ซือไท่ด้านในออกมาเพราะเสียงเอะอะ ตะโกนสั่งห้ามให้เวินจื่อเฉินหยุดโดยมีประตูกั้นกลาง “ข้าไม่สนใจว่าจะปิดหรือไม่ ตอนนี้จงเรียกเวินซื่อออกมาเดี๋ยวนี้! ไม่เช่นนั้นอย่าโทษที่ข้าเตะประตูผุพังนี้จนแตกละเอียด แล้วทำลายอารามสุ่ยเยว่ของพวกเจ้า!” เวินจื่อเฉินตัดบทของซือไท่ด้านในอย่างหมดความอดทน ข่มขู่อย่างเผด็จการวางอำนาจบาตรใหญ่ซือไท่ได้ยินคำพูดนี้ของเขาก็รู้ว่าผู้มาไม่หวังดี ไฉนเลยยังกล้าเปิดประตูให้เขา ผลคือคิดไม่ถึงว่าเวินจื่อเฉินร้องเรียกติดต่อกันสามครั้ง เห็นนางไม่เปิดประตูให้ก็ยกเท้าเตะประตูจริง ๆ“ปัง! ปัง! ปัง!”อารามสุ่ยเยว่นั้นเรียบง่ายมาก ประตูใหญ่นี้ก็เป็นเพียงประตูไม้สองบานที่ไม่ถือว่าหนาและหนักมากนักเวินจื่อเฉินเข้าไปเตะแรง ๆ ไม่กี่ที ซือไท่ผู้นั้นยังไม่ทันได้ห้ามไว้ก็เห็นประตูถูกเตะจนเปิดดัง “โครม”เวินจื่อเฉินก้าวยาว ๆ เดินเข้ามา มองซือไท่ด้วยความเย็นชาแวบหนึ่งแล้วก็ตรงเข้าไปข้างใน “ประสกหยุดนะ! นี่ท่านจะทำอะไร! บุรุษห้ามบุกรุกเข้าไปในอารามสุ่ยเยว่นะ!”“แม่ชีเฒ่าอย่างเจ้ากล้าขวางข้าอีก ข้าจะเตะเจ้าไปด้วย!” เวินจื่อเฉินผลักซือไท่ที่พยายามขวางหน้าเขา ก่อนจะฝ่าปร
เวินจื่อเฉินเจ็บจนร้องโหยหวน สะบัดฝ่ามือตบไปที่ศีรษะของเวินซื่อตามจิตใต้สำนึก“เวินซื่อ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ยังไม่รีบคลายปากอีก!” เวินซื่อไม่ฟังเขาเลยคนที่บ้าไม่ใช่นางแต่เป็นเวินจื่อเฉิน!นางหนีออกมาจากสกุลเวินแล้ว เวินจื่อเฉินมีสิทธิ์อะไรมาทำลายชีวิตในตอนนี้ของนางอีก!ทุกคนที่อยากลากนางกลับไปยังนรกแห่งนั้นล้วนเป็นศัตรูของนางทั้งสิ้น! เวินซื่อกัดแขนของเวินจื่อเฉินแน่นยิ่งเวินจื่อเฉินตบนาง นางก็ยิ่งกัดแรงขึ้น กัดจนเลือดไหลออกมาแล้ว แต่นางก็ไม่คลายปากเวินจื่อเฉินเจ็บจนสบถด่าเสียงดัง “นังบ้า! นังบ้า ๆ!” “ดูสิว่าวันนี้ข้าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย!”เวินจื่อเฉินเปลี่ยนจากตบมาเป็นทุบตีทันที ชกไปที่ร่างกายของเวินซื่อหมัดแล้วหมัดเล่า ร่างบางเล็กของเวินซื่อจะทนรับการทุบตีเช่นนี้ของเขาไหวที่ไหน เจ็บ เจ็บเหลือเกินน้ำตาของเวินซื่อไหลออกมาไม่หยุด กลิ่นสนิมพลันทะลักขึ้นมาในลำคอ ปะปนกับเลือดบนแขนของเวินจื่อเฉินที่อยู่ในปากนางแยกแยะไม่ได้แล้วว่าเป็นเลือดของใครกันแน่ บรรดาซือไท่และแม่ชีน้อยที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ตกใจจะแย่แล้ว อยากจะแยกพวกเขาสองคนออกจากกัน แต่สองคนนี้ไม่มีใครยอมใคร
สิ่งที่เวินจื่อเฉินไม่รู้เลยก็คือนั่นไม่ใช่ภาพหลอนของเขา เพราะเวินซื่ออยากสังหารเขาจริง ๆในตอนที่เวินจื่อเฉินพยายามบังคับพาตัวนางไป นางก็แอบนำยาพิษที่นางเพิ่งคิดค้นเมื่อคืนออกมาจากในมิติหยก หลังจากนั้นตอนที่กัดเวินจื่อเฉิน นางถึงขนาดอมยาพิษไว้ในปากเวินจื่อเฉินได้รับพิษแล้ว แน่นอนว่านางเองก็ได้รับเช่นกันยิ่งไปกว่านั้นนางยังไม่ทันได้คิดค้นยาถอนพิษของยาพิษนี้เลยด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงรอความตายเท่านั้น“ฮ่า ๆๆๆ...” เวินซื่อทรุดตัวนั่งลงกับพื้นทันที เลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากค่อย ๆ ดำขึ้นเหมือนกับบาดแผลบนแขนของเวินจื่อเฉินชั่วขณะหนึ่งนางอยากหัวเราะอยู่บ้าง แต่ก็อดอยากร้องไห้ไม่ได้จะจบลงแค่นี้หรือ?ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้มีชีวิตใหม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะฆ่าได้แค่เวินจื่อเฉินคนเดียว นางก็ต้องตายอีกครั้งในใจของเวินซื่อรู้สึกไม่ยินยอมมากจริงๆแต่เวินจื่อเฉินบีบบังคับซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางจนปัญญาแล้วจริง ๆในขณะที่เวินซื่อใกล้จะหลับตาลงเตรียมตัวรอความตาย บรรดาซือไท่และศิษย์พี่หญิงที่ร้อนใจอยู่ทางด้านข้างพลันตะโกนด้วยความตื่นเต้นดีใจ“ศิษ
“เกิดอะไรขึ้น? ใครทำร้ายนาง?”แวบแรกที่เห็นเวินซื่อที่ได้รับบาดเจ็บ โทสะพลันพรั่งพรูขึ้นมาในหัวใจของเป่ยเฉินหยวนเขาสาวเท้ายาว ๆ เดินไปหาเวินซื่อ ระหว่างนั้นก็เห็นสภาพแวดล้อมรอบด้านอย่างรวดเร็ว และเห็นเวินจื่อเฉินที่นอนกองกับพื้นอีกทางด้านหนึ่ง กอปรกับปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คนในอารามสุ่ยเยว่ เป่ยเฉินหยวนแทบจะคาดเดาได้เกือบทั้งหมดในพริบตา“เจ้าเด็กสกุลเวินผู้นี้บุกเข้ามาทำร้ายอู๋โยวหรือ?” อู๋โยวคือฉายาทางธรรมของเวินซื่อ นับตั้งแต่ที่เวินซื่อบอกกับเป่ยเฉินหยวนว่านางไม่ใช่คุณหนูห้าสกุลเวินอีกต่อไป เป่ยเฉินหยวนก็ไม่เคยเรียกนามนั้นของนางอีกเลย ม่อโฉวพยักหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา “หลายคนในอารามล้วนอยู่ในเหตุการณ์และเห็นกับตาว่าเวินจื่อเฉินฝืนบุกเข้ามาในอารามสุ่ยเยว่ พยายามจับตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป อีกทั้งยังลงมือทำร้ายนางอย่างหนักด้วย” ม่อโฉวซือไท่รู้สึกโกรธจัด แต่ยังคงเล่าเรื่องออกมาอย่างใจเย็น ท้ายที่สุดก็อุ้มเวินซื่อพลางลุกขึ้นมาก่อนจะพานางกลับไปที่ห้อง ม่อโฉวมองเวินจื่อเฉินที่อยู่บนพื้นด้วยความผิดหวังอย่างยิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “เรื่องสร้างความเดือดร้อนใหญ่หลวงให้อาราม
เป่ยเฉินหยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีพนักพิงข้างเตียง หลุบตาจ้องมองท่าทางงุนงงทำอะไรไม่ถูกของนางผ่านไปสองวินาทีเขาถึงค่อยอธิบายว่า “ที่นี่ไม่ใช่ห้องของท่าน” “เช่นนั้นที่นี่คือ?” “วังหลวง” เวินซื่อประหลาดใจ นางถูกส่งมาที่วังหลวงได้อย่างไร? เป่ยเฉินหยวนที่ราวกับดูออกว่านางกำลังคิดอะไรจึงอธิบายต่ออย่างเรียบนิ่งว่า “อาการบาดเจ็บบนตัวของท่านสาหัสไม่น้อยเลย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพิธีขอพรในภายภาคหน้า หลังจากที่ข้าหารือกับม่อโฉวซือไท่แล้ว ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ ย้ายท่านมาพักฟื้นในวังหลวงชั่วคราว” “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” เวินซื่อชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างลังเลใจว่า “แล้วดวงตาของข้า...” ตอนนี้นางอยากยืนยันให้แน่ใจมากว่า นางตาบอดแล้วจริง ๆ ใช่หรือไม่โชคดีที่เป่ยเฉินหยวนบอกนางว่า “วางใจเถิด ไม่ได้ตาบอดหรอก อาจารย์ม่อโฉวของท่านช่วยถอนพิษให้ท่านแล้ว ผ่านไปสักสองวันก็จะค่อย ๆ หายดีขึ้น” เวินซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกแรง ๆ ทันทีดีเหลือเกินนางไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาก็ยังไม่บอดอีกด้วย! นี่เป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเวินซื่อแล้ว แต่นางคิดไม่ถึงว่ายังมีข่าวที่ดีกว่านั้น“เมื
เวินซื่อถูกคำพูดของเขากระตุ้นให้เกิดความสงสัยใคร่รู้อย่างมากตามที่คาดเอาไว้จริง ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “อยาก!” เป่ยเฉินหยวนหัวเราะอย่างไร้เสียง และไม่เล่นตัวอะไร เลียนแบบบรรดาขุนนางเล่าให้นางฟัง...“พวกเขากล่าวว่า ท่านเจิ้นกั๋วกงผู้ยิ่งใหญ่เหิมเกริมปล่อยให้บุตรชายเย่อหยิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตาถึงเพียงนี้ หากไม่ลงโทษอย่างหนัก เกรงว่าวันหน้าบุตรชายของเขาอาจจะกำเริบเสิบสานก่อเภทภัยไปทั่ว” ขุนนางเหล่านั้นเอ่ยคำพูดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การส่งสัญญาณของเป่ยเฉินหยวนราวกับว่าวันหน้าเวินจื่อเฉินจะกลายเป็นภัยร้ายแรงขึ้นมาจริง ทำให้เวินเฉวียนเซิ่งถึงกับหาทางลงไม่ได้เลย อย่าว่าแต่กล่าวโทษเลย คนของฝ่ายขุนพลแทบจะฉีกดวงหน้าชราของเขาหมดแล้วชั่วขณะหนึ่ง ท่ามกลางเสียงประณามกล่าวโทษร่วมกันของเหล่าขุนนางครึ่งหนึ่ง ฮ่องเต้น้อยทำได้เพียงมีพระบัญชาให้ลงโทษอย่างหนักด้วย ‘ความจนปัญญา’ และรับเอา ‘คำแนะนำ’ ที่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนเสนอขึ้นในเวลาที่เหมาะสมมาใช้ให้คนสกุลเวินได้รับการให้อภัยจากเวินซื่อก่อน ถึงค่อยพิจารณาว่าจะปล่อยตัวเวินจื่อเฉินหรือไม่ เวินเฉวียนเซิ่งไม
แต่ตอนนี้พอฟื้นขึ้นมาก็เหลือเวลาแค่เก้าวันเท่านั้น! เวินซื่อโอดครวญในใจทันทีนางยังมีบทสวดขอพรอีกมากมายที่ต้องท่องจำ เวลาเก้าวันจะเพียงพอได้อย่างไร!“ไม่ได้การ ๆ ข้าต้องกลับไปแล้ว”ไม่กลับไปไม่ได้เมื่อนึกได้ว่ายังมีบทสวดกองเป็นภูเขาที่ต้องท่องจำ นางยังจะสนใจคนสกุลเวินอะไรนั่นที่ไหนกัน!“ท่านอ๋อง รบกวนท่านให้คนเตรียมรถม้าให้ข้าสักคัน ส่งข้ากลับไปที่อารามได้หรือไม่?”ครั้งนี้เวินซื่อที่มองอะไรไม่เห็นลุกขึ้นมานั่งด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะยื่นมือไปคลำรอบ ๆผลปรากฏว่าคลำโดนต้นแขนที่แข็งแรงข้างหนึ่งโดยไม่ระวังเวินซื่อไม่ได้โง่งม สัมผัสจากมือที่ได้ลูบคลำไปนั้นเป็นความอบอุ่นที่สัมผัสได้โดยมีเนื้อผ้ากั้นกลาง นอกจากร่างกายมนุษย์แล้วยังจะเป็นอะไรได้อีก?นอกจากนี้ภายในห้องไม่มีบุคคลที่สามเอ่ยวาจามาโดยตลอด นอกจากนางแล้วก็เหลือเพียงเป่ยเฉินหยวนเท่านั้น ดังนั้นหลังจากที่ตระหนักได้ว่านางสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย มือของนางก็เหมือนกับถูกลวกขึ้นมาทันที ตกใจจนอยากจะรีบหดมือกลับผลปรากฏว่าเพิ่งจะหดกลับไปได้ครึ่งทางก็ถูกมือใหญ่จับข้อมือไว้ “บอกแล้วว่าอย่าขยับส่งเดช”เสียงของเป่ยเฉินหยวนฟั
แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่ทันได้ทำอะไร ม่อโฉวซือไท่พลันเดินเข้ามาจากด้านนอกนางหอบคัมภีร์บทสวดกองหนึ่งไว้ในมือ หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเวินซื่อก็รีบเดินไปที่เตียงของเวินซื่อทันที “เกิดอะไรขึ้น? เจ็บตรงไหนหรือ?” ม่อโฉวซือไท่รีบวางคัมภีร์บทสวดลง ก่อนจะก้าวมาข้างหน้าแล้วกันเป่ยเฉินหยวนออกไป หลังจากนั้นค่อยกอดเวินซื่อที่กำลังรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเข้ามาในอ้อมแขน นางใช้มือที่หยาบกระด้างเล็กน้อยของตนเองเช็ดน้ำตาบนแก้มของเวินซื่ออย่างนุ่มนวล เอ่ยด้วยความปวดใจว่า “ไม่เป็นไร ๆ อาจารย์ตรวจดูอาการของเจ้าแล้ว แผลบนหน้าผากจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ แผลบนตัวก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ดวงตาก็ด้วย ผ่านไปสักสองวันก็หายแล้ว ทุกอย่างไม่มีปัญหา” เวินซื่อสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ระมัดระวังข้างนั้น นางจึงเผลอแนบเข้าไปถูไถตามจิตใต้สำนึก เนื่องจากนางนึกถึงตอนที่มารดายังมีชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ ทุกครั้งที่นางร้องไห้ก็จะโอบกอดปลอบนางไว้ในอ้อมแขนเช่นนี้เป่ยเฉินหยวนมองภาพนี้อยู่ทางด้านข้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากที่เงียบไปสักพัก ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าวว่า “ม่อโฉวซือไท่ อู๋โยวกลัวว่าจะเลื่อนพิธีขอพร
“ฉางอวิ้น เจ้าต้องเข้าใจถึงความขมขื่นใจของพ่อ”เวินเฉวียนเซิ่งนั่งลงข้างกายเวินฉางอวิ้น พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่“ตอนแรกพ่อแค่อยากให้เด็กคนนั้นมีบ้าน อยากจะชดใช้หนี้ทั้งหมดที่มีต่อสองแม่ลูกเท่านั้นเอง”“แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เยวี่ยเอ๋อร์จะบาดหมางกับเจ้าห้ามาจนถึงขั้นนี้ ตอนนี้สุขภาพของพ่อก็ไม่ค่อยดีแล้ว บอกไม่ได้ว่าวันไหนจะลงไปพบกับแม่ของพวกเจ้า ถ้าไม่มีใครมาค้ำจุนครอบครัวนี้ จวนเจิ้นกั๋วกงของเราทั้งหมดช้าเร็วก็ต้องแยกทาง ถึงตอนนั้น เจ้าคิดว่าน้อง ๆ ของเจ้าจะยังมีโอกาสกลับมาหรือไม่?”เดิมทีเวินฉางอวิ้นไม่ต้องการโต้ตอบคำพูดของเวินเฉวียนเซิ่งรู้สึกว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาค่อนข้างน่าขบขันแต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย หัวใจของเวินฉางอวิ้นก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีหากวันหนึ่งจวนเจิ้นกั๋วกงสลายไป น้องรอง น้องห้า...จะกลับมาได้อีกหรือไม่?ร่างกายของเวินฉางอวิ้นสั่นสะท้านครู่หนึ่งคำตอบที่ชัดเจนผุดขึ้นในหัวใจไม่ได้พวกเขาจะกลับมาไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกง แต่เป็นเพราะไม่มีจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว ดังนั้นสายสัมพันธ์สุดท้ายที่เหลืออยู่ระหว่างพี่น้องของพวกเขาก็จะไม่มีอะไรเลยน
เวินฉางอวิ้นที่รู้แล้วว่าเวินเยวี่ยเป็นใคร ความจริงก็ไม่รู้สึกแปลกใจกับเวินเยวี่ยในมุมนี้เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นางเผยให้เห็นด้านที่ดูน่าสงสารและอ่อนแอต่อหน้าคนอื่น ด่าทอคนอื่นโดยไม่ยั้งคิดแบบนี้ไม่ได้เห็นบ่อยนักสายตาของเวินฉางอวิ้นเผยความเยาะหยันออกมาดูเหมือนว่านางจะไม่ได้มีความจริงใจต่อเจ้าสามเช่นกันเสียแรงที่เจ้าสามถอนหมั้นกับนังหนูเนี่ยนฉือเพื่อนาง จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกลับกลอกปลิ้นปล้อนจริง ๆคิด ๆ ดูแล้วก็น่าจะไม่ใช่แค่เจ้าสามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าสี่ด้วยเพราะถึงอย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็ขวางทางนางอยู่เวินฉางอวิ้นไตร่ตรองสักครู่ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้องในเวลานี้เวินฉางอวิ้นยังนึกว่าเป็นเวินเยวี่ยที่กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเวินเฉวียนเซิ่งผู้เป็นพ่อของเขา“ฉางอวิ้น พ่อมาเยี่ยมเจ้า”หลายวันมานี้ ที่แวะเวียนมาที่นี่อยู่เป็นครั้งคราวเช่นกันก็มีเวินเฉวียนเซิ่งด้วยเขาแวะมาเยี่ยมลูกชายคนโต และเพื่อเป็นการชดเชยเวินฉางอวิ้นรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร และไม่ค่อยอยากพบเขาเช่นกันดังนั้นทันทีที่ได้ยินเสียงของเวินเฉวียนเซิ่ง เขาก็หลับตาลงแกล้งทำเป็น
“หออายุวัฒนะ? นั่นคือที่ใดกัน?”เวินเยวี่ยถามด้วยความงุนงงเวินจื่อเยวี่ยส่ายศีรษะ “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัด แต่เพื่อนร่วมสำนักบอกข้าว่า ที่นั่นมียาชนิดหนึ่งที่เรียกว่ายาอายุวัฒนะ สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน เปลี่ยนเถ้ากระดูกให้กลายเป็นเลือดเนื้อ วิเศษมาก แต่ก็แพงมากเช่นกัน อยากซื้อก็ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”“พวกเราไปซื้อก็อาจจะซื้อไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”เวินเยวี่ยไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ซื้อได้ง่าย ๆ”เพราะถึงอย่างไรนางก็คือคุณหนูหกแห่งจวนเจิ้นกั๋วกง และเวินจื่อเยวี่ยก็เป็นคุณชายสามแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงด้วยตัวตนของพวกเขา ในเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีอะไรที่พวกเขาหาซื้อไม่ได้อีก?“เห็นว่าเป็นเพราะมียาน้อยมาก และไม่สามารถปล่อยออกมาได้ ดังนั้นไม่ว่าใครที่ไปซื้อก็ต้องรอ ข้าคิดว่าถ้าวิเศษขนาดนั้นจริง ๆ ก็ซื้อสักเม็ดหนึ่งกลับมาให้พี่ใหญ่ลองกิน หากได้ผลจริง ๆ ล้างพิษในร่างกายของพี่ใหญ่ได้ ท่านพ่อก็จะไม่โกรธอีกต่อไปแน่นอน”อันที่จริงพวกเขาสองคนก็ไม่มีทางอื่นแล้วในตอนนี้หายาถอนพิษไม่ได้ดอกไม้พิษก็หาไม่ได้เช่นกันทำได้เพียงรักษาตามมีตามเกิด ซื้อยาอายุวัฒนะนั่นมาให้พี่ใหญ่ลองกินดูเมื่อเวิน
แต่ความตื่นเต้นดีใจนี้ดำเนินไปได้ไม่นานครึ่งชั่วยามต่อมา ฤทธิ์ของยาอายุวัฒนะก็สิ้นสุดลงความบ้าคลั่งในดวงตาของอันปี่เค่อหายไปอย่างรวดเร็วเขาเงยหน้าสูดหายใจเข้าลึก ๆ แต่วินาทีต่อมาปิดปากและจมูกด้วยความรังเกียจ“เก็บกวาดทำความสะอาดให้ข้าด้วย!”อันปี่เค่อออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อออกไปทันทีเมื่อเขาออกจากหออายุวัฒนะที่อยู่ชั้นใต้ดิน กลับไปที่ห้องหนังสือสกุลอันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็กลับไปนั่งที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือทันทีก่อนจะคว้ากระดาษที่เขียนชื่อไว้หลายชื่อแผ่นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาเขากวาดสายตาผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างไม่วางตา สุดท้ายก็จับจ้องไปที่ชื่อนั้นที่อยู่ด้านล่างสุด…“เวินซื่อ”“ธิดาศักดิ์สิทธิ์...จะเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวจริง หรือว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ตัวปลอม ก็ให้ข้าได้เห็นชัด ๆ สักหน่อยแล้วกัน……จวนเจิ้นกั๋วกงภายในเรือนของเวินฉางอวิ้นหลังจากกินยาต้มบัวหิมะที่เวินซื่อให้มาแล้ว เวินฉางอวิ้นก็ฟื้นขึ้นมาภายในไม่กี่วันจริง ๆเพียงแต่ร่างกายยังอ่อนแอมาก นอกจากลืมตามองไปรอบ ๆ ได้แล้ว เรื่องอื่นเขาก็ยังทำไม่ได้แม้แต่พูดยังพูดไม่ได้เลยทำได้เพียงนอนอย
หลังจากคนรับใช้ผู้นั้นจากไป อันปี่เค่อก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้โบราณของเขาทันที หลับตาลง มือข้างหนึ่งงอนิ้วชี้แล้วคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะซ้ำๆ ดัง “ต๊อกๆ ”ท่าทางเช่นนั้นดูเหมือนกำลังรอคอยบางสิ่งบางอย่างอยู่ไม่นานนัก หญิงงามนางหนึ่งที่สวมใส่อาภรณ์น้อยชิ้นก็ถือขวดหยกเขียวเดินเข้ามา ร่างกายอ่อนระทวย นั่งลงบนตักของอันปี่เค่อ แล้วเปิดขวดหยกเขียวนั้นให้เขาและเทยาเม็ดสีดำสนิทสามเม็ดออกมาจากข้างในพอยาเม็ดนั้นออกมา กลิ่นหอมประหลาดก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องหินนี้ คล้ายคลึงกับกลิ่นหอมรัญจวนใจที่อบอวลอยู่ทั่วทั้งหอใต้ดินที่อยู่ด้านนอกอย่างยิ่งแต่หากนำยาเม็ดนั้นมาใกล้จมูกและปาก ก็ยังสามารถค้นพบได้อีกว่า บนยาเม็ดเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ติดอยู่ด้วยหากเป็นคนปกติท เมื่อได้กลิ่นคาวเลือดบนยาเม็ดเหล่านี้ เกรงว่าจะรีบถอยห่างทันทีแต่เวลานี้ ภายในหออายุวัฒนะใต้ดินของสกุลอัน มีคนอยู่ทุกประเภท เว้นแต่เพียงคนปกติธรรมดาเท่านั้นอย่างเช่นอันปี่เค่อในยามนี้เขาปรือตาขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองหญิงงามที่นั่งอยู่บนตัก แววตานั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าอาหารที่จะกินในวันนี้คืออะไรหลังจากมองจ
ทางด้านอารามสุ่ยเยว่เงียบสงบสุขยิ่งนักแต่ทางด้านเมืองหลวงกลับมีคลื่นใต้น้ำก่อตัวอย่างรุนแรงห้องหนังสือสกุลอันอันปี่เค่อหยิบพู่กันขึ้น ตวัดพู่กันขีดเส้นหนักๆ ลงบนรายงานข่าวกรองฉบับหนึ่งที่ลูกน้องนำมาส่งให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์จากนั้นก็พลันลุกขึ้นเดินไปยังเชิงเทียนไปพลาง ฉีกรายงานข่าวกรองฉบับนั้นเป็นชิ้นๆ ไปพลางสุดท้ายก็อาศัยเปลวไฟจากเชิงเทียนจุดมัน เปลวไฟก็ลุกลามเผากระดาษแผ่นนั้นอย่างรวดเร็ว และลามขึ้นไปด้านบน ลวกนิ้วมือของอันปี่เค่อที่จับมุมกระดาษอยู่เข้าอย่างจังแต่อันปี่เค่อราวกับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ผ่านไปสองวินาที ถึงค่อยโยนกระดาษที่กำลังลุกไหม้ในมือทิ้งลงไปในอ่างถ่านที่มอดดับไปแล้ว“ใครก็ได้”เงาดำร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นด้านหลังของอันปี่เค่อ คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม“ลูกสาวผู้แสนดีคนนั้นของข้าตายแล้วหรือยัง?”เงาดำกล่าวอย่างระมัดระวัง “เรียนใต้เท้า คุณหนูรอง...ยังไม่ตายขอรับ”คำว่า “ยังไม่ตาย” ก็หมายความว่าการลงมือของคนเหล่านั้นล้มเหลวแล้วบนใบหน้าที่แก่ชราของอันปี่เค่อ พลันปรากฏรอยยิ้มเสแสร้งออกมา “ไอ้พวกไร้ประโยชน์ และหมากตัวหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้อยู
เป่ยเฉินหยวนเห็นสีหน้าของนาง ก็รู้ว่านางเพิ่งจะรู้ตัว ชั่วขณะหนึ่งก็อดขำไม่ได้“หลังจากนี้ไม่ต้องมาที่ภูเขาด้านหลังแล้วก็ได้ อากาศหนาวลมแรง เดี๋ยวจะป่วยเอาได้ง่ายๆ ”เวินซื่อพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน “ได้”นางก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกันนางเงยหน้ามองเป่ยเฉินหยวนด้วยความอึดอัดใจ เอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง “หรือว่า ตอนนี้พวกเรากลับไปอีกดี?”เป่ยเฉินหยวนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นทันที “ไหนๆ ก็มาแล้ว อีกอย่างวันนี้ข้าก็อยากจะฟังที่นี่จริงๆ ”เหตุผลหลักคือในเรือนยังมีคนอื่นอยู่ เวลานี้ เขาไม่อยากให้คนอื่นมารบกวนเขาและอู๋โยวเป่ยเฉินหยวนหยิบของที่ตนนำมาด้วยออกมา ค้นเอาห่อขนมพุทราอุ่นๆ ออกมาจากข้างในห่อหนึ่ง และเสื้อคลุมลายดอกเหมยตัวใหม่อีกหนึ่งตัวเป่ยเฉินหยวนระงับความคิดที่อยากจะลงมือสวมให้ด้วยตนเอง แล้วยื่นเสื้อคลุมให้เวินซื่อก่อน“สวมเสื้อคลุมเสียเถอะ ตอนนี้ยังพอไหว ไม่ค่อยมีลม แต่ก็ต้องระวังไว้บ้าง”เวินซื่อเหลือบมองเสื้อคลุมตัวหนาที่ยังคงความอบอุ่นนั้น แล้วมองไปที่เป่ยเฉินหยวน สุดท้ายก็รับของขวัญอันใส่ใจชิ้นนี้มาอย่างเงียบๆ“นี่ ขนมพุทราที่ท่านชอบ”เป่ยเฉินหยวนรอจนนางสวมเสื้อคลุมเสร็จ ก็เปิ
“แล้วแมงมุมพิษนั้นจะส่งผลกระทบต่อท่านหรือไม่?”เป่ยเฉินหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย สิ่งแรกที่เขาเป็นห่วงคือความปลอดภัยของเวินซื่อเวินซื่อพลันยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร ไม่ส่งผลกระทบต่อข้า”“แล้วอาซื่อเจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าแมงมุมพิษของเจ้าอยู่บนตัวของหัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น? หากไม่ใช่หัวหน้าต่างเผ่าผู้นั้น แต่เป็นคนต่างเผ่าคนอื่นเล่า?”หลินเนี่ยนฉือถามเช่นนี้ ไม่ใช่การขัดคำพูดของเวินซื่อเพียงแต่นางกำลังกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างเวินซื่อกับแมงมุมพิษ ตัวอย่างเช่น หากแมงมุมพิษตัวนั้นบาดเจ็บ มันจะส่งผลกระทบต่ออาซื่อหรือไม่ หรือแม้กระทั่งถ้าแมงมุมพิษตัวนั้นตายไป มันจะส่งผลสะท้อนกลับมายังอาซื่อหรือไม่?ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าแมงมุมพิษของอาซื่อเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่พอฟังดูแล้วกลับคล้ายคลึงกับวิชาแมลงกู่ของคนต่างเผ่าเหล่านั้นมากดังนั้น หลังจากที่เป่ยเฉินหยวนและหลินเนี่ยนฉือฟังคำพูดของเวินซื่อจบแล้ว สิ่งแรกที่ทั้งสองกังวลก็คือตัวเวินซื่อเวินซื่อเห็นสีหน้าของทั้งสองคนก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมาในใจของนางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “พวกท่านวางใจเถิด ข้าไม่เป็นอ
หลินเนี่ยนฉือที่นั่งมองทั้งสองคนอยู่ในเรือนเล็กๆ ตั้งแต่เมื่อครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย“พอแล้วอาซื่อ อย่างไรเสียเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทน เจ้าช่างใจกล้าเกินไปแล้ว”ถึงกับกล้าตำหนิท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักรองจากฮ่องเต้ แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นเทพสงครามต่อหน้าเช่นนี้ จนเขาแทบเงยหน้าไม่ขึ้นหลินเนี่ยนฉือกลัวว่าเวินซื่อจะยั่วโมโหอีกฝ่ายเข้าจริงๆ นางจึงรีบยื่นมือออกไป ดึงตัวคนกลับมาแต่ไม่รู้ว่าเป็นความเข้าใจผิดของนางหรือไม่ ในขณะที่นางจับมือเล็กๆ ของอาซื่อไว้ สายตาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนที่อยู่ตรงข้ามกลับดูน่ากลัวขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งยังทิ่มแทงอีกทำเอาหลินเนี่ยนฉือไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก“ไม่เป็นไรๆ ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนไม่ใช่คนใจแคบเช่นนั้น”เวินซื่อยังไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินเนี่ยนฉือ ก็ยกมือขึ้นตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆเป่ยเฉินหยวนเอ่ยขึ้นในตอนนี้ “อู๋โยวพูดถูก ข้าไม่ใช่คนใจแคบจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น อู๋โยวก็ยังเป็นสหายของข้า สหายของนาง ย่อมเป็นสหายของข้าเช่นกัน”มุมปากของหลินเนี่ยนฉือกระตุกอีกครั้งหากไม่ใช่เพราะได้ยินสรรพนาม