"500 เหรียญทองก็ย่อมได้... แต่มีข้อแม้หนึ่งข้อ ข้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะซื้อขายกับข้าอีกครั้ง"
เทียนชุนเอ่ยเสียงเรียบ แต่แววตาคมกริบจับจ้องหลินหลินไม่คลาดสายตาราวกับจะมองทะลุผ่านใบหน้าของนาง
ผู้ดูแลแทบเป็นลม... กำไรหายไปอีก 57 เหรียญทอง ทำไมนายท่านยิ่งเจรจามันกลับยิ่งน้อยลง หรือคนโง่ ๆ อย่างเขาจะไม่เข้าใจการค้ากันนะ.....
หลินหลินครุ่นคิด ตอนแรกนางแค่จะมาเหมาสินค้าเข้าระบบ ไม่คิดผูกขาดกับใคร...
"เรียนคุณชายตามตรง พรุ่งนี้.. ข้ากำลังจะออกเดินทางไปทางใต้ ไม่ได้อยู่เมืองนี้ ไม่ทราบว่าท่านมีร้านอยู่ทางใต้บ้างไหมเจ้าคะ"
เทียนชุนชะงักไปเล็กน้อย น่าเสียดายที่นางจะไม่ได้อยู่ที่เมืองนี้แล้ว และอีก 2 วัน ตัวเขาเองก็ต้องออกเดินทางขึ้นเหนือ
"ร้านค้าตระกูลเย่วมีหลายสาขาทั่วทั้งแคว้น"
เสียงเข้มเอ่ยขึ้น เหมือนมีความไม่พอใจเจืออยู่เล็กน้อย
"เจ้าจะลงใต้ไปเมื่อใด"
"ข้าจะไปเหมาสินค้าอีก 2-3 ร้านเจ้าค่ะ และจะออกเดินทางพรุ่งนี้เลยเจ้าค่ะ"
" ต้องการสินค้ามากมายขนาดนั้น ...เจ้าจะเปิดร้านขาย? "
"ข้าไม่ได้จะเปิดร้านเจ้าค่ะ ข้าแค่โชคดีที่มีลูกค้าเป็นพวกพ่อค้าต่างแคว้น ของทั้งหมดมีคนต้องการซื้ออยู่แล้วเจ้าค่ะ ไม่ได้เปิดขายทับการค้าผู้ใดแน่นอนเจ้าค่ะ"
“ข้าไม่ได้คิดแบบนั้น....”
เทียนชุนเป็นคนพูดน้อย ไม่เคยสานสัมพันธ์กับสตรีนางใด เพราะเขาไม่ชอบที่พวกนางเห็นเขาเป็นบ่อเงินบ่อทอง ไม่คิดจะหาแต่อยากครอบครอง ใจเขามันรังเกียจสตรีอย่างนั้นเป็นที่สุด ต่างจากนาง ...คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า
"เอาอย่างนี้เจ้าคะ ท่านลดให้ข้าที่ 530 เหรียญทอง อีก 27 เหรียญทอง หากข้าเดินทางไปถึงสาขาทางใต้ ข้าจะไปเหมาซื้อแบบนี้อีก ถึงตอนนั้นท่านค่อยลดให้ข้าเพิ่มจากส่วนลดเดิมอีก 27 เหรียญทอง ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไรเจ้าคะ"
เทียนชุนพยักหน้า มือหนาล้วงเข้าอกเสื้อส่งหยกให้นาง
"...เจ้าเอาอันนี้ไป หากไปถึงทางใต้แล้วเจอร้านตระกูลเย่ว ให้เจ้าแสดงหยกนี้กับผู้ดูแล เขาจะเข้าใจเอง"
ผู้ดูแลเก็บอาการมือไม้สั่นไว้ ตอนนี้เขาแทบจะมุดลงพื้นไม้แล้ว.... นายท่านถึงกับให้หยกประจำตัว!
หลินหลินรับหยกมาพลิกดู.... เนื้อหยกสีดำเงางามแกะสลักอักษรคำว่า หยาง ได้งดงามมาก หากนำไปขายคงได้ราคาดี...
" ขอบคุณคุณชายที่ขายสินค้าให้ข้า ข้าจะต้องไปอุดหนุนร้านค้าของท่านอีกแน่นอนเจ้าค่ะ"
รอยยิ้มงดงามถูกส่งไปให้บุรุษหน้านิ่งตรงหน้า
นางคงไม่รู้ว่าเขาใจเต้นแรงแค่ไหนกับรอยยิ้มของนาง แม้ในใจจะตื่นเต้นเพียงใด แต่ใบหน้ากลับเรียบเฉย..เทียนชุนมองหยกในมือของหญิงสาวครู่หนึ่ง ก่อนยกยิ้ม คงต้องแล้วแต่วาสนาแล้ว
หลินหลินจ่ายเงินที่เหลือและเก็บของเข้าถุงมิติ โดยมีปู่หลิวและพนักงานของร้านคอยช่วยเหลือ เก็บไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย หลินหลินจึงส่งเงินให้ผู้ดูแลและพนักงานเล็กน้อยเป็นขวัญน้ำใจ
ปู่หลิวแยกตัวไปแจ้งหานเซียวให้มารับคุณหนูข้างหน้าร้าน ระหว่างรอรถม้า หลินหลินก็เห็นแม่ลูกคู่หนึ่งสวมใส่ชุดเก่า ๆ นั่งกอดกันอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกนางนั่งอยู่ตรงซอกเล็ก ๆ
ผู้เป็นมารดาเช็ดมือกับชุดของนาง ก่อนจะบิหมั่นโถวลูกเล็กให้เด็กน้อยกิน เด็กน้อยอ้าปากรับโดยไม่ได้รู้เลยว่า ชิ้นที่เด็กน้อยได้กินนั้นเกือบจะทั้งหมดของหมั่นโถวชิ้นนั้น
ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของหลินหลินรู้สึกปวดร้าว ความหิวโหยในแววตาของเด็กน้อยและความเสียสละของผู้เป็นแม่อัดแน่นอยู่ในอกของนาง
บางครั้งคนมีมากก็มีมายล้น ส่วนคนที่ไม่มีก็ไม่มีเลยจริงๆ!
หลินหลินเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองอย่างแผ่วเบา นางนั่งยองๆ ให้อยู่ระดับเดียวกันกับแม่ลูกคู่นี้ พยายามไม่ให้สร้างความตกใจหรือคุกคามพวกเขา ใบหน้าของนางประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าแววตาของนางกลับฉายแววเศร้าสร้อยเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ผู้เป็นมารดาคงตกใจที่มีคนมานั่งตรงหน้า จึงรวบตัวลูกสาวมากอดไว้แน่น ร่างกายของนางสั่นเทาเล็กน้อย สายตาที่มองมามีแต่ความหวาดระแวงและหวาดกลัวต่อคนแปลกหน้า
หลินหลินค่อยๆ หยิบซาลาเปาไส้หมูลูกใหญ่ ที่นุ่มฟูและส่งกลิ่นหอมเย้ายวนออกมาจากมิติ นางยื่นมันออกไปให้ 2 ลูก แต่ไม่มีใครกล้ายื่นมือมารับ นางจึงวางซาลาเปาไว้บนห่อผ้าเล็ก ๆ วางไว้ตรงหน้าผู้เป็นมารดา
"ข้าให้ หวังว่ามันคงจะพอช่วยเหลือท่านได้..."
หลินหลินลุกขึ้นยืนพร้อมกับส่งยิ้มให้ทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป เป็นจังหวะเดียวกับที่รถม้ามาถึงพอดี นางก้าวขึ้นรถม้าเพื่อมุ่งตรงไปร้านเครื่องประดับอีก 2 ร้าน โดยไม่เห็นว่ามีสายตาคมที่มองมาจากชั้น 3 ของร้านที่นางเพิ่งจากมา
บนชั้นสามของร้านเครื่องประดับ เทียนชุนยืนมองภาพนั้นจากหน้าต่างด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ในใจ
สตรีผู้นี้...นางมีเมตตาต่อคนรอบข้าง เขาไม่เคยเห็นใครที่มีจิตใจงดงามเช่นนี้มาก่อน
แววตาของเขาจับจ้องไปยังร่างของหลินหลินที่ค่อยๆ หายลับไปกับรถม้า ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในใจของเขา เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นความรู้สึกที่เขาก็ไม่เข้าใจ...
"ให้คนสืบเรื่องของนางมาอย่างละเอียด"
เทียนชุนสั่งเสียงเข้ม ก่อนที่เงาหนึ่งจะหายวับไปในความมืด
เย่วเทียนชุนถอดแหวนเวทออก เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเขา บุรุษรูปงามที่หาจับตัวได้ยาก เขาเอามือลูบหยกอีกชิ้นที่คล้ายกันแต่อันนี้สลักคำว่า "เย่ว" ไว้ หยกที่เขาให้นางไปมันคือหยกคู่ มารดาเคยกล่าวว่าหยกชิ้นนั้นมีความพิเศษในตัวของมันอยู่...
เมื่อใดที่ลูกชายของแม่เจอสตรีที่อยากใช้ชีวิตร่วมกัน จงมอบหยกนี้ให้แก่นาง หากนางคือคู่ของเจ้า หยกสองชิ้นนี้จะเหนี่ยวรั้งกันไว้ไม่ให้พรากจากกัน แต่หากนางไม่ใช่คู่ครองของเจ้า หยกนี้จะกลับคืนสู่เจ้าเอง
เขาอายุจะ 26 แล้ว... พบเจอหญิงงามล่มเมืองมานักต่อนัก ยังไม่เคยมีใครที่ทำให้เขาใจเต้นแรงได้อย่างนาง เขารู้สึกคุ้นเคยกับดวงตาคู่นั้นอย่างบอกไม่ถูก... แม้ใบหน้าจะไม่เหมือนกับสตรีที่อยู่ในใจเขา แต่เขาเชื่อสัญชาตญาณของตนเอง หัวใจเขาไม่น่าผิดพลาด และเขาจะลองเชื่อมารดาดูสักครั้ง
"จะใช่นางหรือไม่นะ? "
เขาพึมพำกับหยกในมือ ราวกับหวังว่ามันจะตอบคำถามที่ค้างคาใจ
เมื่อหลินหลินจากไปแล้ว ผู้เป็นแม่รีบหยิบซาลาเปาส่งให้ลูกสาวตัวน้อยทันที ก่อนที่ใครจะมาเห็นแล้วแย่งมันไป นางไม่ได้กินอะไรที่อยู่ท้องมานานหลายวันแล้ว
เด็กน้อยเมื่อเจอซาลาเปาร้อน ๆ ลูกใหญ่อยู่ตรงหน้าก็กัดไปเต็มคำ
"อืมม... "
"อร่อยเจ้าค่ะท่านแม่ มีเนื้อด้วย อร่อยมากเลย ท่านแม่รีบกินเร็ว ๆ เข้า"
สองแม่ลูกนั่งกินซาลาเปากันอย่างมีความสุข นี่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตนางเลย
ตอนนี้นางอยากขอบคุณคุณหนูท่านนี้เหลือเกิน แต่ก็ไม่ทันแล้ว นางผิดเอง ตอนนั้นนางกลัว กลัวว่าใครจะมาจับพวกเราสองแม่ลูกไปขาย นางไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนางสองคนแม่ลูก จึงไม่ทันได้ขอบคุณนาง
เมื่อเห็นห่อผ้าเล็ก ๆ นางจึงเปิดดู แต่ต้องรีบปิดและยัดใส่เข้าอกเสื้อ อุ้มลูกน้อยวิ่งหายไปจากตรงนั้น ภายในห่อผ้านั้นมีเหรียญทองส่องประกายแวววาวอยู่หนึ่งเหรียญ มันคือความหวัง คือแสงสว่างที่ส่องนำทางให้พวกนางในวันที่มืดมน
หลินหลินนึกถึงสองแม่ลูกนั้น นางอยากช่วยมากกว่านี้ แต่นางกำลังจะเดินทาง
"หวังว่าเงิน 1 เหรียญทองและของกินเล็กน้อยจะพอช่วยนางสองแม่ลูกให้มีทางรอดพ้นจากปัญหาในชีวิตไปได้ "
เพราะซาลาเปาผักที่นี่ลูกละ 2 อีแปะ ไส้หมูลูกละ 5 อีแปะ บะหมี่ชามละ 8 อีแปะ หากนางรู้จักใช้ ก็จะมีกินมีใช้และใช้ชีวิตโดยไม่ลำบาก
หลินหลินมองออกไปนอกรถม้า ชีวิตผู้คนไม่ว่าโลกก่อนหรือที่นี่...การที่คนจน จะลืมตาอ้าปากมันยากเย็นแสนเข็น
ตอนนี้นางมีเงินมากมาย มีมิติวิเศษคอยช่วยเหลือ การแบ่งปันเล็กๆน้อยๆนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเลยด้วยซ้ำ แต่นางยังถือคติไม่ช่วยพวกเขาจนเคยตัว
นางเคยคิดเล่นๆว่า บนโลกนี้มีคนเป็นล้านๆคน การที่นางมาพบเจอสองแม่ลูกนั้นย่อมถูกลิขิตไว้แล้ว...ดังนั้นหากนางพบเจอคนที่ต้องการความช่วยเหลือ นางจะไม่ลังเลที่จะช่วยพวกเขา
เพราะของที่อยู่ในมิติก็ล้วนแต่ไม่ใช่ของๆนางเช่นกัน นี่น่าจะยามซื่อ (09.30) แล้ว
"ปู่หลิว ที่นี่มีร้านอาหารอะไรแนะนำบ้างเจ้าคะ ข้าอยากแวะไปชิมอาหารก่อนเจ้าค่ะ"
"มีเหลาฝู่หรงขอรับ เป็นเหลาที่โด่งดังของเมืองนี้ขอรับ คุณหนูอยากไปไหมขอรับ"
"ไปเจ้าค่ะ รบกวนท่านจองห้องส่วนตัวนะเจ้าคะ และให้หานเซียวกับสือหย่งไปทานกับเราด้วยเลยเจ้าคะ"
สีหน้าของปู่หลิวบ่งบอกถึงความไม่เหมาะสม นางจึงต้องพูดต่อว่า
"...ข้าไม่สนใจใครจะมองว่าอย่างไรเจ้าคะ เอาตามนี้ไปกินกันทั้งหมดนี่แหละเจ้าคะ"
"ได้ขอรับ.. ข้าน้อยจะทำตามที่คุณหนูสั่งขอรับ"
ปู่หลิวเปิดม่านบอกให้หานเซียวแวะเหลาฝู่หรงก่อนไปร้านขายเครื่องประดับ
การที่นางให้ทุกคนไปกินข้าวพร้อมกันเพราะนางอยากที่จะพิสูจน์บางอย่าง นางเพิ่งคิดได้เมื่อกี้และต้องการที่จะทดสอบกับทั้ง 3 ก่อนเลย
รถม้าวิ่งไปได้ไม่นานก็ชะลอความเร็วลง ปู่หลิวให้หลินหลินรอบนรถม้าก่อน เขาเข้าไปจัดการจองห้องเสร็จก็มาตามนางลงไป
หลินหลินมองร้านอาหารที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต มีการประดับโคมแดงเสริมความมงคล โต๊ะเก้าอี้ทางร้านใช้ไม้สีน้ำตาลเข้มให้บรรยากาศที่ลงตัว ทางขึ้นบันไดกว้างขวางไม่คับแคบ บนชั้น 2 มีความเป็นส่วนตัว
ทางร้านกั้นเป็นห้องติด ๆ กัน ภายในมีโต๊ะอาหารอยู่ตรงกลาง ที่เสริมให้ห้องดูโล่งโปร่งสบายคือมีหน้าต่างที่สามารถเปิดรับลมและมองลงไปข้างล่างได้
หลินหลินชอบลวดลายการลงภาพบนผนังกั้นห้อง ห้องที่นางอยู่นี้เป็นลวดลายของดอกเหมยแดง มีนกตัวน้อย ๆ กำลังโบยบิน และเกาะอยู่ตามกิ่งดอกเหมย
หานเซียวและสือหย่งเดินเข้ามาอย่างเกร็งๆ พวกเขาไม่เคยมากินเหลาอาหารแบบนี้ เพราะอาหารที่นี่ขึ้นชื่อว่าแพงมาก เกินกำลังที่พวกเขาจะมีปัญญามากินได้
เสี่ยวเอ้อ พาทั้ง 4 คน นั่งตรงโต๊ะอาหาร หลินหลินสั่งอาหารขึ้นชื่อของทางร้านมา 6 อย่าง ข้าว 4 ถ้วย ที่นางอยากลองคือเป็ดย่าง เพราะตอนนี้ในระบบนางมีเป็ดย่างอยู่เต็มช่อง นางอยากเปิดร้านขายอาหาร เป็ดย่าง คือหนึ่งในรายการที่นางคิดจะขาย ดังนั้นก็ต้องสำรวจก่อนว่าเหลาที่โด่งดังนั้นฝีมือเป็นเช่นไร
หลินหลินเห็นทุกคนนั่งหลังตรง ตัวเกร็งก็อดขำไม่ได้
"พวกท่านไม่ต้องเกร็งเจ้าค่ะ ทำตัวตามสบาย ข้าแค่หิวเลยแวะมาทานอาหารเท่านั้น"
หลังจากพูดจบ หลินหลินเดินไปดูบรรยากาศเบื้องล่างตรงหน้าต่าง เผื่อให้ทั้ง 3 คนผ่อนคลาย นางเข้าใจ นางเป็นคนแปลกหน้า เพิ่งพบเจอครั้งแรกก็พาพวกเขามาในที่ที่พวกเขาไม่เคยได้มา ย่อมต้องเกร็งเป็นธรรมดา
ผิดจากปู่หลิวที่ดูปล่อยตัวตามสบายหลังจากที่เห็นนางใช้เงินขนาดนั้น เอ๊ะ... หรือว่าหานเซียวกับสือหย่งจะกลัวว่านางไม่มีเงินจ่าย!!! คงไม่มั้ง...
หลินหลินคิดอะไรเพลิน ๆ เสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามาเต็มโต๊ะ นางเดินกลับมาที่โต๊ะ เมื่อนั่งลงจับตะเกียบ คนทั้ง 3 กลับลุกขึ้นพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง
แค่นั้นยังไม่พอ พวกเขายังถอยหลังออกไปอีก 1 ก้าวยืนก้มหน้าอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว นางตกใจกับความสามัคคีนี้จนถือตะเกียบค้างไว้อย่างนั้น....
"พวกท่านลุกทำไมเจ้าคะ มานั่งกินได้เลย"
หลินหลินเห็นทั้ง 3 คนไม่ขยับ ก็วางตะเกียบลง
"ปู่หลิว หากพวกท่านไม่กินเป็นเพื่อนข้า ก็ให้เสี่ยวเอ้อมาเก็บเงินค่าอาหารเลยเจ้าค่ะ ข้าไม่กินแล้ว"
หลินหลินทำท่าจะลุกขึ้น...
"เดี๋ยว ๆ ขอรับคุณหนู คุณหนูเข้าใจผิดขอรับ ข้าน้อยแค่ลุกเพื่อให้ท่านได้ทานก่อนขอรับ"
สือหย่งรีบกล่าวออกมาจนลิ้นพันกัน
"อาหารมากมายตรงหน้า คุณหนูยังไม่ทันได้แตะต้องสักคำ"
"เชิญพวกท่านนั่งกินเลยเจ้าค่ะ ข้าเป็นคนทานน้อย แต่ชอบลอง ขอแค่อย่างละคำก็พอเจ้าค่ะ"
หลินหลินตักทุกอย่างอย่างละคำแยกออกมาไว้ในจานเปล่าที่ทางร้านมีให้ ส่วนต้มปลาก็ตักแยกใส่ถ้วยชามใบเล็กไว้ ทั้ง 3 เห็นดังนั้นจึงเดินเข้ามานั่งล้อมโต๊ะอีกครั้ง
หลินหลินมองทุกคนที่กำลังใช้ช้อนตักอาหารคำแรกขึ้นมา เมื่อจดจำว่าวินาทีนี้ทุกคนกำลังทำอะไร ปู่หลิวหยิบช้อน หานเซียวจิบชา สือหย่งกำลังเอื้อมตักปลาชิ้นหนึ่ง
ถึงเวลาที่นางจะทดสอบมิติแล้ว 1 2 3 เข้ามิติ.... พรึ่บ!
หลินหลินเข้ามิติมาเพื่อดูว่าตัวนางจะหายไปจากตรงนั้นไหม นางดูนาฬิกา ตอนนี้ 10 วิแล้ว!