หลังจากเวินซื่อสะบัดเวินหย่าลี่ นางถูกสาวใช้ประคองเอาไว้ จากนั้นชี้นิ้วที่สั่นเทาไปหาเวินซื่อ “ดี ดี! เจ้าคอยดูเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่าย ๆ แน่!” มาอย่างดุดัน กลับไปอย่างทุลักทุเลหลังเวินซื่อละสายตา พลันหันหลังกลับเข้าอารามทันทีทิ้งไว้เพียงฝูงชนกลุ่มหนึ่งที่ยังข้องใจไม่หาย“เพราะฉะนั้นแล้ว ตกลงธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงได้ขโมยยาหยกหิมะของจงหย่งโหวฮูหยินหรือไม่?”“นี่ยังต้องถามอีกหรือ บทสรุปชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”“จงหย่งโหวฮูหยินสงสัยว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ขโมยยาหยกหิมะของนางไป แต่นางก็ไม่มีหลักฐาน ส่วนธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดเผยจริงใจ ดังนั้นข้าคิดว่านางไม่ได้ขโมย”“จะว่าอย่างนั้นคงไม่ได้ ข้าว่าจงหย่งโหวฮูหยินเองก็มีเหตุผลให้สงสัย ก่อนออกบวชชื่อเสียงของธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่สู้ดีนัก ข้าคิดว่าหากนางต้องการแก้แค้นจงหย่งโหวฮูหยิน ก็ใช่ว่าจะทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้”“เจ้าโง่หรือ? หากธิดาศักดิ์สิทธิ์ขโมยจริง นางยังกล้าบอกว่าจะไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์หรือ?”“ทว่าก็ยังไม่ได้ไปกราบทูลไม่ใช่หรือ ไม่แน่อาจแค่ข่มขู่เท่านั้นล่ะ? อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อคนนิสัยอย่างเวินซื่อหรอก”หลังจากฝูงชนที่อยู
เมื่อได้ยินคำพูดของเวินจื่อเฉิน บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดสีหน้าของเวินเยวี่ยแข็งข้างไปชั่วขณะมือที่อยู่ใต้โต๊ะกำแน่น ในใจรู้สึกรำคาญเวินจื่อเฉินที่พูดโพล่งออกมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยอย่างที่สุดทั้งที่คราวก่อนเจ้าโง่นี่ถูกนังแพศยาทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำไมตอนนี้จึงดูเหมือนสนใจนังแพศยานั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ล่ะ?หรือสมองของเวินจื่อเฉินมีปัญหา?คนอื่นยิ่งเกลียดเขา เขาก็ยิ่งอยากเสนอหน้าไปทำดีด้วยงั้นหรือ? !นอกจากเวินจื่อเฉิน เวินฉางอวิ้นที่อยู่ข้างกันตะลึงไปสักครู่จึงรู้สึกตัว“วันนี้เป็นวันที่หนึ่ง เป็นวันเกิดของน้องห้าจริง”ระหว่างที่พูดอย่างนั้น สีหน้าเวินฉางอวิ้นสับสน ในใจพลันเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาบ้างหากไม่ใช่น้องรองเอ่ยขึ้นกะทันหัน เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วเวินจื่อเยวี่ยขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “จู่ ๆ พี่รองเอ่ยถึงนางทำไม? ตอนนี้นางไม่ใช่คนตระกูลเวินแล้ว จะเป็นวันเกิดของนางหรือไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา”เวินอวี้จือยกถ้วยน้ำชาของตัวเอง แล้วจิบหนึ่งคำ โดยไม่ได้พูดอะไรเวินฉางอวิ้นนึกถึงท่าทางเย็นชาที่เวินซื่อแสดงออกก่อนหน้านี้ อดหันไปมองผู้ที่นั่งตรงตำแหน่งประธานไ
อย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจว่าพี่ใหญ่กับพี่รองคิดอะไรกันอยู่ยามนี้ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นเอาใจใส่เวินซื่อมากทั้งที่ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่ไม่สนใจไม่ใส่ใจเวินซื่อแม้แต่น้อย พี่รองยิ่งลงไม้ลงมือกับเวินซื่อ ไม่มีใครดีกับนางสักคนตกลงพวกเขาเป็นอะไรไป?เพราะเวินซื่อให้พวกเขากินยาเสน่ห์ จนทำให้พวกเขาลืมไปว่าก่อนนี้เวินซื่อเป็นคนใจดำอำมหิตขนาดไหนงั้นหรือ?“พี่สาม อย่าพูดเช่นนี้ เกิดพี่หญิงห้าได้มายินคำพูดเช่นนี้ของท่าน นางจะเสียใจนะเจ้าคะ”เวินเยวี่ยที่ออกมาพร้อมกัน แม้ปากจะบอกให้เวินจื่อเยวี่ยอย่าพูดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับพอใจมากโชคดีที่เวินจื่อเยวี่ยยังอยู่ในการควบคุมของนาง เพราะชายหนุ่มที่ดูเคร่งขรึมคนนี้ เป็นคนที่ดื้อดึงที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คนเมื่อเขาปักใจว่าเวินซื่อคือคนที่ใจคอโหดเหี้ยม มันจะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะคำโน้มน้าวจากผู้อื่นเด็ดขาดดังนั้นหากเวินเยวี่ยอยากใช้เขาเล่นงานเวินซื่อ พูดได้ว่าเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก“อย่าว่าแต่ตอนนี้นางไม่ได้ยิน ต่อให้นางยืนอยู่ตรงหน้าข้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่ข้าเวินจื่อเยวี่ยไม่กล้าพูด”น้ำเสียงของเวินจื่อเยวี่ยใจร้ายมาก ทิ้งคำพูดนี้ไว้ก่อนสะบัดแขนเสื้อจา
“อะไรนะ?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วทันที “พิธีปักปิ่นก่อนหน้านี้ไม่ใช่วันเกิดของอู๋โยวหรอกหรือ?”“เสด็จอาเองก็รู้สึกเหลือเชื่อสินะ?”ฮ่องเต้น้อยถอนหายใจอย่างสับสน “เราเองก็เพิ่งจะรู้ ที่แท้วันนี้ถึงจะเป็นวันเกิดของธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิง ส่วนเจิ้นกั๋วกงเองคงเพิ่งจะนึกได้ไม่นาน ดังนั้นตอนเที่ยงจึงได้มาขออนุญาตจากเรา”ตั้งแต่ท่านอาหลานจากไป จวนเจิ้นกั๋วกงยิ่งไร้ระเบียบเข้าไปทุกทีแม้จวนเจิ้นกั๋วกงจะประกาศต่อภายนอกว่าเวินเยวี่ยคือบุตรสาวของผู้มีคุณ ซึ่งรับไว้เป็นบุตรสาวบุญธรรม แต่สำหรับฮ่องเต้ การสืบค้นเรื่องพวกนี้ง่ายดายมากดังนั้นพวกฮ่องเต้น้อยรู้นานแล้วว่าเวินเยวี่ยคือบุตรสาวนอกสมรสของเวินเฉวียนเซิ่งเดิมทีนึกว่าเรื่องนี้เหลวไหลมากพอแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ที่เป็นถึงเจิ้นกั๋วกงจะทำเรื่องเหลวไหลเพื่อบุตรสาวนอกสมรสได้ขนาดนี้ผู้ที่เป็นบุตรสาวในภรรยาเอกจวนเจิ้นกั๋วกง นอกจากไม่อนุญาตให้จัดงานพิธีปักปิ่นในวันเกิดแล้ว ยังต้องถูกจัดให้เป็นตัวรองเพื่อให้บุตรสาวนอกสมรสโดดเด่นช่างเหลวไหลสิ้นดีเป่ยเฉินหยวนสอบถาม “เขาขออนุญาตเรื่องใดหรือ?”ฮ่องเต้น้อยกล่าว “แม้จะตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว แต่
นางพูดอยู่ตรงนั้นคนเดียว เวินซื่อกลับไม่สนใจนางเมื่อเห็นท่าทีไม่เห็นหัวใครของนาง เวินจื่อเยวี่ยที่ไม่สบอารมณ์อยู่แล้วทำหน้าเข้มทันที “ทำไม หลังจากออกบวชเป็นแม่ชี ตอนนี้เรียนรู้แกล้งทำเป็นใบ้แล้วหรือ?”“น้องสาม”เวินฉางอวิ้นตำหนิเวินจื่อเยวี่ยเพื่อให้เขาสำรวมอารมณ์เสียบ้างเวินจื่อเฉินมองดูเวินซื่อที่อยู่ใจกลางแปลงสมุนไพร เขาไม่ได้วู่วามเหมือนก่อน ตอนนี้กลับเป็นน้องสามที่ไม่ชอบพูดชอบจา ยิ่งเหมือนเขามากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเวินจื่อเฉินเงียบไปสักครู่ เขาก้าวเข้าไปหยิบถังน้ำอีกใบที่อยู่ในเรือน “ข้าช่วยเจ้า”“ไม่ต้อง”ในที่สุดเวินซื่อก็เอ่ยปาก แต่คำแรกที่พูดออกมาคือการปฏิเสธนางยืดตัวตรง จ้องมองพวกเวินจื่อเฉินอย่างเย็นชา “เรือนของข้าทั้งสกปรกทั้งเล็ก รองรับพวกคนใหญ่คนโตอย่างพวกท่านไม่ได้หรอก หากไม่มีธุระใดอย่าอยู่ในเรือนข้าอีกเลย”แต่เวินจื่อเฉินกลับทำเหมือนไม่ได้ยินคำปฏิเสธของนาง ดื้อดึงถือถังน้ำเข้าไป แล้วทำท่าเหมือนเวินซื่อช่วยนางรดน้ำแปลงสมุนไพรที่เหลือสีหน้าเวินซื่อเยือกเย็นทันที นางกำลังจะบอกให้เวินจื่อเฉินวางลง เวินฉางอวิ้นที่อยู่ข้างกันเอ่ยขึ้นกะทันหัน“น้องห้า เจ้าอย
แต่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่รองกินยาอะไรผิดมาถึงได้ทำตัวแปลกๆ ไม่ลงมือก็ช่างเถอะ แต่นี่กลับไปช่วยเวินซื่อทำไร่ทำสวนเชียวหรือ?ช่างน่าอับอายจริงๆ!“เจ้าสาม อย่าได้ใจร้อน ท่านพ่อก็ยังอยู่ที่นี่นะ”เวินฉางอวิ้นมองเวินจื่อเยวี่ยด้วยสายตากล่าวเตือน จากนั้นจึงปล่อยมือเวินจื่อเยวี่ยหันกลับไปมองสีหน้าของเวินเฉวียนเซิ่งถึงแม้เวินเฉวียนเซิ่งจะไม่ได้พูดอะไร แต่เวินจื่อเยวี่ยก็ยังคงปิดปากเงียบอย่างว่าง่าย“เวินซื่อ เจ้าเสียใจบ้างหรือไม่?”เวลานี้ เวินเฉวียนเซิ่งเอ่ยปากขึ้นอย่างกะทันหันตั้งแต่ก้าวเข้ามาในเรือนแห่งนี้ เขาก็มองสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนนี้ด้วยท่าทีสูงส่งมาโดยตลอดรวมถึงลูกสาวของเขาที่ยืนอยู่ในแปลงสมุนไพร ดูเหมือนว่าจะกลมกลืนไปกับสถานที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์เวินซื่อถามกลับ “เสียใจ? เหตุใดข้าจึงต้องเสียใจด้วย?”“เจ้าสามารถเป็นบุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้มีฐานะสูงส่ง เสวยสุขในความร่ำรวยและมีเกียรติไปตลอดชีวิตได้แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับตกต่ำถึงเพียงนี้ เจ้าไม่เสียใจบ้างเลยหรือ?”“หึ? บุตรภรรยาเอกของจวนเจิ้นกั๋วกงผู้มีฐานะสูงส่งหรือ?”เวินซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เส
เวินอวี้จือกล่าวเตือนเขา “มีเรื่องอะไรก็ค่อยพูดกันวันหลัง อย่าลืมจุดประสงค์ที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้”เวินฉางอวิ้นที่เดิมทีแล้วตั้งใจจะถามบิดาให้ชัดเจนก็ชะงักไปจริงสิ ธุระสำคัญในวันนี้คือการฉลองวันเกิดให้กับน้องห้าอย่ามัวเสียเวลาในวันเกิดของน้องห้าเลย“เฮ้อ ไม่ต้องหรอก ข้าไม่รีบ”เวินซื่อยิ้มเล็กน้อย “ถ้าพวกท่านมีอะไรจะพูด ก็พูดให้ชัดเจนตอนนี้เลยก็ได้”นางกำลังมีความสุขที่ได้ดูละครฉากนี้เวินเยวี่ยไม่อยากให้นางได้ดูละครอยู่ตรงนี้จริงๆ หากไม่ขัดขวางเสียหน่อย เกรงว่าเวินฉางอวิ้นก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของนางแล้วเวินเยวี่ยรีบยิ้มออกมาทันทีพลางเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นคำพูดใด ก็ไม่สำคัญเท่ากับวันเกิดของพี่หญิงห้าในวันนี้ ท่านว่าจริงหรือไม่ พี่ใหญ่?”เวินฉางอวิ้นพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ใช่ น้องหกพูดถูก”“ได้”เวินซื่อที่ไม่ได้ดูละครสนุกๆ ก็แบมือทั้งสองข้างออกไป แล้วกล่าวกับเวินเฉวียนเซิ่งและคนอื่นๆ “เช่นนั้นก็เอามาสิ”“อะไรนะ?”เวินฉางอวิ้นยังไม่ทันได้ตอบสนอง ยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้างุนงง“ของขวัญอย่างไรเล่า”เวินซื่อยิ้มอย่างคลุมเครือพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านไม่ได้ตั้งใจมาอวยพรวั
“น้องหก เรื่องนี้พี่สามของเจ้าพูดถูกจริงๆ”เวินฉางอวิ้นก็ไม่เห็นด้วยที่เวินเยวี่ยจะนำของขวัญวันเกิดของตนเองออกมามอบให้“แต่วันนี้เป็นวันเกิดของพี่หญิงห้า หากนางไม่ได้รับของขวัญแม้แต่ชิ้นเดียว นางจะต้องเสียใจมากแค่ไหนกัน?”เวินเยวี่ยมองชะโงกข้ามไหล่ของเวินฉางอวิ้น พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่สายตาที่มองเวินซื่อกลับเต็มไปด้วยความท้าทาย“ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว จะมีอะไรให้เสียใจอีก? ในพิธีปักปิ่นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้รับดอกไม้สักดอกเลยมิใช่หรือ?”เวินจื่อเยวี่ยยิ้มเยาะแล้วพูดจาแทงใจดำออกมา“ดังนั้นเวินซื่อเจ้าควรจะทำตัวดีๆ หน่อย หากเจ้ายอมเชื่อฟังแต่โดยดี ท่านพ่อและพวกเราก็ใช่ว่าจะมอบของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ให้เจ้าไม่ได้”เวินซื่อกล่าวด้วยความรำคาญ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่ต้องการ...”“แท้จริงแล้วธรรมเนียมการอวยพรวันเกิดให้ผู้อื่นของจวนเจิ้นกั๋วกงก็คือมามือเปล่า แล้วยังต้องข่มขู่ผู้อื่นก่อน ถึงจะมอบของขวัญให้อย่างนั้นหรือ?”เวลานี้ น้ำเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังมาจากนอกเรือนอย่างกะทันหันเวินเฉวียนเซิ่งและคนอื่นๆ หันกลับไปมอง เห็นเพียงเป่ยเฉินหยวนท่านอ๋องผู้สำเร็
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม