หลูชิงเหลียนคิดทบทวนเรื่องราวอยู่ภายในใจ ถ้าเช่นนั้น…นางก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้หลายวันแล้วอย่างนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ร่างกายของนางเล่า ลูกของนางที่นางคลอดออกมาอย่างยากลำบากเล่า เขาปลอดภัยดีหรือไม่ ท่านพ่อท่านแม่จะเป็นอย่างไร แม่นมเซี่ย จิ่งอี๋ พวกเขาจะเสียใจถึงเพียงใด
แล้วยามนี้หลัวอี้เฉิน สามีของนางเล่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะรู้หรือไม่ ว่านางได้จากเขาไปตลอดกาลแล้ว ถึงจะกล่าวว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม แต่ก็ยังมีเมตตา มีเมตตาให้นางได้กลับมาไวถึงเพียงนี้ แต่ก็คงจะเป็นเรื่องยาก หากว่านาง อยากจะเข้าไปในตระกูลหลัว ด้วยร่างของเด็กสาวผู้นี้
หลูชิงเหลียนรู้สึกสับสนกับความคิดของตนเอง นางลุกขึ้นนั่ง ทว่ากลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ อี้เหลียนรีบเข้าไปประคอง สั่งให้สาวรับใช้ที่อยู่ภายในห้อง ออกไปแจ้งให้ฮูหยินรองได้ทราบ ว่าคุณหนูสามฟื้นแล้ว
จากนั้นจึงสั่งให้คนยกน้ำแกงบำรุงกำลัง ที่ท่านหมออู๋สั่งให้ต้ม ให้คุณหนูดื่มหลังจากที่ฟื้น เข้ามาภายในห้อง หสาวรับใช้นางนั้นออกจากห้องนอน ไปได้ไม่นานนัก ร่างระหงของฮูหยินรอง ก็เดินเข้ามาภายในห้องอย่างเร่งรีบ
“เหมียวเอ๋อร์…เจ้าฟื้นแล้วหรือลูก”
จ้าวซื่อหรือฮูหยินรอง ผู้เป็นมารดาของหลี่ชิงเหมียว รีบก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องนอนของบุตรสาว พร้อมกับถามบุตรสาวออกมาด้วยน้ำเสียงยินดี
หลูชิงเหลียนมองผู้เข้ามาใหม่ ได้ยินคำขานเรียกของนาง ก็พอที่จะคาดเดาได้ ถึงแม้เจ้าของร่างจะเป็นเพียงเด็กสาววัยแรกแย้ม แต่นางนั้นผ่านการคลอดบุตรมาแล้ว ผ่านการรอคอยบุตรอันเป็นที่รัก
ความรักความห่วงใย ที่แสดงออกมาผ่านทางแววตา และน้ำเสียงของอีกฝ่าย ทำให้นางรู้สึกตื้นตันใจ รู้สึกอาลัยอาวรณ์ถึงลูกที่นางไม่มีแม้แต่โอกาส ที่จะได้เห็นหน้า จู่ๆ น้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ ก็ไหลลงมาอาบใบหน้า
จ้าวซื่อรีบปรี่เข้าไปนั่งลงบนเตียง แล้วดึงร่างเล็กของบุตรสาวเข้ามาในอ้อมกอด หลูชิงเหลียนสะอื้นไห้ สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนของอีกฝ่าย ก็ยกเรียวแขนขึ้นมากอดอีกฝ่ายตอบเช่นกัน
มารดาผู้นี้เป็นคนที่มีจิตใจดี แม้บุตรสาวจะไม่ปกติเช่นผู้อื่น ก็ไม่เคยนึกรังเกียจ นาง…หลูชิงเหลียน ย่อมเต็มใจปกป้องอีกฝ่าย ดังมารดาแท้ๆ นางตอบรับคำขอ ของเด็กสาวผู้น่าสงสารผู้นั้นมาแล้ว นางจะต้องทำให้ได้ และทำให้ดีที่สุด
ปกป้อง คืนความยุติธรรม นี่คือหน้าที่ของนาง ยามที่ต้องอาศัยอยู่ในตระกูลนี้ และอีกเรื่องที่นางอยากรู้ คือยามนี้สถานการณ์ของนาง ฮูหยินน้อยสกุลหลัว เป็นอย่างไรบ้าง นางคลอดลูกสาวหรือลูกชายออกมากันแน่ หลังจากร่างกายนี้ของนางฟื้นตัว นางจะต้องทำการสืบเรื่องราวเหล่านี้ให้จงได้
หนึ่งเดือนให้หลัง หลังจากหลี่ชิงเหมียวฟื้นขึ้นมา นางก็ดูเหมือนว่า จะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเด็กสาวที่มีสติปัญญาอ่อนด้อย กลับกลายมาเป็นเด็กรู้ความ เชื่อฟัง และร่ำเรียนวิชาต่างๆ ได้อย่างเข้าใจ จนบรรดาอาจารย์เอ่ยปากชมจากใจ นางไม่ได้โง่เขลา ไม่รู้ความ เหมือนกับเมื่อก่อนอีกแล้ว เรื่องนี้ได้สร้างความประหลาดใจ ให้แก่ผู้ใหญ่ในตระกูล และบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเป็นอย่างมาก
เพราะการเปลี่ยนแปลงตนเองของหลี่ชิงเหมียวในครานี้ ทำให้นางได้รับอนุญาตจากบิดา เรื่องการออกไปเที่ยวเล่นนอกจวน หรือแม้แต่การให้นางติดตามมารดา ออกไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ การที่บุตรีไม่ได้เป็นคนที่โง่เขลา เช่นแต่ก่อนอีกแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย และต้องคอยปกปิดเอาไว้เหมือนก่อน
ถึงอย่างไรหลี่ชิงเหมียว ก็จะถึงวัยปักปิ่นอยู่แล้ว อีกไม่นานก็ต้องพูดคุยถึงเรื่องการแต่งงาน หากไม่พาออกไปพบปะผู้คนเลย แล้วผู้ใดจะรู้จักหน้าตาอันงดงาม ของคุณหนูสามสกุลหลี่กัน
“เหตุใดนางถึงได้โชคดีถึงเพียงนี้ ข้าหวังให้นางตาย กลับกลายเป็นว่า ข้าทำให้นางเกิดใหม่เป็นคนที่ฉลาดกว่าเดิม” หลี่ชิงหรงกล่าวออกมาด้วยความขุ่นเคือง
“คุณหนู…อย่าเสียงดังไปเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวผู้อื่นได้ยินเข้า ท่านจะเดือดร้อนได้” อี้เฉียว สาวรับใช้คนสนิทของหลี่ชิงหรงเอ่ยปากห้ามปรามคุณหนูรองออกมา
“นางไม่สมควรเกิดมาตั้งแต่แรก เหตุใดวันนั้นนางถึงไม่ตาย”
“หรงเอ๋อร์…เมื่อครู่เจ้ากล่าวอันใดออกมา”
เสียงของมารดาดังขึ้นมาจากทางหน้าประตูห้อง หลี่ชิงหรงตกใจจนถ้วยชาหลุดมือ น้ำชาสาดกระเซ็นเต็มพื้น อี้เฉียวรีบนั่งคุกเข่า แล้วก้มหน้าลงทันที
“แม่เล็ก”
“แม่ถามว่าเมื่อครู่ เจ้ากล่าวอันใดออกมา” น้ำเสียงตำหนิของมารดา ทำให้หลี่ชิงหรงถึงกับสะดุ้ง นางเดินไปจูงมือมารดา พามานั่งลงยังตั่งตัวยาว พลางรินน้ำชาให้อย่างเอาใจ
“ข้าเพียงแค่พูดเล่นกับอี้เฉียวเท่านั้นเองเจ้าค่ะ แม่เล็กอย่าได้ถือสาไปเลย”
“คิดสิ่งใด ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมา แล้วเจ้าจะไปถือสาอันใดกับคุณหนูสาม ถึงนางจะกลับมาเป็นบุปผางามที่เพียบพร้อมของจวนสกุลหลี่ แต่สุดท้ายก็ต้องออกเรือนไปอยู่ดี เจ้าเองก็เช่นกัน อย่าได้คิดทำเรื่องเล็กน้อย ให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นอันขาด เพราะถึงยามนั้น แม้แต่แม่ก็ช่วยเหลือเจ้าไม่ได้”
หลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ