เมื่อแจกทุกอย่างครบแล้ว หลินหลินก็ประกาศเรื่องสำคัญทันทีนายท่านเจียงกับฮูหยินเจียงมายืนประกบข้างหลินหลิน ฮูหยินเจียงมองหลินหลินด้วยแววตาชื่นชม นางก็อยากรู้ว่าหลินเอ๋อร์จะทำสิ่งใด
หลินหลินกวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่เบื้องหน้า นางเห็นความหวังริบหรี่ในแววตาของพวกเขา หลายคนผ่ายผอม อิดโรยจากความยากลำบาก
"สิ่งสุดท้ายที่พวกท่านจะได้วันนี้ คือทางเลือก "
หลินหลินเอ่ยเสียงดังฟังชัด
"สวรรค์จะมอบทางเลือกให้พวกท่าน ขอให้พวกท่านตัดสินใจให้ดี
เสียงของหลินหลินก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เหมือนเสียงสวรรค์ที่หยาดลงมาปลุกความหวังในใจคนสิ้นหวัง
"เย็นนี้จะมีคนของข้า ทั้งสามคนมาให้พวกท่านลงนามแจ้งความประสงค์ หากพวกท่านต้องการเดินทางไปเมืองใด ข้าจะเป็นคนจ่ายค่าเดินทางให้พวกท่านทั้งหมดเอง"
เสียงฮือฮาดังขึ้น คนเหล่านั้นมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
"โดยค่าเดินทางนี้ข้าจะจ่ายให้กับกองคาราวานหรือรถเทียมวัวที่ข้าจ้างวานโดยตรง แม้การเดินทางมันไม่ได้สบายนัก แต่ก็คงไม่ลำบากจนพวกท่านทนไม่ได้"
หลินหลินเว้นวรรคเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
"และอีกหนึ่งเรื่องคือ พวกเจ้า เจ้าเจ้า"
หลินหลินชี้นิ้วไปยังคนที่ดวงตาตรวจสอบขึ้นสถานะคดโกง
"จะไม่ได้แตะต้องเงินในส่วนนี้"
คนเหล่านั้นหน้าซีดเผือด รู้สึกเหมือนถูกจับได้คาหนังคาเขา
"จงเก็บความคิดลบของพวกเจ้าที่จะเรียกร้องค่าเดินทางคืนไปได้เลย เพราะในสัญญาจะระบุว่า หากพวกเจ้าที่ลงนามไว้ไม่เดินทางหรือยกเลิกการเดินทางกลางคัน ค่าเดินทางนี้จะถูกตีคืนยังข้าผู้เป็นคนจ่ายเงินเท่านั้น พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์"
หลินหลินใช้สายตากวาดมองทุกคน ก่อนจะปิดประโยคสุดท้าย
"ขอให้พวกท่านคิดไตร่ตรองให้ดี ทางเลือกที่สวรรค์เมตตาประทานมาให้นี้ ไม่ได้มีมาให้ท่านเป็นครั้งที่สองแน่นอน ข้ารับรองได้"
เมื่อหลินหลินกล่าวจบ เสียงสะอื้นไห้ระคนดีใจก็ดังระงมขึ้นไปทั่ว น้ำตาแห่งความปิติหลั่งรินอาบแก้มผู้คนราวกับสายฝน
พวกเขาเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้ยากไร้อนาถา เร่ร่อนพเนจรไปอย่างไร้จุดหมายอดมื้อกินมื้อ ประทังชีวิตด้วยเศษอาหารเหลือทิ้ง
บางคราวก็ต้องทนหิวโหย นอนหลับข้างถนน ไร้ญาติขาดมิตร ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
บัดนี้ คำพูดของหลินหลินเปรียบเสมือนแสงสว่างจากสรวงสวรรค์ ส่องนำทางให้พวกเขาได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลายคนทรุดลงกราบกราน ร้องไห้โฮด้วยความตื้นตัน ไม่คิดว่าจะมีผู้ใดเมตตาหยิบยื่นโอกาสให้กับคนไร้ค่าเช่นพวกเขา
ในแววตาที่เคยหมดหวังกลับเปล่งประกายแห่งความหวัง หัวใจที่เคยแห้งเหี่ยว บัดนี้กลับชุ่มชื่นด้วยหยาดน้ำแห่งความปิติ
พวกเขามองเห็นทางเลือก มองเห็นอนาคตที่สดใสรออยู่เบื้องหน้า แม้หนทางข้างหน้าจะยังคงยากลำบาก แต่พวกเขาก็พร้อมจะก้าวเดิน
"ขอบพระคุณ ขอบพระคุณท่านผู้มีพระคุณ"
เสียงร่ำไห้แห่งความซาบซึ้งดังกึกก้อง ราวกับจะตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงของหลินหลิน
หญิงชราตาบอดคนหนึ่ง ซึ่งใช้ชีวิตเร่ร่อนขอทานมาตลอดชีวิต เมื่อได้ยินประกาศของหลินหลินก็ร้องไห้โฮ ยกมือขึ้นพนมท่วมหัว พึมพำขอบคุณสวรรค์ที่ส่งหลินหลินมาช่วยเหลือ
หลินหลินไม่คาดคิดว่าสิ่งที่นางช่วยครั้งนี้จะได้ผลตอบรับมากมายขนาดนี้
"ท่านป้าข้าเล่นใหญ่ไปไหมเจ้าคะ " หลินหลินหันไปกระซิบป้าเจียงด้วยเสียงที่ได้ยินกันเพียงสองคน
ป้าเจียงส่ายหน้ากับความแสบซนของเด็กสาวตรงหน้า แต่ยังไงนางก็มองว่าน่ารักอยู่ดี ไม่ว่าหลินเอ๋อร์ของนางทำอะไรก็น่ารักไปหมด
นางสั่งงานปู่หลิว หานเซียว และซือหย่งอีกครั้ง วันนี้พวกเขาทำงานกันหนักมาก ตั้งแต่ยามเหม่า พวกเค้าแจกของยกของแทบไม่ได้พัก ได้กินแค่ซาลาเปาและน้ำรองท้อง เท่านั้น
"ท่านปู่หลิวนี่ยามซื่อแล้ว(10.00น) พวกท่านกลับบ้านไปหาอะไรกินกับครอบครัวก่อนเจ้าคะ นี่ถุงยังชีพและอาหารที่ข้าเตรียมไว้ให้พวกท่าน สักยามเซิน 16.00น พวกท่านค่อยกลับมาจดรายชื่อว่ามีใครจะไปเมืองใดให้ข้า จดให้ละเอียดลงตามช่องนี้นะเจ้าคะ และข้าต้องการจ้างพวกท่านต่ออีก2-3วันให้พวกท่านประสานงานให้ข้า พวกท่านสะดวกไหมเจ้าคะ "
"สะดวกขอรับคุณหนู พวกข้ารับงาน จะกี่วันก็รับขอรับ ขอบคุณคุณหนูที่เมตตาขอรับ "
"อ่อ..พรุ่งนี้พวกท่านไม่ต้องใส่แหวนเวทแล้วนะเจ้าคะ ใช่ชุดปกติได้เลย เพราะเราไม่ได้ไปเหมาซื้อของใครแล้ว ข้าแค่ให้พวกท่านประสานงานบางส่วนให้กับคนพวกนี้เจ้าค่ะ "
"ขอรับคุณหนู "
สามเสียงประสานด้วยความยินดี ต่างคนต่างกำห่อผ้าแน่น ชีวิตครอบครัวพวกเขาดีขึ้นข้ามคืนเพราะคนตรงหน้า จะไม่ให้เคารพนางได้อย่างไร
ปู่หลิวรีบนำห่อผ้ากลับบ้านด้วยใจที่พองโต เขามีเมียที่ป่วยหนักรออยู่ที่บ้าน ด้วยความชราของนาง หมอหลายคนบอกให้เขาทำใจ ยาช่วยอะไรไม่ได้แล้ว หมอแนะนำให้หาของบำรุงมาให้นางมากหน่อย เขาออกมาหางานอยู่หลายวันก็ไม่มีคนจ้างเพราะเขาแก่แล้ว
แต่โชคชะตาก็เข้าข้าง เมื่อวันนั้นเขาอยู่รอจนถึงเย็น เถ้าแก่ร้านแจกันต้องการคนช่วยตรวจสินค้าพอดี เขาจึงได้ค่าจ้างมา 20 อีแปะ แต่ที่โชคดีไปกว่านั้นคือคุณหนูที่มาซื้อของเถ้าแก่ ส่งเงิน 1 ตำลึงมาให้เขา
น้ำตาแห่งความปิติไหลรินอาบแก้มเหี่ยวย่นของปู่หลิว เขาขอบคุณสวรรค์ทั้งคืน ไม่คิดไม่ฝันว่าวันถัดมายังมีคุณหนูอีกนางหนึ่งมาว่าจ้างเขากับสือหย่งเหมือนเมื่อวาน...แต่เอ๊ะ ดวงตาคุณหนูทั้งสองนางเหมือนกันมาก ใช่แล้ว เป็นนาง....
"นางคือคนเดียวกัน"
ปู่หลิวพึมพำกับตัวเอง
"คุณหนูมีชุดเวทอาจจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเรื่อย ๆ โอ้ว...สวรรค์ สวรรค์เมตตาแล้ว"
ปู่หลิวเดินไปก็พูดไปอยู่อย่างนั้น ภาพภรรยาที่นอนซมอยู่บนเตียงผุดขึ้นมาในหัว เขารีบเร่งฝีเท้าด้วยความหวังในมือกำกระบอกไม้ไผ่ที่มีด้ายแดงไว้แน่น จนถึงบ้าน
แอ๊ด...มืออันเหี่ยวย่นค่อยๆปิดประตูลงอย่าแผ่วเบา
ปู่หลิวมองใบหน้าของภรรยาที่ซีดเซียวร่างกายซูบผอม แต่แววตายังคงสดใส เปี่ยมไปด้วยความรักเมื่อมองมาที่เขา
ความรักที่ทั้งสองมีให้กันนั้นยาวนานกว่า 60 ปี ผ่านร้อนผ่านหนาวร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับครั้งไม่ถ้วน ความรักของเราไม่เคยจืดจางลงไป แม้ยามเจ็บป่วยแม้ยามยากไร้ หัวใจของเขาก็ยังคงมีเพียงนาง ดวงใจดวงเดียวของเขา
เขาเคยสัญญากับนางไว้ว่า จะดูแลนางให้ดีที่สุดจะไม่ยอมให้นางต้องลำบาก แต่บัดนี้เขากลับทำได้เพียงมองนางนอนป่วย ไร้เรี่ยวแรงหัวใจของเขาปวดร้าวเหมือนถูกบีบเค้น
เงินที่ได้มาในวันนี้ เปรียบเสมือนแสงสว่าง จุดประกายความหวังในใจของเขา เขาจะนำเงินไปซื้อยาบำรุงที่ดีที่สุด เพื่อให้นางแข็งแรงขึ้น เขาจะดูแลนาง จนกว่าลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
หานเซียวและสือหย่งก็ไม่ต่างกัน พวกเขาทั้งสองกอดห่อผ้าไว้แน่นและรีบตรงกลับไปบ้าน บ้านที่มีคนที่รักเขารออยู่ ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านในอก พวกเขาแทบรอไม่ไหวที่จะแบ่งปันความสุขนี้กับครอบครัว
ฮูหยินเจียง นายท่านเจียง พาหลินหลินกลับมาที่จวนเลย วันนี้พวกเขาปิดร้านเพราะจะรอต้อนรับบุตรชายกลับบ้าน
รถม้าจอดหน้าจวนขนาดกลาง นายท่านเจียงลงจากรถม้าเป็นคนแรก เขายืนมองความใส่ใจที่หลินเอ๋อร์มีต่อฮูหยินของเขาด้วยความอิ่มเอมใจ โดยที่ทั้งหมดไม่สนใจบุรุษหนุ่มที่ยืนตกตะลึงอยู่หน้าประตูจวน
เจียงเหวิน ตั้งใจว่าการมาของเขาต้องทำให้มารดาตกใจร้องไห้ แต่กลับเป็นเขาที่ต้องตกตะลึง
นางเป็นใคร.. ใบหน้างดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ นางงดงามที่สุดที่เขาเคยพบพานสตรีมาเลยกระมัง แต่คิ้วหนาต้องขมวดเป็นปม เขารู้สึกคุ้นหน้านางมากเหมือนเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แล้วทำไมท่านพ่อถึงมองนางด้วยสายตาอ่อนโยนขนาดนั้น ยังที่ไม่ทันหายตกใจที่ท่านพ่อมองนางด้วยความรักความเอ็นดู ก็ต้องตกใจที่มารดาของเขาวันนี้กลับมามีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอีกครั้ง
เป็นเพราะแม่นางคนนี้หรือ? สายตาคมที่ทอดมองมารดาช่างอบอุ่นจนบ่าวไพร่ในเรือนต้องขวยเขิน
หลินหลินมองไป ตรงทางเข้าก็พบกับแม่นมจางและบุรุษยืนอยู่ นางรู้ว่านี้ต้องคือบุตรชายของท่านป้า หลินหลินจึงหยุดเดิน
"คาราวะท่านพี่เจียงเหวินเจ้าคะ"
ฮูหยินเจียงมองตามสายตาหลินหลินที่เรียกชื่อบุตรชายของนางก็พบบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนยืนรอนางอยู่ น้ำตาแห่งความดีใจ น้อยใจ เอ่อล้น เมื่อเห็นเขานางก็เจ็บปวดใจ เจ็บปวด...ที่ต้องส่งเสริมให้เขาก้าวหน้าในเส้นทางที่เขาเลือกแต่มันแลกมาด้วยความเสี่ยง ที่นางอาจจะสูญเสียบุตรชายไปอีกคน
เจียงเหวิน เห็นดังนั้นจึงรีบเดินเข้ามา
"ลูกคาราวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ"
ฮูหยินเจียงยื่นมืออันสั่นเทาไปลูบใบหน้าบุตรชาย นางรอวันนี้มาถึง 3 ปี บัดนี้เค้าเติบใหญ่แล้ว เสียงสะอื้นดังขึ้นเบา ๆ นางโผเข้ากอดลูกชายแนบอก ราวกับจะชดเชยเวลาที่หายไปทั้งหมด
"เจ้าสูงกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนก่อนนะอาเหวิน"
เสียงที่สั่นเครือของท่านแม่...ทำให้เขากอดมารดาไว้แน่น รู้ดีว่าท่านไม่อยากให้เขาเป็นทหาร แต่เขาเลือกเส้นทางนี้แล้ว
สายตาของเจียงเหวินมองมาที่หลินหลินครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับมารดา
"พวกเราเข้าเรือนกันเถอะขอรับ"
ฮูหยินเจียงหันมายิ้มให้หลินหลิน
"หลินเอ๋อร์ เข้าเรือนกัน"
มือของหลินหลินถูกคว้าไปจับไว้
"เจ้าคงไม่คิดจะทิ้งป้าให้ลูกชายไม่เอาไหนดูแลใช่ไหม? ไป พาป้าเข้าเรือนเร็ว"
หลินหลินประคองท่านป้าเข้าเรือน บุรุษทั้งสองเดินนำหน้าไปก่อน หลินหลินคิดในใจ ยอมรับว่าบุตรชายท่านป้าหน้าตาหล่อเหลา แต่ก็ยังไม่เท่าท่านเย่วเทียนชุน รายนั้นเรียกว่าหล่อวัวตายควายล้มเลยทีเดียว
หลินหลินหลุดขำออกมาเบาๆ ทุกคนหันมามองนางเป็นตาเดียว
"เอ่อ...ข้าแค่คิดอะไรตลกๆเจ้าค่ะ ขออภัยเจ้าค่ะ"
นางรีบแก้สถานการณ์
เมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้มาจะพบเรือนหน้า เรือนนี้หรูหรา ตกแต่งอย่างดี ขัดกับความเรียบง่ายของท่านลุงท่านป้า หลินหลินไม่ถามอะไร นางประคองท่านป้านั่งข้างๆท่านลุง เจียงเหวินนั่งถัดจากท่านลุง นางจึงนั่งต่อจากท่านป้า
เจียงเหวินมองหลินหลินไม่วางตา หลินหลินไม่ได้สนใจอะไรมาก หันไปยิ้มให้เล็กน้อยพอเป็นพิธี
"อาเหวิน นี่หลินเอ๋อร์ รู้จักกันไว้สิ น้องจะมาพักที่นี่ 2-3 คืน"
เมื่อท่านลุงพูดจบ หลินหลินจำเป็นต้องลุกขึ้นคารวะเจียงเหวินอีกครั้ง
"ข้าน้อย เว่ยหลินหลิน เจ้าค่ะ ขอรบกวนทุกท่านแล้วเจ้าค่ะ"
หลินหลินกล่าวเสียงหวาน ท่ามกลางความเงียบของเรือนรับรอง ทิ้งไว้เพียงสายตาของเจียงเหวินที่ยังคงจับจ้องมาที่นางไม่วางตา
"รบกงรบกวนอะไร หลินเอ๋อร์ เรือนป้าเยอะเยอะไปหมด เจ้าอยากนอนเรือนไหนเลือกได้เลย "
"ข้าอยู่เรือนไหนก็ได้เจ้าคะท่านป้า ข้าเป็นคนไม่เรื่องมาก "
ชมตัวเองเสร็จหลินหลินก็หัวเราะน้อยๆ
"รู้จักกันนานแล้วหรือขอรับ ดูท่านพ่อท่านแม่สนิทสนมกันขนาดนี้ "
หลินหลินยิ้มหวาน ชูนิ้ว2นิ้ว เจียงเหวินพยักหน้า กล่าวเข้าใจ
" 2ปี ก็ไม่แปลกที่ท่านแม่จะลืมข้าแล้ว "
พรืด....!!!
น้ำชาพุ่งออกจากปากนายท่านเจียง....
"ฮ่าๆๆๆๆ "
"ไอ้ลูกคนนี้เนี้ย เจ้าโตแล้วยังไม่เลิกน้อยใจมารดาเจ้าอีกหรือ และเจ้าก็เข้าใจผิดแล้ว ที่น้องชู 2 นิ้ว คือพวกเรารู้จักกันมา 2 วัน "
"ห๊ะ!!!2วัน พวกท่านล้อข้าเล่นแล้ว”
ดวงตาคมจดจ้องไปที่สตรีตรงหน้า นางน่าจะอายุ 15-16หนาวได้ อายุใกล้ๆกับน้องสาวเขาเลย ไม่แปลกที่ท่านแม่จะเปิดใจให้นางง่ายๆ
นางดูงดงามจนเอื้อมไม่ถึง แต่ดวงตาและรอยยิ้มที่มีให้ท่านพ่อท่านแม่เปิดเผยจริงใจ สดใส ดูแล้วน่าค้นหาสบายตาจนไม่อยากมองสิ่งอื่น
แปลกที่เขารู้สึกหวงหา ผูกพันกับนาง เหมือนพวกเราเคยเจอกันมาก่อน น่าเสียดายจริงๆเขาน่าจะเจอนางเร็วกว่านี้....
"อาเหวินนนน...แม่เรียกเจ้าสองรอบแล้วเจ้าก็ไม่ได้ยิน ทำไมน้องงามมากใช่ไหม ? แม่ก็ว่างาม หากชายใดปล่อยนางให้หลุดมือ แม่ว่าบุรุษคนนั้นคงต้องเป็นพวกตัดแขนเสื้อตนเอง เจ้าว่าเหมือนแม่ไหม? "
น้ำเสียงข่มขู่ของท่านแม่ทำเอาเขาขนลุกแปลกๆ หรือเขาคิดไปเอง?