บ่าวรับใช้ที่เขาพบเจอระหว่างทาง ต่างพากันสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ สีหน้าแต่ละคนไม่ต่างไปจากคนที่เฝ้าประตูจวน หลัวอี้เฉินหัวใจบีบรัด รีบมุ่งหน้าไปยังเรือนนอนของตนและภรรยา กลับพบแต่ความว่างเปล่า
“นายท่าน…ระ…ร่างของฮูหยินน้อย ยะ…อยู่ที่โถงเรือนรับรองขอรับ” บ่าวรับใช้เข้ามารายงานทันทีที่เห็นร่างสูงของนายน้อยออกมาจากในเรือน
หลัวอี้เฉินไม่สนใจคนรอบข้าง วิ่งไปยังโถงใหญ่ของเรือนรับรองทันที ประตูโถงถูกเปิดกว้าง มีสาวรับใช้นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอก เขาพยายามก้าวเท้าเข้าไป ครั้นเห็นภาพโลงศพที่ถูกประดับไปด้วยผ้าขาวดำ เข่าของเขาทรุดลงบนพื้นทันที ชายหนุ่มผู้ที่จะกลายเป็นผู้นำตระกูลในภายภาคหน้า ยามนี้นั่งร่ำไห้คร่ำครวญอยู่หน้าโลงศพของภรรยา
“หะ…เหตุใด…เหตุใดถึงได้เป็นเช่นนี้ไปได้…เหลียนเอ๋อร์!!! เหตุใดเจ้าถึงไม่รอพี่…เหตุใดถึงมาทิ้งพี่ไป ฮือๆๆๆ”
นายท่านหลัวเดินเข้าไปทรุดเข่าลงข้างกายบุตรชาย ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาตบลงบนบ่า หลัวอี้เฉินเงยหน้ามองบิดา ก่อนที่นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยน้ำเอ่อล้น
“ท่านพ่อ…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ช่วยบอกข้าทีได้หรือไม่ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง” หลัวอี้เฉินยกมือขึ้นมาจับไหล่ทั้งสองข้างของบิดา เขย่ายามที่ถามอีกฝ่ายออกมา
“เฉินเอ๋อร์…เหลียนเอ๋อร์นางได้จากพวกเราไปแล้ว เจ้าต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้ให้ได้ เรื่องนี้ไม่มีผูู้ใดอยากให้เกิด ถือเสียว่า มันเป็นโชคชะตาของนางเถิดนะ”
นายท่านหลัวปลอบใจบุตรชายเพียงคนเดียว เขารู้ดีว่าบุตรชายมีความรักลึกซึ้งให้แก่ลูกสะใภ้ถึงเพียงใด ทว่าคนก็จากไปแล้ว มิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก ทำได้เพียงแค่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไป แม้จะต้องทุกข์ทนก็ตาม
“ไม่!!! นางร่างกายแข็งแรง สู้กับข้าไม่เคยปราชัย เหตุใดนางถึงจากไปได้ง่ายดายถึงเพียงนี้”
หลัวอี้เฉินตะโกนออกมาราวกับเป็นคนสิ้นสติ ไม่ยอมรับในความจริงตรงหน้า เขากำลังจะพุ่งไปเปิดโลงของภรรยา จนนายท่านหลัวกับกู้อี้ ต้องรีบพากันเข้าไปห้าม
“เฉินเอ๋อร์…คนก็จากไปแล้ว คนอยู่ต่างหาก ที่เจ้าควรจะต้องใส่ใจ”
หลัวฮูหยินเดินเข้ามา ในอ้อมแขนมีทารกน้อยนอนหลับอยู่ ราวกับไม่รับรู้ถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น ร่างสูงที่ถูกฉุดรั้งแขนทั้งสองข้างหยุดการดิ้นรนทันที เขาหันกลับไปมองตามเสียงของมารดา
“ลูกชายของนาง ลูกชายของเจ้า เจ้าจะไม่สนใจเขาจริงๆ น่ะหรือ” หลัวฮูหยินกล่าวต่อ หลัวอี้เฉินพยายามก้าวเดินเข้าไปหาบุตรชาย
“ละ…ลูก ลูกพ่อฮือๆๆๆ แม่เจ้า แม่ของเจ้าไม่อยู่กับพวกเราแล้ว นางไม่อยู่กับพวกเราอีกแล้ว"
เขามองเห็นดวงหน้าเล็กของบุตรชาย ที่มีใบหน้าคล้ายกับภรรยาอยู่หลายส่วน หัวใจก็คล้ายได้ผ่อนคลาย ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมา พร้อมกับส่งเสียงร้องคร่ำครวญ หลัวฮูหยินได้เห็นบุตรชายสูญเสียความเป็นตนเอง ก็รู้สึกปวดใจ เงยหน้าขึ้นสบตากับสามี
“เจ้าตั้งชื่อเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้วหรือยัง หรือว่าหลูซื่อได้เตรียมไว้ให้เขาแล้วหรือไม่”
นายท่านหลัวก้าวเข้ามาถามบุตรชาย ตั้งแต่หลานชายเกิดมา พวกเขาก็ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ เพราะเกรงว่า ลูกสะใภ้กับลูกชาย คงจะตระเตรียมกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นทายาทที่พวกเขาเฝ้ารอมาถึงสองปี หลัวอี้เฉินพยักหน้า ตอบบิดาออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
“นะ…นางตั้งชื่อให้เขาว่า อี้เจ๋อ หลัวอี้เจ๋อ” ราวกับทารกน้อยจะรับรู้ เขาส่งเสียงร้องออกมารับนามที่บิดาเรียกขาน
ผู้ใหญ่ทั้งสามมองทารกน้อยทั้งน้ำตา ก่อนที่จะหันมองไปยังโลงศพของหลูชิงเหลียน สตรีผู้อาภัพ และน่าสงสาร นางไม่มีโอกาสแม้จะได้เห็นใบหน้าของบุตรชายที่นางเฝ้ารอคอยมานานนับเก้าเดือน
“ข้าจะไว้ทุกข์ให้นางสองปี” หลัวอี้เฉินกล่าวออกมา ก่อนที่เขาจะตัดใจ เดินออกจากห้องโถง มุ่งหน้าไปยังเรือนนอนของตน เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดไว้ทุกข์
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปภายในเรือนนอน ภาพของนางก็วนเวียนเข้ามาในความทรงจำ ภาพที่นางเดินเข้ามาหาเขา เพื่อรับเสื้อคลุมด้วยรอยยิ้ม และปรนนิบัติรินน้ำชาให้แก่เขา ถามไถ่ว่าวันนี้เขาทำสิ่งใดมาบ้าง เหนื่อยหรือไม่
และภาพที่นางกำลังส่งยิ้มมาให้เขา ในวันที่เขากำลังจะออกจากเรือนไป หัวใจของหลัวอี้เฉินรู้สึกบีบรัด ต่อไปนี้ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ เขาจะไม่ได้เห็นหน้านางอีกแล้ว นางจะไม่อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
“สวรรค์…ข้าทำผิดอันใดลงไปเช่นนั้นหรือ เหตุใดผู้ที่จากไปก่อนถึงมิใช่ข้า เหตุใดต้องมาพรากนางไปจากข้าด้วย”
หลัวอี้เฉินมองไปยังพระจันทร์บนท้องนภา ที่ยามนี้แสงกลับไม่สว่างเช่นเดียวกับทุกค่ำคืน เขาพึมพำออกมาด้วยหัวใจที่เศร้าหมอง
น้ำตาของบุรุษหลั่งลงมาอาบใบหน้า เขารู้สึกเหมือนกับว่าใจจะขาดเสียให้ได้ เขาข่มใจ เดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน กลิ่นของนางยังคงอบอวลชวนให้อาลัย
คืนก่อนหน้านี้ เขายังนอนพูดคุยกับนาง ถึงเรื่องในอนาคตของลูกชาย ว่าหากเขาโตขึ้นนางอยากที่จะเห็นเขาเป็นอะไร นางบอกเขาว่า เพียงแค่ลูกชายเติบโตมาเป็นชายหนุ่มที่แข็งแรง และเป็นคนดีเหมือนกับบิดา เพียงแค่นั้นนางก็ดีใจมากแล้ว
หลัวอี้เฉินหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่มีร่วมกับภรรยาจนผล็อยหลับไปบนเตียง เขาฝันไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาจดจำได้ดี ว่าเป็นลานกว้างที่เคยใช้ประลองฝีมือ ของบรรดาศิษย์จากสำนักคุ้มภัยต้าฟง สถานที่ที่เขาและนางได้พบกันเป็นครั้งแรกในวัยเยาว์
ร่างเล็กของเด็กสาววัยสิบสอง นางสวมใส่ชุดบุรุษจนเขามองไม่ออก ว่านางเป็นสตรีหรือว่าเป็นบุรุษกันแน่ ในวันนั้น นางกลายมาเป็นคู่ประลองคนสุดท้ายของเขา
หลังจากประลองฝีมือกันไปสองสามกระบวนท่า เขาก็ได้พบเจอกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก นางส่งยิ้มมาให้เขาและบอกเขาว่า โอกาสยังมีให้ท่านอยู่เสมอ อยู่ที่ว่าท่านจะสามารถคว้าเอาไว้ได้หรือไม่
“อย่าเพิ่งไป…เดี๋ยวก่อน อย่าไป” เสียงทุ้มร้องอุทานออกมา มือทั้งสองข้างคว้าไปในอากาศ
เขาผุดลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หันมองไปรอบๆ ก็พบว่าตนเองอยู่ในห้องนอน ที่เคยใช้ชีวิตวันคืนร่วมกันกับภรรยา นางจากไปแล้วจริงๆ แล้วโอกาสที่ว่า ยังจะมีสำหรับเขาอยู่อีกหรือ หลัวอี้เฉินถอนหายใจออกมา
ร่างสูงผุดลุกขึ้นจากเตียง ใบหน้าเย็นชาลงหลายส่วน หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จ ก็เปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ จากนั้นจึงรีบเดินออกจากเรือนนอน มุ่งหน้าไปยังโถงใหญ่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดพิธีไว้อาลัยให้ภรรยาของเขา ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด
หลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ