หกปีก่อน
เสียงของความครึกครื้น ดังขึ้นมาจากภายในสนามประลอง ของสำนักคุ้มภัยต้าฟง วันนี้มีการจัดงานประลองฝีมือ เพื่อคัดเลือกศิษย์ใหม่ ที่จะเข้าร่วมฝึกวรยุทธ์กับสำนักคุ้มภัยในปีนี้ เด็กหนุ่มวัยเพียงสิบสี่สิบห้าปี ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ก็ได้เป็นหนึ่งในนั้น เขาลงสนามประลองฝีมือ กับบรรดาผู้ที่มาเข้าร่วมคนแล้วคนเล่า ทว่ากลับยังไม่ได้รับการปราชัย
“ไอ้หนุ่มผู้นี้มันเก่งจริงๆ รู้หลบ รู้หลีก รู้รับ รู้ปะทะ รู้ถอย” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักคุ้มภัยต้าฟงกล่าวชื่นชมเด็กหนุ่มออกมา
“ดูก้าวหน้ากว่าผู้อื่น แต่หากปล่อยให้เขาชนะไปเรื่อยๆ จะไม่เป็นการทำให้เขาได้ใจจนเย่อหยิ่งเอาหรอกรึ” เสียงของสหายร่วมสำนัก แสดงความเห็นออกมา เขาชื่นชมคนเก่งก็จริงอยู่ แต่ทว่าคนเก่งก็ต้องรู้จักถ่อมตนด้วย
“ก็ต้องดูว่ามีความสามารถถึงขั้นนั้นหรือไม่ วันนี้คุณหนูหลูมาหรือไม่”
“หากนางมา มีหรือเจ้าเด็กนั่นจะได้ยืนโดดเด่นอยู่เช่นนั้น”
คุณหนูหลู หรือหลูชิงเหลียนที่พวกเขากำลังกล่าวถึง เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยต้าฟง คุณหนูหลูวัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น
และถึงแม้ว่านางจะดูเป็นเด็กที่ตัวเล็ก บอบบาง ทว่านางกลับมีฝีมือเก่งกาจ และเชี่ยวชาญในศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง นางเก่งเกินวัยจนผู้ใด ต่างก็นึกอิจฉาในวาสนาของท่านเจ้าสำนักคุ้มภัยต้าฟง
เพราะเช่นนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าคุณหนูหลูจะไม่ใช่บุรุษ แต่นางก็มีความสามารถมากพอ ที่จะสืบทอดสำนักคุ้มภัยนี้ต่อจากบิดา โดยไร้ข้อกังขาจากบรรดาศิษย์ร่วมสำนักด้วยกัน
เสียงร้องเฮดังลั่น หลังจากที่เด็กหนุ่มในสนามประลอง ล้มผู้เข้าร่วมคนสุดท้าย ในขณะที่หลัวอี้เฉินคิดว่าเขาผ่านการทดสอบในครั้งนี้แล้ว กลับมีเด็กชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงาม กำลังเยื้องย่างเข้ามาภายในสนามประลอง แขนของอีกฝ่ายเล็กราวกับอิสตรี
“เจ้าหมดแรงแล้วหรือยัง แต่ถึงจะหมด…ก็ยังเหลือข้าอีกคนอยู่ดี”
ทวนยาวชี้มาตรงหน้าของเด็กหนุ่มแล้วกล่าวออกมาอย่างท้าทาย เสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม คนที่กำลังจะจากไป กลับมาชื่นชมกันต่อ เพราะในสำนักคุ้มภัย มีผู้ใดบ้างที่จะไม่รู้จักหนุ่มน้อยผู้กล้าหาญ ที่เพิ่งจะลงสนามไปท้าทาย ผู้ชนะการประลองจนถึงคนสุดท้าย
หลัวอี้เฉินรู้สึกเหน็ดเหนื่อย กับการประลองฝีมือที่ผ่านมาอยู่บ้าง แต่ในเมื่อเขาถูกท้าทายเช่นนี้แล้ว มีหรือที่เขาจะยอมพ่ายแพ้ ถึงอย่างไรเขาก็อยากที่จะเข้าเป็นศิษย์ ที่สำนักคุ้มภัยต้าฟงด้วยการเป็นที่หนึ่งให้ได้อยู่แล้ว จะล้มเจ้าเด็กอวดดีตรงหน้านี้อีกสักคน ย่อมไม่ใช่ปัญหา
“ย่อมได้ เชิญ!!!” เขากล่าวพลางเหยียบทวนยาวที่วางอยู่บนพื้น จนกระเด้งขึ้นมา ด้ามทวนถูกเขาคว้าเอาไว้ได้อย่างพอดิบพอดี
มุมปากของหลูชิงเหลียนยกขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะเป็นฝ่ายถือทวนพุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้ ทวนยาวในมือมั่นคง ฟาดฟันออกไปข้างหน้าอย่างดุดัน คราแรกหลัวอี้เฉินนั้นรู้สึกทะนงตน ว่าตนเองเก่งกาจและมีร่างกายที่ดูแข็งแรงกว่าอีกฝ่าย ทว่าพอได้รับมือกับเด็กน้อยตรงหน้า ทำให้ความมั่นใจของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
หลัวอี้เฉินถอยหลังไปหลายก้าว ยกทวนของตนขึ้นมา มองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เพียงไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายบุกบ้าง ทั้งสองพุ่งกายเข้าไป แล้วใช้ทวนปะทะกันอย่างดุเดือด เสียงเหล็กกระทบกันดังสะท้อนไปทั่ว อีกทั้งยังมีเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น จากรอบๆ สนามเริ่มดังขึ้น ต่างก็เอาใจช่วยเจ้าสนาม ที่อุตส่าชนะมาจนถึงคนสุดท้าย ทว่ากลับโชคร้ายที่ได้มาเจอเจ้าสนามตัวจริง
ทั้งสองประลองฝีมือกันไปทั้งหมดสามกระบวนท่า และทุกครั้งหลัวอี้เฉินก็มักจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ ทว่าครั้งสุดท้าย เขาพลาดท่าใช้ปลายทวน ไปคล้องเอาผ้าที่มัดรวบเรือนผมของคู่ต่อสู้เอาไว้ จนผ้าผืนนั้นหลุดออกมา ทำให้เส้นผมของนางสยายออก เขาจึงได้รู้ว่า นางคือเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กหนุ่มตกตะลึงจนไม่ทันระวัง ถูกนางใช้ทวนจ่อเข้าที่ลำคอเป็นอันพ่ายแพ้
“ฮ่าๆๆๆ ข้าบอกแล้ว หากคุณหนูหลูได้ลงสนามเอง ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจเอาชนะนางได้ เจ้าเห็นหรือไม่ การก้าวเท้าของนางราวกับวางค่ายกล พวกเราสามารถทำได้เช่นนางรึ แม้แต่เจ้าเด็กหนุ่มที่ใช้แต่แรงไม่ใช้สมองนั่น ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีวันเอาชนะนางได้หรือไม่”
ศิษย์ผู้หนึ่งหัวเราะออกมาอย่างพอใจ พลางกล่าวชื่นชมบุตรีของท่านเจ้าสำนัก หากมีนางเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าอาย ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นพยักหน้าอย่างเห็นด้วย สมแล้วกับที่เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของท่านเจ้าสำนัก หากเป็นบุรุษย่อมมีโอกาส สอบเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ รับใช้แผ่นดิน ช่างน่าเสียดาย ที่นางเกิดเป็นสตรี
“ลำบากท่านแล้ว ถึงแม้วันนี้ ข้าจะเอาชนะท่านได้ แต่การคัดเลือกศิษย์ใหม่ของสำนักคุ้มภัยต้าฟงปีนี้ ที่หนึ่งก็ยังคงเป็นของท่านอยู่ดี ขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย”
เสียงหวานดังออกมาจากริมฝีปากเล็ก ของเด็กหญิงที่มีนัยน์ตาดำสนิท นางกล่าวพลางส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า แล้วรวบเส้นผมสีดำสนิทของตนเกล้าขึ้นมาเป็นมวย หยิบผ้าที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมามัดรวบไว้เช่นเดิม ทุกการเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของเด็กหนุ่ม
“ข้าน้อยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่วันนี้ได้รับการชี้แนะจากคุณหนูหลูด้วยตนเอง” หลัวอี้เฉินคำนับอีกฝ่ายพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงถ่อมตน
อายุนับว่าไม่สำคัญเท่าฝีมือ ในเมื่ออีกฝ่ายมีฝีมือที่เก่งกาจ เขาย่อมยอมรับและให้การเคารพ นางเอาชนะเขาได้ก็นับว่านางมีความสามารถ
หลูชิงเหลียนไม่กล่าวสิ่งใดออกมา นางเพียงส่งยิ้มให้แก่เขา ก่อนที่จะเดินออกจากสนามประลองไป หลัวอี้เฉินตกเป็นเป้าสายตาอีกหน เสียงปรบมือและเสียงกล่าวแสดงความยินดีก็ดังกึกก้อง
หลูชิงเหลียนเดินจากไป พร้อมกับความรู้สึกที่หมดสนุก นางแอบบิดามาลงสนามประลอง ปีนี้ก็เป็นปีที่สองแล้ว ทว่ากลับยังไม่พบว่า มีผู้ใดที่สามารถเอาชนะนางได้ ไม่รู้ว่านี่นับว่าเป็นพรสวรรค์ หรือเป็นความสามารถที่เกิดขึ้นในภายหลังของนางกันแน่
แต่พี่ชายคนนั้น สามารถรับมือกับนางได้ถึงสามกระบวนท่า นับว่าไม่เลวและน่าสนใจเลยทีเดียว หากเขาได้ฝึกฝนอยู่ในสำนักคุ้มภัยของบิดา ฝีมือของเขาย่อมก้าวหน้าเป็นแน่ นางยิ้มออกมาแล้วเดินจากไป แม่นมซิ่วกับสาวรับใช้ที่มีนามว่าจิ่งอี๋รีบวิ่งเข้ามาหานาง
หลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ