"เอ้าสูสองคนคือมานำกัน"(อ้าว ทำไมสองคนนี้มาด้วยกัน)
"กูย่างเลาะมาพ้อผู้สาวกำลังยืนงง ๆ อยู่ข้างห้องน้ำกำลังว่าสิลักพาตัว"(กูเดินมาเจอสาวสวยคนนี้กำลังยืนงง ๆ อยู่ข้าง ๆ ห้องน้ำเลยว่าจะลักพาตัวสักหน่อย)
"หือ!!!"
ฉันเงยหน้ามองคนด้านข้างและพยายามจะดึงมือออกจากเนื้อมือของเขาที่จับรั้งฉันเอาไว้
"อีลำดวนกลับบ้าน"(ลำดวนไป...กลับบ้าน)
"ฮะ อือ ๆ" ลำดวนก็เมาไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ แต่ฉันตกใจสิ่งที่พี่แคนทำจนหายเมาแล้วล่ะ เหลือแค่มึนนิดหน่อย ทีแรกกะจะกลับมากินต่อแหละ แต่ไม่ดีกว่าเดี๋ยวเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่
"ยกรถจักรยานขึ้นรถให้ด้วย" ฉันบอก...ไม่สิฉันสั่งเขา! และเดินมาขึ้นรถกระบะที่จอดอยู่ข้าง ๆ ร้านพี่วาสนาราวกับเป็นรถของตัวเอง ส่วนลำดวนขึ้นรถมาได้ก็นอนราบไปที่เบาะหลังและเหมือนจะหลับจนได้ยินเสียงกรนออกมาเบา ๆ
"อีลำดวน ลุกฮอดบ้านแล้ว"(ลำดวนลุกถึงบ้านแล้ว)
"อือ ฮะ อือ" น้องสาวคนเล็กลุกขึ้นงัวเงียก่อนจะเปิดประตูรถลงไปก่อน
"ขอบคุณเด้อที่มาส่ง"(ขอบคุณนะที่มาส่ง)
"เร...เป็นแฟนกับอ้ายเนาะ"(เร...เป็นแฟนกับพี่เถอะนะ)
ตั้งแต่ฉันผิดหวังจากไอ้ห้อยนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่พี่แคนของฉันเป็นแฟน ในคราแรกฉันไม่อยากดึงเขาเข้ามาเป็นตัวช่วยเพื่อให้ตัวเองดีขึ้น แต่ตอนนี้เขาถามฉันอีกครั้ง แม้ปากจะบอกว่าไม่ชอบ...แต่ทำไมมันช่างสวนทางกับใจที่เต้นรัวราวกับว่ากำลังดีใจที่มีเขา และสมองมันก็สั่งให้ฉันตอบตกลงกลับไป
"ก็ได้"
ยิ้มดีใจเผยขึ้นที่มุมปากทันทีพร้อมกับดวงตาเป็นประกาย
"แต่..." รอยยิ้มที่หายไปทันในทันตาเมื่อฉันมีข้แม้
"ห้ามบอกคนอื่น...เรไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน"
"ครับ อ้ายเชื่อฟังเรทุกอย่าง"(ครับ พี่เชื่อฟังเรทุกอย่าง)
ฉันยอมรับเลยว่าแพ้ลูกอ้อนและความเอาใจใส่ของพี่แคน ไม่ใช่แต่เอาใจใส่ฉันแต่ยังรวมไปถึงคนรอบข้าง
"ขับรถกลับบ้านดี ๆ เด้อ"(ขับรถกลับบ้านดี ๆ นะ)
"เร...ขอหอมอีกแน"(เร...ขอหอมอีกทีได้ไหม)
"ได้คืบเอาศอก"
"บ่เอาศอกครับ อยากหอมแก้ม"(ไม่ได้เอาศอก อยากหอมแก้มครับ)
ไม่พูดเปล่าเขายังโน้มตัวข้ามเบาะมาหอมเข้าที่แก้มของฉันจริง ๆ
"ฝันดีครับ เมีย..."
"ไผเป็นเมียเจ้า"(ใครเป็นเมียพี่กัน)
"มื้อนี้บ่ทันเป็น มื้อหน้ากะต้องเป็นคือเก่า"(วันนี้ไม่เป็นวันหน้าก็ต้องเป็นอยู่ดี)
"เรบ่เว้านำอ้ายแล้ว"(เรไม่พูดกับพี่แล้ว)
ฉันรีบเปิดประตูลงจากรถเขาไปก่อนที่จะเปลืองตัวไปมากกว่านี้ ขนาดยังไม่ทันได้เป็นอะไรกันก็โดนทั้งหมอ ทั้งจูบ แถมกอดอีก หลังเป็นแฟนต้องโดนอะไรบ้างเนี่ย
[แคน talk]
หลายปีก่อนหน้า
ผมเคยมีแฟนช่วงที่เรียนอยู่ม.ปลาย เธอเข้าไปเรียนต่อมหาลัยในกรุงเทพส่วนผมเรียนเทคโนในตัวจังหวัด และเคยสัญญากันว่าจะแต่งงานหลังจากที่เธอเรียนจบ แต่วันหนึ่งผมเดินทางไปหาเธอที่กรุงเทพก็พบว่าเธอได้ปันใจให้ชายอื่นไปแล้ว ผมกลับมาที่บ้านแบบคนไร้วิญญาณเลยก็ว่าได้ กลายเป็นคนไม่เอางานไม่เอาการ กินเหล้าเมานอนข้างถนนไม่สนใจใคร จนมากวันหนึ่ง...
ป่ากล้วยข้างทางที่เชื่อมต่อจากหมู่บ้านไปทุ่งนา ชายหนุ่มอายุ 22 ปี สวมเสื้อยืดสีดำที่เปื้อนดินเปื้อนหญ้า กับกางเกงยีนสีเข้ม นอนกอดขวดเหล้าอยู่ข้างถนน ปากก็พร่ำเพ้อพูดจาไม่รู้เรื่อง สาวน้อยเข็นรถไสกลับมาจากรดน้ำผัก ยืนมองเขาด้วยสายตาระอา
"จั่งแม่นเจ้าเฮ็ดตัวบ่มีประโยชน์คักเนาะอ้ายแคน พ่อแม่กะมีหน้ามีตาเจ้าละขี้เหล้าขี้ยาอยู่ จังแม่นข่อยงึดเจ้า"(ทำไมทำตัวไร้ประโยชน์ขนาดนี้ห้ะพี่แคน พ่อแม่ก็เป็นคนมีหน้ามีตาพี่กลับมาทำตัวเป็นคนขี้เหล้าแบบนี้ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ)
เธอว่าก่อนจะวางรถที่เข็นมาไว้และเดินมาดึงแขนเขาให้ลุกขึ้น
"ปล่อย! บ่ต้องมายุ่ง!"(ปล่อย! ไม่ต้องมายุ่ง!)
"ฮ่วยถ้าข่อยบ่เห็นแก่หน้าครูข่อยบ่มาสนใจเจ้าดอกเด้อ"(ถ้าฉันไม่เห็นแก่หน้าพ่อพี่ฉันไม่มายุ่งหรอก)
เธอว่าออกมาแบบนั้นเพราะพ่อของแคนนั้นเป็นอาจารย์ประจำชั้นของเธอ คนตัวเล็กพยายามดึงร่างสูงใหญ่ด้วยความทุกลักทุเล จนขึ้นรถได้สำเร็จ ก่อนเข็นเขากลับมาในหมู่บ้านเพื่อตั้งใจจะเอาไปส่งไว้ที่บ้าน แต่คนเมาก็เอาแต่พูดพร่ำเพ้อ
"ผู้หญิงมันกะเป็นคือกันทุกคนนั่นแหละ บ่รู้จักพอ!!"(ผู้หญิงมันก็เป็นเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ ไม่รู้จักพอ)
"ฮ่วย! ๆ คือเว้าหมา ๆ แบบนี้ ยู้ลงห้วยเด้"(อ้าว! ทำไมพูดหมา ๆ แบบนี้ล่ะ เดี๋ยวปล่อยลงคลองเลยนี่)
"มันบ่เคยฮักไผจริง"(มันไม่เคยรักใครจริงหรอก)
เรไรกัดฟันอยากทำอยากที่พูดจริง ๆ แต่ใจหนึ่งก็เข้าใจคนเสียใจเลยได้แต่อดทนไว้ แต่สิ่งที่อดทนไม่ได้คือคำบ่นที่กำลังจะออกมาจากปากเธอ
"ประสาผู้หญิงคนเดียวกะสิเป็นสิตาย เฮ็ดปานบ่มีปัญญาหาใหม่ จังแม่นซั่วโพด"(แค่ผู้หญิงคนเดียวก็จะเป็นจะตาย ไม่มีปัญญาหาใหม่หรือไง ทำไมทำตัวโง่ขนาดนี้)
"อีเร มึงบ่เคยมีความฮักสิไปฮู้อิหยัง"(มึงไม่เคยรักใครจะไปรู้อะไร)
"โอ๊ย!! ถ้ามีแล้วเฮ็ดโตโง่คือเจ้าข่อยกะบ่อยากมีดอก"โอ๊ย! ถ้ามีแล้วโง่เหมือนพี่ฉันก็ไม่อยากมีหรอก...)
เรไรไม่ยอมที่ให้คนเมาว่าเธอได้ฝ่ายเดียวแต่กลับกันเธอกลับเป็นฝ่ายด่าเขามากกว่า
หน้าบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง ด้วยความที่พ่อแม่ของแคนรับราชการทั้งคู่ก็เลยค่อนข้างที่จะมีฐานะระดับหนึ่งในหมู่บ้านนี้
"อ้ายแคน ลุกฮอดบ้านแล้ว"(พี่แคนลุก ถึงบ้านพี่แล้ว)
"อือ" เหมือนเขาจะหลุดไปอยู่อีกโลกแล้ว เรไรได้แต่ยืนเท้าสะเอวมองอย่างเหนื่อยหน่าย สายตาสอดส่ายสายตามองซ้ายขว่ก่อนจะเห็นถังและก๊อกน้ำ ใบหน้าสวยยกยิ้มขึ้นมาอย่างมีแผน
ฉ่าา!!!
แค่ก แค่ก
น้ำครึ่งถังสาดเข้าที่ตัวคนนอนอยู่ในรถเข็นนั้นจนหมด เขาได้สติตื่นขึ้นมาพร้อมกับสำลักไอค่อกแค่ก มือลูบหน้าลูบตาตัวเองมองซ้ายขวาก่อนจะเจอเรไรที่ยืนเท้าเอวอยู่
"อีเร"
"ตื่นได้แล้วบ่ ลุกเข้าไปหาอาบน้ำอาบท่า ไปกินข้าวกินน้ำ เฮ็ดตัวใหม่ได้แล้ว อย่ามาหาเฮ็ดตัวปัญญาอ่อนสิตายแต่นำของบ่คืออยู่นี้ พ่อแม่เลี้ยงมาให้เป็นคนบ่แม่นให้เป็นควาย"(ตื่นได้หรือยัง ลุกไปอาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินน้ำ ทำตัวใหม่ได้แล้ว อย่ามาทำตัวปัญญาอ่อนเพราะอะไรที่มันไร้ค่าแบบนั้น พ่อแม่เลี้ยงมาให้เป็นคนไม่ใช่ควาย)
คำบ่นปนด่าออกมายาวเหยียดอันที่จริงเธอก็ไม่ได้อยากมาด่าเขาแบบนี้หรอกแต่เพราะเขาเป็นแบบนี้มาหลายวันแล้วเห็นแล้วมันขัดลูกตา
"มึง" เขาชี้หน้าเธออย่างคาดโทษแต่ไม่ทันที่จะได้ต่อว่าสาวน้อยก็สวนกลับอีกครั้ง
"ข่อยเว้าบ่ทันจบ หน้าตากะผู้จบผู้หล่อบ่มีปัญญาหาใหม่บ่ เอาให้ดีให้งามกว่าคนเก่าสิบเทือกะได้ตัวะ สิไปสนใจหยังของส่ำนั้น ไผเว้าหยังเจ้ากะบ่ฟังยังมาเฮ็ดตัวสัมเลเทเมาอยู่ บ่อยากอายหมาบ่"(ฉันยังพูดไม่ทันจบ พี่นะหน้าตาก็ดีไม่มีปัญญาหาใหม่เหรอ เอาให้ดีกว่าคนเดิมสิบเท่าเลยก็ยังได้ จะไปสนใจอะไรของพันนั้นใครพูดอะไรพี่ก็ไม่ฟ้ง เอาแต่ทำตัวสัมเลเทเมาอยู่ได้ ไม่อายหมาหรือไง)
หมาอีแดงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็มองมาที่คนสองคนตาปริบๆ คนตัวสูงอ้าปากค้างทั้งเจ็บใจที่ถูกเด็กด่าแบบนี้ แต่ที่เธอพูดมาก็ไม่ผิด
"ลุกได้แล้ว อย่ามานั่งหลับตามิบ ๆ อยู่นี่ บ่แม่นเด็กน้อย"(ลุกได้แล้ว มานั่งทำตาปริบ ๆ ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว)
ว่าเธอก็เดินเข้าไปพยุงร่างสูงให้ลุกขึ้นและพาเขาเข้าไปในบ้าน
"ครูขา ครู มีคนอยู่ไหมคะ"
"เขาบ่อยู่ดอก"(ไม่มีคนอยู่หรอก)
"อ้ายอยู่คนเดียวติ"(พี่อยู่คนเดียวเหรอ)
เขาพยักหน้าหงึกหงักตอบเธอ เรไรตัดสินใจเปิดประตูบ้านพาเขาเข้าไปด้านใน
"ส่งอ้ายไว้นี่ละ"(ส่งพี่ไว้ตรงนี้แหละ)
"อย่าให้เห็นว่าเป็นแบบนี้อีกนะ เฮ็ดโตให้มันสมหน้าสมตาพ่อแม่เจ้าแหน่"(อย่าให้ฉันเห็นว่าพี่เป็นแบบเดิมนะ ทำตัวให้สมกับที่พ่อแม่เลี้ยงมาหน่อย)
ขนาดเดินออกไปแล้วก็ยังทิ้งท้ายคำบ่นเอาไว้ และไม่ลืมที่จะหันมามองเขาอย่างคาดโทษอีกด้วย
เสียงไก่ขันในยามเช้าตรู่ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่ ชายหนุ่มตัวสูงเดินออกมาที่หน้าบ้านมองชาวบ้านที่ไล่ต้อนวัวควายออกไปเลี้ยงที่ไร่นา พอดีกับมีจักรยานของสาวน้อยที่ซ้อนท้ายกันมาสองคนมาจอดที่หน้าบ้าน
"เมาอยู่ติ"(เมาหรือเปล่า)
คำแรกที่เธอเอ่ยถามเขา คำที่เธอกร่นด่าเมื่อวานยังดังก้องในความรู้สึก เอาซะสำนึกแทบไม่ทันเลย
"บ่ได้เมา หัวกะตื่น"(ไม่ได้เมา พึ่งตื่น)
สภาพหัวที่ยังฟู และก็ยังอยู่ในชุดกีฬาที่ใส่นอนก็เป็นการตรวจคำตอบแล้วว่าเขาพูดจริง
"นี่ ซื้อมาฝาก" มือเล็ก ๆ หยิบของบางอย่างออกมาจากหน้าตะแกรงรถยื่นมาตรงหน้า พอรับมาถึงรู้ว่ามันคือน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ รอยยิ้มบาง ๆ ก็ผุดขึ้นที่มุมปากทันที
#จื่อบ่555 อีเรสวดยับ
ที่มาของหลงเสียงเรไร
ร้องเพลงเพราะ=ผิด
ด่าเก่ง บ่นเก่ง=ถูก
เสียงไก่โห่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างปลุกฉันให้รีบตื่นมาทำกับข้าวเพื่อเตรียมไปวัดในวันพระใหญ่ ในฤดูหนาวแบบนี้ทำเอาไม่อยากจะออกจากผ้าห่มเลย"พี่เร ตื่นหรือยัง""อือ" ฉันตอบน้องสาวพลางหยิบเสื้อแขนยาวไหมพรมออกมาสวมใส่ เราสองคนเดินลงมาจากบนบ้านและช่วยกันทำกับข้าวมือเป็นระวิง กว่าจะเสร็จฟ้าก็ทอแสงรำไรแล้ว ม่านหมอกหนาบดบังทิวทัศน์ของทุ่งนาที่เหลืองอร่ามให้เห็นเป็นเลือนราง"เสร็จแล้วฉันไปอาบน้ำก่อนนะจ๊ะ" ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะขึ้นไปเอาเสื้อผ้าเพื่อรอคิวอาบต่อ ดีที่พี่แคนมาทำห้องน้ำและติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ใหม่เลยทำให้การอาบน้ำสะดวกขึ้นฉันยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย พอคิดถึงชายคนที่ครอบครองดวงใจรอยยิ้มหวานก็ปรากฏบนใบหน้าทันที ฉันหยิบเสื้อพื้นเมืองสีชมพูกับผ้าถุงลายหยาดฝนที่แม่ทอให้ออกมาสวมและสวมทับด้วยเสื้อกันหนาวไหมพรมอีกที ก่อนจะรีบออกมารอลำดวนที่ด้านล่าง ไม่นานนางก็เดินลงมาด้วยชุดที่คล้ายกันกับของฉันเราสองคนพี่น้องขับรถออกมาตามทางตรงไปที่วัดโดยใช้ทางลัดตามคันนา แสงรุ่งอรุณตกกระทบน้ำค้างบนยอดหญ้าจนเป็นแสงระยิบระยับชวนมองกลิ่นอายของต้นข้าวยามถูกหมอกโชยเข้าจมูกช่างเป็น
แสงแดดยามเช้าทำให้รู้สึกรื่นรมณ์ใจสงบผ่อนคลายไม่น้อย สองขาที่ผอมแห้งของตาสิทธิ์ก้าวเดินฉับ ๆ มาที่ร้านค้าเพื่อซื้อเครื่องปรุงตามที่คนเป็นเมียบอก แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าหากว่าไม่ได้ยินบทสนทนาจากคนที่อยู่ร้านค้า..."อิหลีตั้วะ มื้อวานนี้ยืนกอดกันอยู่ตลาด ทิศแคนหอมแก้มมันกะบ่ขัดบ่ขืนเลยเด้ จังแม่นบ่อยากอายคน คือสิอยากได้เขาคัก"(จริง ๆ นะเมื่อวานนี้เห็นยืนกอดกันอยู่ที่ตลาด ถูกทิศแคนหอมแก้มมันยังไม่ขัดขืนเลย ช่างไม่อายคนคงจะอยากได้เขาจนตัวสั่น)"เจ้าจำคนผิดบ่"(แกจำผิดคนหรือเปล่า)"บ่ ๆ อีเรไรนี่แหละ ข่อยเห็นมากับสองตา"(ไม่ ๆ ฉันมั่นใจเห็นมากับสองตา)"แต่พักหลัง ๆ มานี้กะเห็นทิศแคนเข้าออกบ้านพ่อใหญ่สิทธิ์ดุอยู่ สิมาวนอีเรอิหลีล่ะ"(แต่พักหลังมานี้ก็เห็นทิศแคนเข้าออกที่บ้านตาสิทธิ์บ่อยอยู่นะ คงจะมาติดพันเรไรจริง ๆ นั่นแหละ)แม่ค้าตอบกลับมาเป็นความคิดเห็นเท่านั้น เพราะเธอเองก็เห็นแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนักเพราะต่างคนต่างใช้ชีวิต"ไสว่ามันสิเอากับบักห้อย"(แต่ไหนว่ามันกับไอ้ห้อยจะเอากันเป็นมั่นเหมาะ)"โอ๊ย! ทุกปานนี้บักห้อยมันบ่เอาดอก คนขี้ค้านจั
เสียงไก่โห่ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ชาวบ้านก็เริ่มไล่วัวควายออกไปเลี้ยงตามวิถีชีวิตชนบท บางคนก็ออกไปไร่ไปนาเพราะใกล้ฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว"พี่เร...รอด้วยฉันเสร็จแล้ว" ลำดวนรีบแต่งตัวตามพี่สาวออกมาหมายจะออกไปช่วยขายผักที่ตลาด"อยู่นี่แหละรอทำกับข้าวให้พ่อกับแม่""บ่ ๆพ่อกับแม่บ่อยากดอก พากันออกไปส่อยกันโลด"(ไม่ต้อง ๆ พ่อกับแม่อยู่กันได้ เอ็งสองคนพสกันออกไปช่วยกันเถอะ)คนเป็นแม่ว่าขึ้นเพราะลำพังอยู่สองตายายกินอะไรก็ได้อยากให้ลูกออกไปช่วยกันมากกว่า"งั้นเดี๋ยวฉันรีบกลับมานะ"สองสาวพี่น้องซ้อนท้ายกับออกมาตั้งแต่เช้ามืดเพื่อไปให้ทันตลาดเช้า ผักช่วงนี้ออกเยอะจนล้นตลาดทำให้ต้องไปนั่งขายเอง หมดล็อตนี้ก็ว่าจะกลับไปปลูกพริกกับมะเขือเหมือนเดิมดีกว่า"ลำดวน ไม่ต้องช่วยพี่หรอก เอาผักกาดกับกะหล่ำอย่างละร้อยไปส่งร้านขนมจีนเจ้น้อยให้พี่ไป""จ้ะ" ว่าแล้วลำดวนก็หยิบผักกาดขาวและกะหล่ำใส่ตะกร้าเท่าจำนวนที่สาวบอกและขับมอไซด์ออกไปที่ร้านขนมจีนหน้าโรงพยาบาลเหลือเพียงเรไรที่กำลังตั้งแผงขายผักที่เหลืออยู่"ผักจ้าผัก สด ๆ จากสวน ปลอดสารพิษนะจ๊ะ" เสี
"เอ้าสูสองคนคือมานำกัน"(อ้าว ทำไมสองคนนี้มาด้วยกัน)"กูย่างเลาะมาพ้อผู้สาวกำลังยืนงง ๆ อยู่ข้างห้องน้ำกำลังว่าสิลักพาตัว"(กูเดินมาเจอสาวสวยคนนี้กำลังยืนงง ๆ อยู่ข้าง ๆ ห้องน้ำเลยว่าจะลักพาตัวสักหน่อย)"หือ!!!"ฉันเงยหน้ามองคนด้านข้างและพยายามจะดึงมือออกจากเนื้อมือของเขาที่จับรั้งฉันเอาไว้"อีลำดวนกลับบ้าน"(ลำดวนไป...กลับบ้าน)"ฮะ อือ ๆ" ลำดวนก็เมาไม่ต่างจากฉันสักเท่าไหร่ แต่ฉันตกใจสิ่งที่พี่แคนทำจนหายเมาแล้วล่ะ เหลือแค่มึนนิดหน่อย ทีแรกกะจะกลับมากินต่อแหละ แต่ไม่ดีกว่าเดี๋ยวเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่"ยกรถจักรยานขึ้นรถให้ด้วย" ฉันบอก...ไม่สิฉันสั่งเขา! และเดินมาขึ้นรถกระบะที่จอดอยู่ข้าง ๆ ร้านพี่วาสนาราวกับเป็นรถของตัวเอง ส่วนลำดวนขึ้นรถมาได้ก็นอนราบไปที่เบาะหลังและเหมือนจะหลับจนได้ยินเสียงกรนออกมาเบา ๆ"อีลำดวน ลุกฮอดบ้านแล้ว"(ลำดวนลุกถึงบ้านแล้ว)"อือ ฮะ อือ" น้องสาวคนเล็กลุกขึ้นงัวเงียก่อนจะเปิดประตูรถลงไปก่อน"ขอบคุณเด้อที่มาส่ง"(ขอบคุณนะที่มาส่ง)"เร...เป็นแฟนกับอ้ายเนาะ"(เร...เป็นแฟนกับพี่เถอะนะ)ตั้งแต่ฉันผิดหวังจากไอ้ห้อยนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่พี่แคนของฉันเป็นแฟน ในคราแรก
ร่างอรชรในชุดเสื้อกล้ามสีชมพูสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวไหมพรมกางเกงวอมสีเทาเดินลงมาจากบนบ้านก็เห็นว่าพ่อแม่และน้องสาวกำลังจัดแต่งสำรับเย็น แต่ไร้ความหิวสำหรับเธอ"กินข้าวก่อนเลยเด้อ สิออกไปนั่งเล่นอยู่ร้านยายวาด"(กินกันได้เลยนะ จะออกไปนั่งเล่นที่ร้านองพี่วาด""ข่อยไปนำ"(หนูไปด้วย)ว่าแล้วลำดวนที่พึ่งจะอาบน้ำเสร็จและแต่งพาข้าวให้พ่อแม่เรียบร้อยก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหยิบเอาเสื้อแขนยาวมาสวมทับและขึ้นซ้อนท้ายจักรยานของพี่สาวทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะอุ้มเอาถุงต้นหอมติดไปส่งร้านค้าในหมู่บ้านด้วยเนื่องจากเป็นทางผ่านถนนคอนกรีตในหมู่บ้านทอดยาวไป บ้านเรือนแถบชนบทส่วนมากก็จะเป็นบ้านไม้ยกสูงใต้ถุนโล่งหลังไหนที่มีอันจะกินหน่อยก็จะเป็นครึ่งปูครึ่งไม้ วัวควายที่ไล่ต้อนเข้ามาในยามพลบค่ำก็เดินเต็มถนนร้านยาดองวาสนา แม่ค้าสาวคนสวยในชุดเสื้อยืดรัดรูปสีขาวกับผ้าถุงลายหงส์ที่เธอชอบใส่กำลังยืนตักเหล้าดองยาจากไหใส่กระบอกไม้ไผ่ก่อนจะเดินไปเสิร์ฟให้ลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาดื่ม โดยมี อบต. หนุ่มนั่งอยู่ไม่ห่าง ทันทีที่เห็นน้องสาวสองคนเธอก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งยิ้
แสงแดดจ้าในตอนกลางวันช่วงหน้าหนาวไม่ได้ให้ความรู้สึกร้อนอย่างที่ควรจะเป็นแต่ยังเพิ่มความอบอุ่นให้จากอุณหภูมิที่ต่ำแบบนี้ด้วย สองพี่น้องที่ช่วยกันถอนหญ้าจากแปลงกะหล่ำและต้นหอม พลางเปิดเพลงจากลำโพงบลูธูทขนาดเล็กที่ลำดวนนั้นพกมาด้วยจนเสียงดังไปทั่วบริเวณ เข้าหน้าหนาวแบบนี้พริกปลูกยากเป็นโรคแล้วก็ไม่โตจึงต้องหันมาปลูกพืชตามฤดูแทน แต่ตอนนี้มีเพียงต้นหอมที่พอจะเก็บขายได้ส่วนกะหล่ำพึ่งจะได้สามสิบวันต้องรอให้ได้อายุก่อน"พี่เร...ลำดวนว่าพี่แคนก็ดีนะ เมื่อไหร่พี่จะเปิดใจให้แกสักที นี่เขาก็ตามจีบพี่มาเป็นเดือน ๆ แล้ว"ได้ยินเพียงเสียงถอนหายใจจากพี่สาวกลับมา แต่ลำดวนนั้นเชียร์ว่าที่พี่เขยคนนี้สุดใจ"ข่อยเห็นอิสร้อยลูกผู้ใหญ่วินัยเทียวไปเทียวมาบ้านเลาอยู่เด้อ ระวังเล่นตัวหลาย ๆ เขาสิหันไปหาคนอื่นก่อนยามนั้นอย่ามาคิดเสียดาย"(หนูเห็นสร้อยลูกผู้ใหญ่วินัยเทียวไปเทียวมาที่บ้านพี่แคนบ่อย ๆ ถ้าเขาหันกลับไปสนใจคนอื่นจะมาคิดเสียดายทีหลังไม่ได้นะ)"อีลำดวน มึงสิเว้าฮอดอ้ายแคนสุมื้อเลยบ่ มักปานนั้นมึงคือบ่เอาเองโลด"(ลำดวน..นี่จะพูดถึงพี่แคนทุกวันเลยหรือไง ถ้าชอบขนาดนั้นทำไมไม่เ
[แคน talk]หลังจากที่ผมเห็นเหตุการณ์ที่ตลาดวันนั้นก็รู้ได้แล้วว่าโอกาสของตัวเองมาถึงแล้ว อันที่จริงผมเห็นไอ้ห้อยกับสีทำอะไรลับหลังเรไรแบบนี้หลายครั้งแล้วแหละ บอกผ่านวาสนาไปแต่เรไรนั้น ปักใจเชื่อมาตลอดว่าห้อยรักเธอ ผมเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้เธอได้เห็นด้วยตาเนื้อของตัวเองเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่ผมเฝ้าตาเรไร จนชาวบ้านเอาไปลือต่างๆ นานา ตอนนี้เรไรเองก็เหมือนจะทำใจได้บ้างแล้ว ผมคิดว่าเธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมกำลังจีบและเร่งทำคะแนน บางครั้งที่ถูกหยอดมุกไปก็มีเขินจนหน้าแดง...เวลาย่ำค่ำพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้ารำไร สายลมเย็นๆในช่วงหน้าหนาวพัดผ่านกายจนเย็นสะท้านในบางครา บ้านไม้ยกสูงที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน มองจากไกล ๆ สองพี่น้องกำลังช่วยกันแต่งสำรับกับข้าว โดยที่พ่อแม่ที่แก่ชรากำลังนั่งรอ ไม่รอช้าผมขับรถเข้าไปจอดที่หน้าบ้านและเดินลงไปพร้อมกับของในมือที่ซื้อมาจากในเมือง"ทิศแคน มาตะไสละค่ำมืด"(แคนไปไหนมาค่ำมืด)พอเดินลงจากรถตาสิทธิ์ก็ทักทายทันที"หัวแต่กลับมาแต่ในเมืองไปซื้ออะไหล่รถ กะเลยซื้อแนวกินมาฝาก"(พึ่งจะกลับมาจากในเมืองครับเข้าไปซื้ออะไหล่รถ เลยซื้อของกินมาฝาก)ผมวางของกินที่ซื้อไว้บน
แคนตั้งใจจะโทรไปชวนเรไรมาเที่ยวงานเพราะไม่อยากให้เธออยู่คนเดียวและคิดถึงเรื่องที่ทำให้บั่นทอนจิตใจ คราแรกเธอก็มีท่าทีปฏิเสธทว่าเขาก็หาทางตะล่อมจนหญิงสาวนั้นตกลงชายหนุ่มลูกชายคนโตของบ้าน พ่อแม่ต่างเป็นข้าราชการครูเกษียณ น้องชาย 'คราม' ก็เป็นถึง ส.อบต. เรียกได้ว่าบ้านก็ค่อนข้างที่จะมีฐานะในหมู่บ้าน แต่เขาที่ไม่ชอบอยู่ใต้บังคับบัญชาใครเลยไม่เดินสายนี้เดิมทีเขาควรจะแต่งงานออกเรือนไปตั้งนานแล้วด้วยอายุที่ย่างเข้ามาถึงเลขสาม พ่อแม่เทียวติดต่อหาสาวๆที่เป็นลูกข้าราชการเหมือนกันมาให้แต่แคนเองก็ไม่เคยที่จะแลตามองผมจะรอเรไรคนเดียวเท่านั้นกี่ปีก็จะรอ...งานของดีอำเภอณ ที่ว่าการ ถนนทางเข้าสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าร้านขายของกินของที่ระลึก มีโซนเสื้อผ้าร้านขายผ้าไหมพื้นเมืองที่ทอโดยฝีมือของผู้เฒ่าผู้แก่ และโซนของเล่นมากมาย แต่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาในงานได้มากมายขนาดนี้เห็นคงจะเป็นหมอลำคณะใหญ่ที่ตั้งเวทีเด่นตระหง่านเต็มไปด้วยแสงไฟละลานตา ไฟส่องฟ้าวิบวับและเสียงบรรเลงเพลงจากเครื่องเสียงจนดังอึกกระทึกไปทั่วบริเวณ"
กว่าฝนจะซาก็เกือบชั่วโมงต้องนั่งหนาวอยู่แบบนั้น พี่แคนตามมาส่งถึงบ้านเลย มาถึงฉันก็รีบอาบน้ำเข้านอนเพราะต้องลุกไปส่งพริกที่ตลาดแต่เช้า ร้านป้าน้อยแม่ค้าผักเจ้าใหญ่สั่งไว้ห้าสิบกิโลครืดครืด ครืดครืดพึ่งจะทิ้งหัวลงหมอนได้ยังไม่รู้สึกว่าหลับเลยเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือก็ดังขึ้น นอนไปแค่สามชั่วโมงเองแต่ก็เหมือนไม่ได้นอน จะนอนต่อก็ไม่ได้ เกิดเป็นอีเรไรนี่มันต้องอึดและบึกบึนเว้ย!ฉันแบกร่างที่ล้าขับรถออกมาตามทางในยามเช้ามืดจุดหมายอยู่ที่แผงผักป้าน้อย มันคั่นเนื้อคั่นตัวเหมือนจะไม่สบายคงเพราะตากฝนเมื่อคืนแหละมั้งทั้งยังกินเหล้าอีกคิดดูว่าพริกห้าสิบกิโลที่แพคใส่ถุงสิบกิโลกับรถมอเตอร์ไซด์คันเก่าๆ ฉันต้องทุักทุเลมากขนาดไหน ใช้เวลาขับรถอยู่ราวๆสามสิบนาทีก็ถึงจุดหมายในตอนฟ้าสางพอดี หน้าร้านแกก็ยังมีรถกระบะคอกสูงกำลังมาส่งผักเช่นกัน"เพิ่มรับเรไรแนเร็ว"(เพิ่มมารับเรไรหน่อยเร็ว) ป้าน้อยทันทีที่เห็นฉันขับไปจอดแกก็รีบเรียกลูกน้องมารับเลยโชคดีที่วันนี้เป็นออเดอร์ส่งเลยไม่ต้องนั่งขายให้หลังขดหลังแข็ง ภาวนาให้มีออเดอร์ทุกวัน แต่ก่อนกลับก็ไม่ลืมแวะซื้อ