน่นอนว่าฉันไม่เชื่อในสิ่งที่แม่บอกมา ถ้าดีจริงก็คงจะไม่มานั่งให้ผู้ใหญ่จับคู่ให้แบบนี้หรอก คงจะเป็นเสี่ยแก่ ๆ อายุสามสิบที่อยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครเอา ถึงได้อยากมีคู่หมั้นจนตัวสั่นไม่มีปัญญาหาเองแบบนี้
"มึงก็บอกแม่ไปสิวะว่ามึงมีแฟนแล้ว" โอโซนออกความคิดเห็น แต่ฉันกลับไม่ได้เห็นด้วยเพราะว่าฉันเคยทำแล้ว แต่…
"แม่กูไม่เชื่อ" ทั้งชีวิตฉันไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ไม่เคยควงใครเลยด้วยซ้ำ ถ้าแม่จะเชื่อก็บ้าแล้ว
"มึงก็หาจริง ๆ ไปเลยสิ ปีสองแล้วนะเว้ย กูยังไม่เห็นมึงมีแฟนหรือคบใครสักคน"
"โอ้ยอย่างมันเหรอ แค่มีผู้ชายเข้ามาจีบก็ไล่ตะเพิดเขาไปหมด" ฉันมองยัยโอโซนตาขวาง ถึงมันจะจริงอย่างที่เพื่อนว่าก็เถอะ
"แต่ละคนที่เข้ามาไม่มีใครจริงใจ ใครจะไปเอาวะ" ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะไล่คนที่เข้ามาโดยไร้เหตุผล แต่ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่หวังอยากเคลมก็หวังแค่อยากจะลิ้มลองว่าดาวมหา'ลัยแบบฉันมันจะสักแค่ไหนกัน ฉันเจอมาหมดทุกรูปแบบแล้ว แค่บอกว่าห้ามโดนตัวในระหว่างจีบกันห้ามมีอะไรกันก่อนจะแต่งงานแค่นี้ก็หนีหายหัวซุกหัวซุนกันไปหมด ไม่ยักจะเห็นใครจริงใจเลยสักคน
"กับบางคนที่มึงเจอเขาแค่ห้านาทีมึงก็ตัดสินว่าเขาไม่จริงใจแล้วน่ะนะ?"
"แค่ดูสายตาก็รู้แล้วปะวะ" สายตามันหลอกกันไม่ได้คำนี้ไม่เกินจริง แค่หนึ่งนาทีในบางคนก็มองเห็นความต้องการทะลุปรุโปร่งแล้ว
"เห้อ...ซินดี้มึงพูดต่อดิ้ กูหมดคำพูดกับมันแล้ว" คนย่อท้อส่ายหัวแล้วขยับถอยออกมา ซินดี้จึงรับหน้าที่นั้นต่อพร้อมทั้งทำหน้าจริงจังยิ่งกว่าตอนเรียนหนังสือในห้องเรียน
"กูถามจริง มึงจะเก็บพรหมจรรย์จนแต่งงานจริง ๆ เหรอวะ?" ฉันหดคอแล้วถอนหายใจเสียงดัง นึกว่าจะมีอะไรสำคัญมากกว่านี้อีก ที่แท้ก็ทวนถามคำถามที่ครั้งหนึ่งฉันเคยลั่นไว้จนพวกมันเคยช็อกทันทีที่ได้ยิน
"กูก็ไม่ได้หัวโบราณขนาดนั้นป่าววะ แต่ถ้าวันหนึ่งกูเจอคนที่เต็มใจอยากให้ มากกว่าร่างกายกูก็ให้เขาได้"
และใช่...ฉันล้อเล่น ตอนนั้นก็แค่ตอบไปเพื่อตัดรำคาญเพื่อนที่ถามมาก แต่ถ้าเอาความจริง พรหมจรรย์ของฉันฉันก็แค่อยากมอบให้ใครสักคนที่ฉันเต็มใจอยากให้ อาจจะเป็นแฟนหรือไม่ใช่ เป็นไปได้หมดเพราะฉันก็ไม่ได้สนใจสถานะถึงขนาดนั้น
"อย่างเช่นพี่ชายที่แสนดีของมึงน่ะเหรอ?" คำถามของยัยโอโซนทำฉันสะอึกจนพูดไม่ออก รอยยิ้มอ่อน ๆ บนใบหน้าค่อย ๆ จางลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปรายสายตาไปมองมันนิ่ง ๆ ไอเพื่อนรักมันก็พร้อมถอนยิ้มแหย่ ๆ แล้วพนมมือขึ้นมาไหว้ขอโทษฉันทันที
"ขอโทษ กูพลาด" ฉันพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ตัดสินใจหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้น แล้วรีบเก็บของเพราะใกล้ถึงเวลาแห่งความทุกข์อีกอย่างในชีวิต จึงต้องเก็บเรื่องราวความเครียดทั้งหมดไว้ แล้วแบกร่างที่เหลือแค่กายหยาบรับเรื่องเครียดในการเรียนเข้ามาในสมองให้มากกว่าเดิม
หลังเลิกเรียน
ช่วงบ่ายที่ไม่มีเรียนต่อฉันก็ถูกเพื่อนสองคนลากกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องของโอโซน โดยถูกเพื่อนสนิทจัดแจงทุกอย่างแม้กระทั่งการเลือกสีเสื้อสีชมพูแป๋นกันทั้งสามคน จากนั้นก็ลากฉันมาที่ไหนสักที่ พร้อมกับข้าวของที่จอดซื้อทั้งดอกบัวและผลไม้คนละชุดจนพะรุงพะรัง ยัยโอโซนที่ทำหน้าที่ขับรถบังคับพวงมาลัยเลี้ยวมาจอดหน้าสถานที่แห่งหนึ่งที่มีผู้คนทั้งเดินเข้าเดินออกไม่หยุด แล้วดับรถถือของลากฉันเดินตามโดยตลอดทางฉันก็เอาแต่ถามด้วยความสงสัย แต่พวกมันก็ปิดปากเงียบไม่ตอบอะไรสักอย่าง จนสุดท้ายก็มาถึงที่ ทำเอาฉันถึงบางอ้อโดยทุกข้อสงสัยได้รับคำตอบที่กระจ่างขึ้นมาทันที
"พามามูเนี่ยนะ!" มูหรือมูเตลูแหล่งยอดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมของคนในยุคปัจจุบันนี้ แน่นอนว่าไม่พ้นพระแม่ลักษมีที่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักในตอนนี้ ซึ่งฉันเองก็พอเห็นผ่านตาได้ยินผ่านหูถึงอิทธิฤทธิ์ความปังของท่านมาเยอะ แต่ก็ไม่ได้สนอกสนใจมากนักเพราะฉันไม่เคยโหยหาอะไรในชีวิตโดยเฉพาะเรื่องของความรัก
"ใช่ ถ้าแกไม่อยากหมั้นแกก็ต้องมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และวิธีนี้มันก็ได้ผลเร็วที่สุด" ซินดี้พูดจบก็พยักหน้าให้โอโซน เท่านั้นมันก็ยัดทั้งดอกบัวสีชมพู ผลไม้หลายอย่างใส่มือฉันและสิ่งสุดท้ายก็เป็นกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนคาถาบูชาพระแม่เอาไว้เรียบร้อย ให้ตายเถอะ...การมาครั้งนี้ถูกเตรียมการมาอย่างดี ครบทุกอย่างเท่าที่คนคนหนึ่งอยากจะขอพรให้ได้ผลทันควัน แต่ที่มันลืมไปอย่างนึงและสำคัญมาก ๆ คือขอความสมัครใจจากฉัน หรือปรึกษาฉันสักคำก่อนที่จะจัดแจง
"มึงอ่านคาถาบูชาตามนั้นเลยนะ อ่านเสร็จก็บอกชื่อนามสกุลของมึงแล้วสิ่งที่มึงอยากขอ บอกสเปคแบบละเอียดเลยก็ดีพระแม่จะได้จัดให้มึงได้ถูกใจ"
"แต่กูไม่ได้อยากมี"
"เอาหนา…ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว พวกกูอุตส่าห์ทำเพื่อมึงขนาดนี้ มึงยังจะปฏิเสธพวกกูอีกเหรอ?" ฉันเกลียดสายตาละห้อยใบหน้าอ้อน(ตีน)ของพวกมันที่สุด ทำอะไรไม่ปรึกษากันเลยแถมยังพยายามทำให้ฉันที่กำลังจะปฏิเสธดันรู้สึกผิดขึ้นมาหากจะกล่าวปฏิเสธ ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิดเดียว
แต่ก็เอาเถอะ…มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องลองดูตอบแทนความหวังดีของเพื่อนที่ไม่ค่อยต้องการมากนัก ถ้าพระแม่จะประทานผู้ชายให้สักคนในชีวิตนี้ก็ขอให้คนคนนั้นหล่อ หุ่นดี ขาว ฟีลอปป้าเกาหลี รวยด้วยก็ดีจะได้ไม่ลำบาก แต่ที่สำคัญเลยคือศีลต้องเสมอกัน อยู่ด้วยกันไปยาว ๆ คลั่งรักฉันมาก ๆ และไม่เจ้าชู้เด็ดขาด
ถ้าได้ทุกอย่างตามนี้หนูสัญญาว่าจะรักเขาไปจนตายเลย…
"เจเดนเจไดพ่อบอกให้หยุด!" เสียงที่ดังจากนอกบ้านทำให้ฉันรีบสับเท้าเดินออกไปดูอย่างไว แน่นอนว่าเสียงนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากสามีของฉันที่บอกก่อนหน้าว่าจะออกไปหากิจกรรมทำกับลูกชายฝาแฝดวัยสิบห้าขวบนอกบ้าน แต่เสียงเข้มดุปานนั้นฉันคิดว่าคงจะเกิดเรื่องสักอย่างขึ้นระหว่างสามคนแน่นอน"เกิดอะไรขึ้นคะ?" ฉันมองทั้งสามที่หน้าเหมือนกันราวกับแฝดสาม เจเดนแฝดพี่และเจไดแฝดน้องผู้ถอดแบบคนเป็นพ่อราวกับแกะ ทั้งใบหน้าท่าทางและนิสัยอุตส่าห์อุ้มท้องมาตั้งเก้าเดือนไม่มีอะไรที่เหมือนฉันเลย"จะอะไรก็ทะเลาะกันอีก" คนเป็นพ่อฟ้องฉันแล้วกราดสายตามองลูกชายหน้านิ่ง เป็นเรื่องปกติของบ้านเราที่สองแฝดจะทะเลาะตีกันหยุมหัวกันแทบทุกเวลา ยิ่งช่วงนี้ยิ่งโตขึ้นแตะอายุสองหลักก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเอง ตีกันตามประสาเด็กผู้ชายไม่หยุดไม่หย่อนขนาดมีคนกลางอยู่ด้วยก็ยังไม่เว้น"เจเดนแพ้แล้วพาล" แฝดน้องรีบฟ้องขึ้นมาเป็นคนแรก กิจกรรมที่พากันเล่นวันนี้คือเตะบอลแบบแมน ๆ ซึ่งแพ้ที่เจไดหมายถึงก็คงจะแพ้บอลนั้นแหละ"เจไดโกงก่อน ผมไม่ได้พาลนะครับ" แฝดพี่ใช่ว่าจะยอม เถียงกลับทันควันทำเอาคนเป็นพ่อถอนหายใจหนัก ๆ"พอได้แล้ว เป็นพี่น้องกันจะทะ
"ทำไมไม่ท้องว่ะ" คนนั่งหน้ากลุ้มทิ้งตัวลงบนโซฟากลางห้องวีไอพีของผับดัง เขากุมขมับพร้อมหลับตาลงด้วยความปลง ทั้งที่พยายามปั๊มลูกก่อนแต่งงานเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ก็ผ่านประตูวิวาห์ไปตั้งสามเดือน เขาก็ไม่เห็นว่ามิวสิคจะมีทีท่าท้องกับเขาบ้างเลย"มึงไปตรวจหน่อยไหมไอเซฟ น้ำยามึงคงไม่ดีจริง" เปเปอร์ว่าแล้วก็อมยิ้ม ถึงจะพยายามฮึบไว้แต่ก็ยังผุดยิ้มชอบใจที่คนเพอร์เฟ็กต์อย่างเขาก็แอบมีบางอย่างที่ทำไม่สำเร็จ"หรือกูจะไม่มีน้ำยาจริงว่ะ" โจเซฟค่อย ๆ ลืมตาขึ้น คราวแรกเขาก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เท่าไหร่นักแต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วมันก็คงไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว"ใจเย็น ๆ ก่อนเซฟ น้องมิวสิคไม่ได้ฝั่งยาคุมหรือทานยาคุมหรอกใช่ไหม" ซีลีนพยายามปลอบเพื่อน"กูกับมิวเราตกลงกันแล้วว่าจะมีลูกด้วยกัน ไม่มีทางที่มิวสิคจะกินยาคุม" มันไม่ใช่แค่เขาที่พยายาม แต่มิวสิคเองก็อยากมีพยานของความรักตัวน้อย ๆ เป็นของตัวเองเหมือนกัน เขาจึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับฝั่งใดฝั่งหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน"งั้นมึงก็ไม่มีน้ำยาจริง ๆ นั้นแหละ""เอ้าไอซี ไอสัส" คนเครียดจ้องคนเพิ่งว่าตาเขม็ง มันอาจจะจริงอย่างที่เธอบอก แต่ก็ไม่ใช่เ
และแล้ววันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันยืนกอดรูปของพ่อในวันสำคัญอีกหนึ่งวันในชีวิต เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันสามคนพ่อแม่ลูกโดยบรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข ฉันอยู่ในชุดรับปริญญาอย่างที่พ่อหวัง ส่วนแม่ก็มองมาที่ฉันอย่างภาคภูมิใจและหวังว่าพ่อฉันที่อยู่บนฟ้าก็คงจะมองลงมาที่ฉันด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกันท่านจากฉันไปอีกหนึ่งเดือนก็ครบรอบหนึ่งปีพอดี แน่นอนว่าวันนั้นฉันทั้งร้องไห้เสียใจฟูมฟายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เพียงแแค่คืนเดียวเท่านั้นฉันก็กลับมาเป็นคนละคนราวกับเสกได้ ฉันเข้มแข็งขึ้นไม่ฟูมฟายและใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่พ่อเคยสั่งเสีย โดยมีพี่เซฟอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่าง ฉันรู้ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ค้นพบเชื้อมะเร็งท่านต้องต่อสู้กับอะไรมากมาย ฝ่าฝันความเจ็บปวดเพื่อจะอยู่กับเราให้ได้นานที่สุด และนี่คงเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดที่ฉันสามารถทำให้ได้ ทำตามคำขอของท่านเป็นอย่างสุดท้ายดูแลแม่ดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อให้ท่านจากไปอย่างสบายใจ ฉันทำได้หมดแล้ว"พ่อเขาต้องภูมิใจในตัวหนูมาก ๆ เลยลูก" ฉันพยักหน้ารับทันที ใช่ฉันรู้ พ่อพูดกับฉันตลอดและฉันก็รับรู้ได้ผ่านรอยยิ้มของพ่อในกรอบรูป ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้ท่า
งานหมั้น J & Mบรรยากาศของงานหมั้นเริ่มขึ้นที่บ้านของมิวสิค โดยออแกไนซ์อย่างเมย์ได้เนรมิตรให้บ้านหลังใหญ่กลายเป็นสถานที่จัดพิธีงานหมั้นสไตล์ไทยทว่าผสมความเป็นตะวันออกทั้งของฝ่ายชายและหญิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยแขกคนสนิทที่ถูกเชิญร่วมงานก็เริ่มทยอยมาถึงกันบางส่วน หน้าที่รับแขกดูแลเบื้องต้นถูกยกให้ซินดี้และเปเปอร์เป็นคนจัดการ ด้วยนิสัยที่เข้ากับคนง่ายในตัวพวกเขาทั้งสองคน ในขณะที่โอโซนก็รับหน้าที่ดูแลมิวสิคทั้งตรวจสอบและเป็นผู้ช่วยเท่าที่เธอต้องการ"สวยมากเลยมึง" โอโซนจับเพื่อนหมุนตัวดูความเรียบร้อยเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่ผ่านมือช่างคิวทองแล้วเธอก็ยังไม่ไว้วางใจจับเพื่อนตรวจดูเพื่อความแน่ใจอีกรอบว่าทุกอย่างจะออกมาดีสมกับการหมั้นที่จะเกิดขึ้นครั้งเดียวในชีวิตของเพื่อน"ประมาณ 15 นาทีฝ่ายชายจะมาถึงนะคะ" ทีมงานเดินมาเคาะประตูห้องแต่งตัวพร้อมบอกทางฝ่ายหญิงให้เตรียมตัว และดูเหมือนว่าคนที่ลนลานแซงทางโค้งคงจะเป็นโอโซน ทันทีที่ได้ยินเธอก็รีบหันซ้ายแลขวาหาอะไรสักอย่างเลิ่กลั่กขึ้นมา"อะไรของมึงเนี่ยโซน หาอะไร" มิวสิคจับมือเพื่อนเพื่อให้เธอพยายามตั้งสติ ทันใดนั้นเพื่อนสนิทก็ยิ้มแห้งให้เหมือนกับว่
และแล้ววันนี้ก็เป็นวันที่การสอบสิ้นสุดลงและปิดเทอมอย่างเป็นทางการ ทั้งมิวสิคและโจเซฟที่ได้พักผ่อนจากเรื่องเรียนในช่วงเวลาปิดเทอมก็ต้องมาลุยกับงานหมั้นต่อโดยกำหนดการงานนั้นจะถูกจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ระหว่างที่ปิดเทอมเล็กแค่เดือนเดียว เพราะไม่อยากให้รบกวนเวลาเรียนของทั้งสอง ฤกษ์งามยามดีจึงถูกตกลงให้อยู่วันนั้นโดยไม่มีใครโต้แย้งเพราะแบบนั้นแพลนของเขาทั้งสองในวันนี้จึงเป็นการนัดออแกไนซ์รับงานจัดงานหมั้นเพื่อตกลงความต้องการกัน โดยสเกลของงานถูกจัดขึ้นเล็ก ๆ เชิญแค่คนสนิทของทั้งสองครอบครัวมางานเท่านั้น"พี่เซฟชอบแบบไหนหรอคะ" มิวสิคเลื่อนดูรูปธีมของงานที่ต้องการผ่านแท็บเล็ตของออแกไนซ์ที่จัดหาและรวบรวมอยู่ตรงหน้าหลาย ๆ แบบด้วยกัน"มิวชอบแบบไหน พี่ก็เอาแบบนั้นแหละ" ชายหนุ่มยกยิ้มมองตามมือเรียวที่กำลังเลื่อนไปทีละรูปแล้วหันมาถามความคิดเห็น"งั้นเราเอาแบบนี้ดีไหมคะ พี่กับมิวชอบสีน้ำตาลเหมือนกันด้วย" มิวสิคมองภาพแล้วอมยิ้มไม่ได้ แค่นึกถึงวันนั้นเธอก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก มันคงออกมาอบอุ่นและน่ารักแน่ ๆ"เอาแบบนี้เลยครับ" โจเซฟเองก็เห็นด้วย ดีหน่อยที่เขาและเธอมีความชอบคล้ายกัน เขาจ
"ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองเลยล่ะคะ" มือเรียวที่ปาดครีมสำหรับโกนหนวดเสร็จก็เลื่อนไปหยิบใบมีดโกน ก่อนที่จะทำการปาดลงใบหน้าคมที่มีทั้งหนวดและเคราขึ้นมาเพราะความปล่อยตัว เธอจึงอาสาช่วยเขาโกนให้เพื่อให้กลับมาหล่อดูดีเหมือนเดิมอีกครั้ง"ไม่มีมิวพี่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้น" โจเซฟยืนคร่อมร่างเล็กที่นั่งบนอ่างล้างหน้า เขาสบสายตาคู่สวยที่กำลังตั้งใจโกนหนวดให้ก็อดยิ้มไม่ได้ ภาพนี้สินะที่รอมานาน..."ขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ตัวก็ผอมนอกจากเหล้าแล้วกินอะไรบ้างไหมคะ""กินไม่ลง คิดถึงเมีย" คำตอบของเขาเรียกรอยยิ้มจากเธอที่เริ่มรู้สึกหมั่นไส้ บิดจมูกโด่งเป็นสันไปหนึ่งที พูดคำว่าเมียได้เต็มปากเต็มคำเชียว"ถ้ามิวไม่กลับมา พี่ก็ตั้งใจจะถอยจากมิวจริง ๆ เหรอคะ?""ก็ตั้งใจแบบนั้น""ทำไมล่ะคะ พี่จะปล่อยมิวไปง่าย ๆ เหรอ?""เราบอกว่าเรารักมัน จะให้พี่ทำยังไง" ในตอนที่ได้ยินใจเขามันแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี ถ้าโกรธเกลียดยังพอตามง้อตามขอโทษกันได้ แต่ถ้าบอกว่ารักคนอื่นไปแล้ว คนอย่างเขาจะทำอะไรได้นอกจากหลีกทางให้เธอได้มีความสุขอยู่กับคนที่รัก แม้ใจจะเจ็บมากก็ตาม"ตอนนั้นมิวไม่ได้ทำไปเพราะอยู่ในแผน" มิวสิคว่าจบก็มองหน้