“พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากสั่งการเสร็จ เป่ยเฉินหยวนก็หันหลังกลับขึ้นไปชั้นบน ระหว่างที่เดินผ่านปากทางบันไดก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ “ยกน้ำขึ้นมาสองถัง”“ดะ...ได้เลยขอรับ ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้! เดี๋ยวนี้เลย!”เสี่ยวเอ้อร์ที่ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่างรีบวิ่งกลับไปที่ห้องครัวเป่ยเฉินหยวนก้าวเท้ากลับขึ้นไปชั้นบน เดิมทีตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของตัวเองก่อน เพื่อรออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยมาหาเวินซื่อ เพื่อไม่ให้นังหนูตกใจแต่คาดไม่ถึงว่า เขาเพิ่งขึ้นมาถึงชั้นสามก็เห็นเวินซื่อนั่งอยู่หน้าประตูเป่ยเฉินหยวนประหลาดใจทันที “เหตุใดถึงมานั่งอยู่หน้าประตู? บอกให้ท่านกลับไปที่ห้องก่อนมิใช่หรือ?”“ก็รอท่านอยู่น่ะสิ เหตุใดตัวท่านถึงมีเลือดเยอะขนาดนี้ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”เมื่อเวินซื่อเงยหน้าขึ้น เห็นสภาพเช่นนี้ของเขา ก็รีบลุกขึ้นเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เลือดของข้าหรอก”เป่ยเฉินหยวนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นว่านางเป็นห่วงเขา จึงรู้สึกอยากจะโอ้อวดสักหน่อย “พวกหัวมังกุท้ายมังกรพวกนั้น ต่อให้มาอีกสามสิบคน ก็อย่าหวังว่าจะทำร้ายข้าได้แม้แต่น้อย”เขาเ
เวินซื่อรู้มานานแล้วว่า ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนท่านนี้หล่อเหลาเพียงใด แต่นางไม่คิดว่าท่านอ๋องจะงดงามจนถึงขั้นมีเสน่ห์เย้ายวนใจเช่นนี้เวินซื่อรู้สึกว่าถ้าตนเองยังคงมองต่อไป คงจะเสียสมาธิแน่ๆนางรีบละสายตา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “ทะ...ท่านอ๋อง ผมของท่านดูเหมือนจะยุ่งเหยิงเล็กน้อย หรือว่าจะมัดขึ้นดี? จะได้ไม่เกะกะตอนทายาบริเวณแผล”เดิมทีเป่ยเฉินหยวนก็จงใจทำเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงไม่พลาดที่จะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเวินซื่อในชั่วขณะนั้นคนที่ไม่เคยสนใจรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองในอดีต เวลานี้กลับเหมือนนกยูงรำแพนหาง อวดโฉมของตนเองอย่างต่อเนื่อง“หืม? อย่างนั้นหรือ? ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกะกะหรือไม่ ท่านช่วยดูให้ข้าหน่อยเถอะ?”เป่ยเฉินหยวนพูดพลางเดินไปยืนหันหลังให้เวินซื่อ เสื้อคลุมเลื่อนหลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นแขนที่แข็งแรงกำยำ และกล้ามเนื้อหลังที่นูนขึ้นมาเป็นมัดๆเวินซื่อคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่ปกติแล้วดูผอมบางเวลาที่สวมเสื้อผ้า ภายในเสื้อผ้ากลับซ่อนรูปร่างที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเช่นนี้ไว้เวินซื่อมองจนรู้สึกว่าทุกส่วนในร่
เวินซื่อทายาให้เขาจนทั่วแผลแล้วจากนั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ท่านมีลูกน้องตั้งเยอะแยะมิใช่หรือ? ข้าไม่เชื่อว่าท่านไปหาพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่ยอมทายาให้”เป่ยเฉินหยวนได้แต่กางมืออย่างจนใจ “พวกเขาไม่กล้าหรอก แต่ข้าก็รังเกียจพวกเขา”ให้ชายชาตรีอะไรมาทายาให้เขา?ให้คนที่ตัวเองชอบมาทายาให้ถึงจะหวานที่สุดเป่ยเฉินหยวนพูดจาเอาใจเวินซื่อ “ท่านดูสิ หากไม่ใช่เพราะท่านเตือนข้าด้วยความใส่ใจเมื่อครู่ ข้าจะไปนึกได้อย่างไรว่าตัวเองมีแผล? ถ้าเป็นลูกน้องพวกนั้น พวกเขายิ่งหยาบกว่าข้าอีก ให้พวกเขาเตือนข้าก็เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้”ถึงแม้ว่าเดิมทีเขาจะไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่นังหนูของเขาก็ถือยารอเขาแล้ว ไม่มีแผลก็ต้องมี“เรื่องครั้งหน้าค่อยว่ากัน ตอนนี้หากท่านยังกล้าพูดจาเหลวไหลอีก ต่อไปอีกหลายวันข้าจะไม่ทายาให้ท่านแล้ว”ที่ทาอยู่นี่ใช่ยาที่ไหนกันเล่า?สิ่งที่ทาอยู่นี่คือน้ำผึ้งชัดๆ หวานไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเป่ยเฉินหยวนแล้ว“ได้ๆ ฟังอู๋โยวทุกอย่าง”คำพูดนี้ทำให้เวินซื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกนางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตีเป่ยเฉินหยวนสักทีเมื่อเป่ยเฉินหยวนหันกลับมามองนางด้วยความสง
ตั้งแต่ชาติที่แล้ว นางก็รู้แล้วว่าเบื้องหลังของเวินเยวี่ยไม่ได้มีแค่นางคนเดียวและยังมีผู้ช่วยบางคนที่มารดาของนางทิ้งไว้ให้นางด้วยในบรรดาผู้ช่วยเหล่านี้ มีทั้งคนที่ใช้พิษและคนที่ฆ่าคนในตอนนั้น นางถูกคนพวกนี้ทำร้ายอย่างสาหัส มาถึงชาตินี้ เวินเยวี่ยส่งพวกเขาออกมาเร็วขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสุนัขจนตรอกแล้วแต่นี่ยังไม่พออาศัยโอกาสนี้ นางจะบีบให้คนพวกนั้นที่อยู่เบื้องหลังของเวินเยวี่ยออกมาทั้งหมดอย่างไรก็ตาม แผนการนี้เป็นการยืมดาบฆ่าคน นางยังคงต้องชี้แจงกับคนคนหนึ่งเวินซื่อหันไปมองเป่ยเฉินหยวนที่อยู่นอกประตู “ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน...”เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่ข้างในคือจู๋เยวี่ย เป่ยเฉินหยวนที่เดิมทีตั้งใจจะเข้าไปดูก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้ล้ำเส้นเขาพิงประตูอย่างเกียจคร้าน นิ้วเรียวยาวบีบขวดยาเล็กๆ นั่นของเวินซื่อ หรี่ดวงตาคมเล็กน้อยจ้องมองเวินซื่อที่อยู่ในห้อง ดูเหมือนว่าจะยังรอให้เวินซื่อทายาให้เขาต่อแต่หลังจากได้ยินบทสนทนาข้างใน และได้ยินนังหนูเรียกเขาอย่างกะทันหัน หัวใจของเป่ยเฉินหยวนก็เต้นแรง ยกยิ้มมุมปาก“หืม? เป็นอะไรไป?”น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ฟังแล้วไพเราะอยู
“ส่วนชื่อ...”เวินซื่อหันไปมองเวินเยวี่ยที่นอนอยู่บนพื้น ซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง จ้องมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ แล้วค่อยๆ เอ่ยอย่างช้าๆ “ข้าจำได้ว่าเหมือนจะชื่อ...จินซือถู”ตามด้วยชื่อที่ถูกเอ่ยออกมาจากปากของเวินซื่อทีละคำ เข้าไปในหูของเวินเยวี่ย“อื้อๆๆ! อื้อ!”เวินซื่อส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความโกรธและตกใจน่าเสียดายที่ปากของนางถูกเวินซื่อปิดเอาไว้ จึงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงจะซักถามเวินซื่อว่า...เหตุใดเจ้าถึงรู้จักคนคนนั้น?!เหตุใดเจ้าถึงรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขา แม้กระทั่งชื่อของเขา?!อันที่จริงนางจำได้ว่าจินซือถูไม่เคยปรากฏตัวในเมืองหลวงมาก่อน ยิ่งไม่เคยพบกับนังสารเลวเวินซื่อคนนี้!แต่เหตุใดนางถึงรู้จักจินซือถู?!ลักษณะที่นางบรรยายออกมานั้น เหมือนกับว่าเคยเห็นจินซือถูกับตาตัวเอง แต่นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!จินซือถูเป็นมือสังหารต่างเผ่าที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้กับนางเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง!เพื่อซ่อนไพ่ตายใบนี้ นับตั้งแต่ที่นางกลับมาถึงจวนเจิ้นกั๋วกง นางก็ไม่ได้ติดต่อกับจินซือถูอีกเลยเพียงแต่ตอนนี้คนพวกนั้นในจวนเจิ้นกั๋วกงหลุดจากการคว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูแล้วพี่ชายก็เป็นยอดบุรุษผู้กล้าที่พ่ายแพ้ต่อความงามของอิสตรีเช่นกัน แต่ในเมื่อเป็นหญิงทั้งสอง เหตุใดไม่เก็บเชลยศึกไว้เล่า เรามาแบ่งอย่างเท่าเทียม คนหนึ่งของท่าน อีกคนเก็บไว้ให้บรรดาพี่น้อง”ช่างเป็นคำพูดที่หยาบช้าสารเลว กินไม่เลือกหน้าแต่ถึงจะพูดเช่นนี้ แต่พี่ใหญ่หลี่กลับยังยืนอยู่ที่ประตูใหญ่ของหมู่บ้านภูเขา โดยไม่ได้คิดที่จะลงมา และไม่ได้เรียกใครไปเปิดประตูด้วยเห็นได้ชัดว่ายังไม่ค่อยไว้ใจจินซือถูมากนักขณะที่จินซือถูกำลังเคลื่อนไหวลับ ๆ พี่ใหญ่หลี่ก็แอบส่งสัญญาณมือไปยังด้านใน โจรจำนวนมากในหมู่บ้านภูเขาได้แอบล้อมรอบจินซือถูจากอีกฝั่งไว้แล้ว“พวกเจ้าอยากเก็บอีกคนไว้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แค่กลัวว่าเมื่อถึงเวลาแล้วพวกเจ้าจะไม่กล้า”ความเสียดสีเผยออกมาบนใบหน้าที่มีพลังชั่วร้ายของจินซือถู“โอ๊ะ? ฟังจากคำพูดนี้ของน้องชาย ดูเหมือนว่าจะมีตัวละครที่ไม่ธรรมดาอยู่ภายใน เหตุใดเมื่อครู่ถึงเอาแต่พูดถึงแต่ข้อดี และไม่บอกลู่ทางในนี้ให้เราทราบ?”พี่ใหญ่หลี่หรี่ตาลงทันใด พลางถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก“แน่นอนก็เพราะว่า...ไม่จำเป็นต้องพูดให้คนตายฟัง”“อะไรนะ?! เจ้า...!”จิ
ผูกเสื้อคลุมไว้รอบตัว ตอนนี้อาหารก็เสร็จแล้วพอดี เกาเย่าถือชามใหญ่สองใบมาให้เวินซื่อและเป่ยเฉินหยวนก่อน“ท่านอ๋อง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ กินอาหารได้แล้ว!”เวินซื่อรีบรับส่วนของตัวเองมา เห็นข้างในเต็มไปด้วยกับข้าวชามใหญ่ แค่ดมกลิ่นก็หอมฟุ้ง ทหารพ่อครัวที่ติดตามมาต้องเป็นพ่อครัวชั้นยอดแน่ ๆดูเหมือนจะรู้ว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาคุ้มกันไม่กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ดังนั้นนอกจากอาหารมังสวิรัติที่มีอยู่แล้ว ยังทำน้ำแกงมังสวิรัติเพิ่มให้นางเป็นพิเศษด้วย น้ำแกงราดข้าว รสชาติดีมากเวินซื่อถือชามกินอย่างจริงจัง ในขณะที่ขบคิดเรื่องราวต่าง ๆ ภายในใจเมื่อไม่กี่วันก่อนมีการลอบสังหารเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในวันนี้ตอนกลางวันกลับสงบลงอย่างฉับพลัน เหมือนกับความเงียบสงบก่อนเกิดมรสุมใหญ่“กำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”เมื่อสังเกตเห็นว่านางดูใจลอย เป่ยเฉินหยวนที่กำลังกินอาหารอยู่ข้าง ๆ จึงถามขึ้น“ข้ากำลังสงสัยว่าคืนนี้คนเหล่านั้นจะมาอีกหรือไม่?”“คืนนี้พวกเขาจะมาแน่นอน”เป่ยเฉินหยวนเอ่ยอย่างมั่นใจเวินซื่อหันหน้าไปมองเขา ก่อนถามด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดถึงมั่นใจนัก?”“เพราะต่อไปมีเพียงคืนนี้เท่านั้นที
โจรภูเขาแห่งหมู่บ้านเสือดำได้ก่อกวนการจัดทัพของกองทัพธงดำจริงดังคาด หลังจากส่งมือสังหารหลายคนไปต่อสู้พัวพันกับเป่ยเฉินหยวน จินซือถูก็พุ่งขึ้นไปบนรถม้าทันทีเขายื่นมือออกไปเพื่อช่วยเวินเยวี่ยทว่าในวินาทีถัดไป...“แกล๊ง!”กระบี่คมเล่มหนึ่งเกือบจะตัดศีรษะของจินซือถูขาดโชคดีที่เขาสังเกตเห็นได้ทันเวลา หลังจากใช้มีดโค้งป้องกัน ก็ใช้มีดโค้งอีกเล่มตวัดออกไปทันทีเพื่อเกี่ยวศีรษะของคู่ต่อสู้น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวของจู๋เยวี่ยนั้นเร็วกว่าเขาเสียอีก ถีบเขาลงจากรถม้าด้วยขาข้างหนึ่ง จากนั้นก็เหยียบลงบนหลังคารถม้าอย่างเบาหวิว จับจ้องจินซือถูจากที่สูงจินซือถูเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นที่ถูกห่อหุ้มอยู่ในทัศนียภาพยามราตรี ดำมืดไปทั้งตัวเขาไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมีคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่หลายวันก่อนคนผู้นี้ยังไม่เคยปรากฏตัวสักครั้งดูจากกระบวนท่าที่ใช้ เกรงว่าอาจเป็นองครักษ์ลับที่ได้รับการฝึกฝนมาจากสำนักไหนสักแห่งดูเหมือนว่ามีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์ฝูหมิงที่อยู่ในรถม้าเท่านั้นที่จะมีองครักษ์ลับแบบนี้เวลานี้เวินเยวี่ยรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งนางรู้มานานแล้วว่าเวินซื่อมีองคร
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม