จะทำอย่างไรเมื่อคนที่คุณ 'กลัว' ที่สุด คือคนเดียวกับที่หัวใจคุณ 'เรียกหา' พบกับเรื่องราวความรักวุ่นๆ ของพี่ว้ากสายโหดและลูกแมวศิลปกรรมใน #ใจเถื่อน
view moreแสงแดดอ่อนๆ ของต้นเทอมสาดส่องลงมากระทบกับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย เสียงจอแจดังอื้ออึงราวกับตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมเอาความตื่นเต้น ความฝัน และความประหม่าของเด็กหนุ่มสาวนับพันคนมาไว้ในที่เดียว บูธจากคณะต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามตามธีม บ้างก็เปิดเพลงดังกระหึ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจ
และท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ‘กวิน’ เฟรชชี่ปีหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ กำลังยืนกะพริบตาปริบๆ ราวกับลูกแมวที่เพิ่งหลุดเข้ามาในโลกกว้างเป็นครั้งแรก ในหัวของเขามีฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งเคลือบทุกอย่างที่มองเห็นเอาไว้ มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาเห็นแต่ในซีรีส์ บัดนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วจริงๆ
“โอ้โห...มึงดูบูธนิเทศฯ ดิ อย่างกับหลุดมาจากบรอดเวย์”
‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้ชวนให้ดูด้วยแววตาตื่นตะลึง ที่บูธนั้นมีรุ่นพี่แต่งตัวเป็นตัวละครแปลกๆ เต้นกันอย่างหลุดโลก
“แล้วดูทางนู้น...บูธบริหารฯ อย่างกับประชุมบอร์ดผู้บริหาร”
‘โอม’ เพื่อนอีกคนที่สุขุมกว่าเสริมขึ้น พยักพเยิดไปยังกลุ่มรุ่นพี่ในชุดสูทที่ยืนแจกแผ่นพับด้วยมาดนักธุรกิจอนาคตไกล
“สุดยอดไปเลยเนอะ...เหมือนคนละโลกกับโรงเรียนมัธยมเลย” กวินยิ้มกว้าง
‘ชีวิตมหา’ลัยต้องดีมากแน่ๆ’
เด็กหนุ่มคิดในใจ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นหญ้า กลิ่นหนังสือใหม่ และกลิ่นสายไหมจากบูธคหกรรมลอยมาปะปนกันจนเกิดเป็นกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของ ‘อิสรภาพ’ ที่เขาใฝ่ฝัน
“แล้วคณะเราล่ะวะ” ต้าถามขึ้น
“อยู่ไหนเนี่ย”
“ทางนู้นมั้ง เห็นมีคนถือเฟรมผ้าใบเดินไป” โอมชี้ไปยังอีกฟากของลาน
“เออ แต่ก่อนไปคณะเรา กูได้ยินเขาเล่าลือกันว่าคณะที่น่ากลัวสุดคือวิศวะฯ ว่ะ”
ต้าลดเสียงลงเหมือนกำลังเล่าเรื่องผี
“เขาว่าพี่ว้ากโหดเหมือนโกรธกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว ใครทำตัวไม่ดีโดนสั่งวิ่งรอบสนามจนขาลาก
“เว่อร์ไปน่าต้า มันคงเป็นแค่ตำนานแหละมั้ง” กวินหัวเราะเบาๆ
“เออ กูว่าก็คงงั้นแหละ ยุคนี้แล้วใครจะมาโหดอะไรขนาดนั้น” โอมสรุปอย่างมีเหตุผล
ใช่...ยุคนี้แล้ว...กวินคิดอย่างเห็นด้วย โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ทุกอย่างต้องขับเคลื่อนด้วยเหตุผลและความเข้าใจซึ่งกันและกัน...
แต่แล้ว ในวินาทีถัดมา จักรวาลก็เหมือนจะอยากสั่งสอนเด็กหนุ่มผู้มองโลกในแง่ดีคนนี้ว่า...เขาคิดผิดถนัด
ฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งที่เคลือบโลกของกวินไว้ พลันแตกสลายดัง ‘เพล้ง!’ ไม่เหลือชิ้นดี...
“พวกมึงจะยืนอออะไรกันตรงนี้วะ ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเขาจะเดิน!”
เสียงทุ้มต่ำที่ห้าวและเกรี้ยวกราดดังขึ้นจนกลบเสียงเพลงจากทุกบูธ มันทรงอำนาจพอที่จะทำให้ทุกคนในรัศมีห้าสิบเมตรต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วหันไปมองเป็นตาเดียว กวินและเพื่อนๆ ก็เช่นกัน
และภาพที่เขาเห็น ก็ทำให้ตำนานที่เพิ่งบอกว่า ‘คงไม่มีจริง’ มันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า...
ณ ใจกลางวงล้อมที่เกิดขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในเสื้อช็อปวิศวกรรมศาสตร์สีเลือดหมูยืนเด่นเป็นสง่า ใบหน้าของเขาหล่อเหลาราวกับเทพเจ้ากรีกที่ถูกปั้นมาอย่างประณีตทุกสัดส่วน จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับดวงตาคมกริบ ริมฝีปากหยักได้รูปที่น่าจะดูดีเวลาที่ยิ้ม แต่ ณ วินาทีนี้มันกำลังเม้มเป็นเส้นตรงอย่างไม่สบอารมณ์
กวินเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว
‘โอ้โห...คะแนนหน้าตาเต็มสิบไม่หัก แต่คะแนนออร่าความน่าเข้าใกล้นี่ติดลบทะลุปรอทไปเลย’
เป้าหมายของออร่าสังหารระดับสิบแมกนิจูดคือกลุ่มนักศึกษาใหม่สามสี่คนที่ยืนออกันอยู่กลางทางเดิน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางเข้าหลักของตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์พอดี
“ขอ...ขอโทษครับพี่” รุ่นน้องชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่ม ยกมือไหว้ด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ขอโทษแล้วมันหายเกะกะไหมวะ!” เจ้าของร่างสูงตวาดกลับ รังสีอำมหิตแผ่ซ่านรุนแรงขึ้นอีกระดับ
“พวกกูสร้างทางเดินไว้ให้เดิน ไม่ได้ให้พวกมึงมายืนอวดรองเท้าใหม่กัน เข้าใจไหม!”
‘โห...แรงมาก...’
กวินคิดในใจพลางหดคอโดยอัตโนมัติ
‘รองเท้าเขาอาจจะใหม่จริงๆ ก็ได้นะพี่’
“นี่วันแรกนะเว้ย! ยังทำตัววุ่นวายกันขนาดนี้ แล้วอีกสี่ปีข้างหน้าพวกมึงจะสร้างความเดือดร้อนอะไรให้คณะอีก” เขายังคงเทศนาต่อด้วยวาจาที่เชือดเฉือนราวกับใบมีด
“ถ้าไม่มีสมองพอที่จะคิดว่าตรงไหนควรยืนตรงไหนควรเดิน ก็กลับไปเรียนอนุบาลใหม่ไป!”
กวินรู้สึกเหมือนค่า HP และ MP ของตัวเองลดลงฮวบฮาบทั้งที่ยืนอยู่ไกลๆ นี่มันไม่ใช่พี่ว้ากแล้ว นี่มันลาสบอสประจำเซิร์ฟเวอร์ชัดๆ
เพื่อนที่มากับร่างสูงสองสามคนยืนกอดอกมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ คนหนึ่งทำหน้าเบื่อหน่ายเหมือนเห็นภาพนี้จนชิน อีกคนกลับมีรอยยิ้มสะใจประดับอยู่มุมปาก
‘ทีมงานคุณภาพจริงๆ’
กวินอดประชดในใจไม่ได้
หลังจากจัดการสั่งสอนและเคลียร์เส้นทางจนโล่งเตียนแล้ว ร่างสูงของ ‘ภาคิน’ ก็หันหลังเดินเข้าตึกไป ทิ้งให้บรรยากาศมาคุและความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณนั้นอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ทุกคนจะค่อยๆ กลับไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สำหรับกวินแล้ว...โลกทั้งใบของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เมื่อกี้...ของจริงว่ะ” ต้าเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“ตำนาน...มีอยู่จริง” โอมพยักหน้าช้าๆ
“กูว่า...เราควรไปคณะเรากันได้แล้ว และก็...อย่าเดินเฉียดไปทางนั้นอีกเลยจะดีกว่า”
กวินพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งยวด เขารู้สึกเหมือนเพิ่งรอดชีวิตจากการเผชิญหน้ากับก็อตซิลล่ามาหมาดๆ สมองของเขาประมวลผลอย่างรวดเร็วก่อนจะสรุปออกมาเป็นแผนการเอาตัวรอดข้อแรกในรั้วมหาวิทยาลัย
หนึ่ง: ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ถูกปรับสถานะเป็น ‘เขตอันตรายระดับสูงสุด’ ห้ามเข้าใกล้ในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรโดยไม่มีเหตุจำเป็นถึงชีวิต
สอง: บุคคลอันตรายอันดับหนึ่ง คือ ‘พี่ชายหน้าหล่อแต่เหมือนกินรังแตนเป็นอาหารเช้า’ เจ้าของเสียงพิฆาตเมื่อครู่นี้ สเตตัสของเขาน่าจะประมาณนี้...
พลังโจมตี: 999+
พลังป้องกัน: ไม่ทราบค่า
ความเร็ว: สูง
ความเมตตา: 0
จุดอ่อน: ยังไม่ถูกค้นพบ
“กวิน...มึงโอเคปะ” ต้าเห็นเพื่อนเงียบไปนานจึงถามขึ้น
กวินหันมามองหน้าเพื่อนช้าๆ ด้วยสีหน้าที่ยังคงซีดเซียว
“กูว่า...กูต้องวาดแผนที่...แผนที่เอาตัวรอด”
ปฐมบทชีวิตในมหาวิทยาลัยที่เขาเคยจินตนาการไว้ว่าสวยงามราวกับทุ่งลาเวนเดอร์ บัดนี้ได้ถูกบอสประจำเซิร์ฟเวอร์คนนี้กระทืบทำลายจนไม่เหลือซาก และแทนที่ด้วยภารกิจสำคัญข้อใหม่...
‘ต้องเอาชีวิตรอดในมหาวิทยาลัยนี้ไปให้ได้ โดยไม่ตกเป็นเป้าหมายของบอสตัวนั้นเด็ดขาด!’
ฝั่งภาคิน...ภาพหยดน้ำตาเงียบๆ ของเด็กหนุ่มคณะศิลปกรรมคนนั้น มันตามหลอกหลอนภาคินไปตลอดทั้งบ่าย เขานั่งเรียนไม่รู้เรื่อง สมองที่เคยใช้คำนวณสูตรฟิสิกส์ที่ซับซ้อน ตอนนี้กลับเอาแต่ฉายภาพใบหน้าที่เจ็บปวดของกวินซ้ำไปซ้ำมา‘แค่คำพูดไม่กี่คำ...ทำไมมันถึงได้รู้สึกผิดขนาดนี้วะ’ภาคินไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ปกติเขาจะปากเสียหรือแกล้งใคร เขาก็ไม่เคยใส่ใจผลที่ตามมา แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป...ความเงียบและการเดินจากไปของกวิน มันทิ้งความรู้สึกหน่วงหนักไว้ในอกของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน“ไอ้ภาคิน มึงเป็นไรวะ นั่งซึมเป็นหมาป่วยเลย”เจตทักขึ้นเมื่อเห็นเขาเอาแต่นั่งเขี่ยบุหรี่ในมือเล่นโดยไม่ยอมจุดมันขึ้นมาสูบ“เสือก” เขาตอบกลับไปตามสไตล์ แต่เป็นคำด่าที่ไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิง“แหม่...ปากดีเหมือนเดิม แต่สายตามึงนี่โคตรเศร้าเลยว่ะ” นนท์เสริม“อกหักเหรอวะ?”ภาคินไม่ตอบ เขาแค่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้เพื่อนมองตามอย่างงงๆคืนนั้น...ภาคินตัดสินใจทำในสิ่งที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกแย่...เขาไปดื่มเหล้า และดื่มอย่างหนักหน่วง กะว่าจะให้แอลกอฮอล์มันล้างความรู้สึกผิดบ้าๆ นี้ออกไปจากหัว แต่ยิ่งดื่ม...ภาพ
‘วัตถุพยานหมายเลข 1’ หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บุหรี่’ ได้กลายเป็นศูนย์กลางจักรวาลของกวินไปโดยปริยายตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหนุ่มปฏิบัติต่อมันราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าจากสุสานฟาโรห์ เขาเก็บมันไว้ในกล่องเหล็กอย่างดี และจะนำออกมาพินิจพิเคราะห์ก็ต่อเมื่ออยู่คนเดียวในห้องเท่านั้นเขาทั้งดม...ซึ่งให้ผลลัพธ์เป็นกลิ่นยาสูบจางๆ ผสมกับกลิ่นโคโลญจน์เฉพาะตัวของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ทั้งลองเอามาคีบระหว่างนิ้วทำท่าเหมือนจะสูบจริงๆ หน้ากระจก ก่อนจะรีบวางลงแล้วส่ายหัวอย่างแรงกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง“มึงจะทำพิธีปลุกเสกมันรึไงวะ” ต้าถามขึ้นในเช้า เมื่อเห็นกวินกำลังจ้องมองกล่องเหล็กใบนั้นด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเกินเบอร์“นี่คือข้อมูล” กวินตอบกลับเสียงขรึม“การกระทำของเป้าหมายในวันนั้นมันอยู่นอกเหนือทุกทฤษฎี มันคือตัวแปรที่เราต้องทำความเข้าใจ”“กูว่ามันคือการแกล้งเด็กว่ะ” โอมสรุปอย่างง่ายๆ“เขาเห็นมึงกลัว เขาก็เลยยิ่งอยากแกล้งให้มึงสับสนเล่น มันคือจิตวิทยาการล่าเหยื่อของนักล่า”คำว่า ‘ล่าเหยื่อ’ ทำให้กวินรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แต่ความรู้สึก ‘หวั่นไหว’ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้นมันก็ยัง
ข่าว ‘กระต่ายกัดเสือ’ ณ สนามฟุตบอล กลายเป็นหัวข้อสนทนาหลักในกลุ่มของกวินไปโดยปริยาย ต้าเล่าเหตุการณ์นั้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจราวกับเป็นวีรกรรมของตัวเอง ส่วนโอมก็มองเพื่อนรักด้วยสายตาที่ผสมปนเประหว่างความเป็นห่วงกับความขบขัน“มึงคือผู้กล้าหาญแห่งคณะศิลปกรรมศาสตร์!” ต้าตบบ่ากวินป้าบๆ “คนที่กล้ายืนต่อกรกับเทพเจ้าสงครามแห่งวิศวะฯ ตัวต่อตัว!”“กูว่ามึงแค่โชคดีมากกว่า” โอมแย้งพลางจิ้มหลอดลงในแก้วชานม“อย่าไปโป๊กเกอร์เฟซใส่เขาบ่อยนักเลย เดี๋ยวโชคไม่เข้าข้างขึ้นมา กูไม่อยากไปเยี่ยมมึงที่โรงพยาบาลนะ”กวินไม่ได้สนใจคำพูดของเพื่อนทั้งสองคน เขากำลังจดจ่ออยู่กับ ‘บันทึกการวิจัยภาคสนาม’ ในสมุดของเขา หน้ากระดาษเต็มไปด้วยแผนผังความคิดและลูกศรโยงไปมา“มันไม่ใช่เรื่องโชค” กวินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงของนักวิชาการ “มันคือการตอบสนองต่อตัวแปรที่ไม่คาดคิด จากการวิเคราะห์ข้อมูลเมื่อวานนี้ กูตั้งทฤษฎีได้ว่า ‘โหมดปกติ’ ของเป้าหมาย สามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย และ ‘โหมดเบอร์เซิร์กเกอร์’ จะถูกเปิดใช้งานเมื่อถูกคุกคามหรือรู้สึกว่าถูกล้ำเส้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ...การตอบโต้ของกูเมื
สัปดาห์ต่อมา กวินใช้ชีวิตราวกับสายลับในหนังสงครามเย็น หายนะที่โรงอาหารได้ยกระดับความหวาดระแวงของเขาขึ้นสู่ขีดสุด แผนที่ในสมองของเขาถูกอัปเดตจนแทบจะเป็นแผนที่ดาวเทียมเรียลไทม์ เขาสามารถบอกได้ว่าช่วงเวลาไหนที่กลุ่มนักศึกษาวิศวะฯ มักจะเคลื่อนพล และเส้นทางไหนคือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัยที่สุด“กูว่ามึงใกล้จะบ้าแล้วนะกวิน”ต้าพูดขึ้นขณะที่เห็นเพื่อนรักกำลังใช้แอปพลิเคชันแผนที่ในมือถือซูมเข้าซูมออกบริเวณรอบตึกวิศวะฯ อย่างเคร่งเครียด“นี่มึงจะคำนวณวิถีกระสุนของพี่เขาเลยรึไง”“การเตรียมพร้อมคือหัวใจของการเอาตัวรอด” กวินตอบโดยไม่ละสายตาจากจอ “มิสไซล์นำวิถีลูกนั้นน่ากลัวเกินไป เราประมาทไม่ได้”โอมที่กำลังดูดชานมไข่มุกอยู่ข้างๆ ส่ายหัวเบาๆ “กูว่าพี่เขาคงลืมเรื่องพวกมึงไปแล้วมั้ง ป่านนี้เสื้อเขาคงขาวเหมือนเดิมแล้ว”“แกไม่เข้าใจหรอกโอม” กวินหันมาพูดด้วยแววตาจริงจัง “เราได้ทำการ ‘ล็อกเป้า’ กับเขาไปแล้วสองครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เราอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ”ความหวาดระแวงขั้นสุดทำให้จิตวิญญาณศิลปินของกวินเริ่มห่อเหี่ยว เขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อชาร์จพลังใจและปลดป
หลายวันผ่านไปนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากับ ‘ลาสบอส’ แห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์ ชีวิตของกวินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เขากลายเป็นนักยุทธศาสตร์การเอาตัวรอดเต็มขั้น สมุดสเก็ตช์ภาพของเขานอกจากจะมีภาพวาดทิวทัศน์แล้ว หน้าหลังสุดยังถูกอุทิศให้เป็น ‘แผนที่เอาตัวรอดฉบับกวินและผองเพื่อน’ อย่างลับๆแผนที่นั้นระบุโซนต่างๆ ในมหาวิทยาลัยด้วยสีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนโซนสีเขียว (Green Zone): เขตปลอดภัยสูงสุด เช่น ตึกคณะศิลปกรรม, ห้องสมุดมุมในสุด, และร้านป้าน้ำปั่นหลังคณะสถาปัตย์ฯ เป็นพื้นที่ที่โอกาสเจอบอสเท่ากับศูนย์โซนสีเหลือง (Yellow Zone): เขตต้องระวัง เช่น ลานกิจกรรมกลาง, สนามฟุตบอล, และโรงอาหารส่วนใหญ่ มีโอกาสเจอบอสได้ แต่สามารถหลบหลีกได้หากมีการสอดแนมที่ดีโซนสีแดง (Red Zone): เขตอันตรายสูงสุด! ได้แก่ ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์และพื้นที่โดยรอบในรัศมีหนึ่งร้อยเมตร การย่างเท้าเข้าไปเทียบเท่ากับการกดปุ่ม ‘ยอมแพ้’ ให้กับชีวิต“มึง...กูว่ามึงจริงจังเกินไปแล้วนะ” ต้าพูดขึ้นในตอนเช้า ขณะที่กวินกำลังพาเพื่อนเดินอ้อมโลกเพื่อไปยังโรงอาหารที่ไกลออกไป แต่เป็นโซนสีเขียวตามแผนที่“ความปลอดภัยต้องมาก่อน” กวินตอบด้วยสีหน้
แสงแดดอ่อนๆ ของต้นเทอมสาดส่องลงมากระทบกับกลุ่มนักศึกษาใหม่ที่กำลังเบียดเสียดกันอยู่ในลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัย เสียงจอแจดังอื้ออึงราวกับตลาดนัดขนาดใหญ่ที่รวมเอาความตื่นเต้น ความฝัน และความประหม่าของเด็กหนุ่มสาวนับพันคนมาไว้ในที่เดียว บูธจากคณะต่างๆ ถูกตั้งขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บ้างก็ตกแต่งอย่างสวยงามตามธีม บ้างก็เปิดเพลงดังกระหึ่มเพื่อเรียกร้องความสนใจและท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ‘กวิน’ เฟรชชี่ปีหนึ่งจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ กำลังยืนกะพริบตาปริบๆ ราวกับลูกแมวที่เพิ่งหลุดเข้ามาในโลกกว้างเป็นครั้งแรก ในหัวของเขามีฟิลเตอร์สีรุ้งฟรุ้งฟริ้งเคลือบทุกอย่างที่มองเห็นเอาไว้ มหาวิทยาลัยในฝันที่เขาเห็นแต่ในซีรีส์ บัดนี้เขาได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้วจริงๆ“โอ้โห...มึงดูบูธนิเทศฯ ดิ อย่างกับหลุดมาจากบรอดเวย์” ‘ต้า’ เพื่อนสนิทร่างท้วมที่ยืนอยู่ข้างๆ ชี้ชวนให้ดูด้วยแววตาตื่นตะลึง ที่บูธนั้นมีรุ่นพี่แต่งตัวเป็นตัวละครแปลกๆ เต้นกันอย่างหลุดโลก“แล้วดูทางนู้น...บูธบริหารฯ อย่างกับประชุมบอร์ดผู้บริหาร”‘โอม’ เพื่อนอีกคนที่สุขุมกว่าเสริมขึ้น พยักพเยิดไปยังกลุ่มรุ่นพี่ในชุดสูทที่ยืนแจกแผ่นพับด้วยมาดนั
Mga Comments