ณ จวนตระกูลหลี่
ภายในห้องนอนเล็ก ของเรือนซานหลิง มีร่างเล็กของเด็กสาววัยแรกแย้ม กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง หากหน้าอกไร้ความเคลื่อนไหว ทุกคนคงจะนึกว่านางจากไปแล้ว
อี้เหลียน สาวรับใช้คนสนิท ยอมอดหลับอดนอน คอยอยู่เคียงข้าง ดูแลเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงตลอดเวลา เพราะอี้เหลียนกล่าวโทษ ว่าเป็นความผิดของตนเอง
ที่วันนั้นนางทิ้งคุณหนูสาม ให้อยู่กับคุณหนูรองตามลำพัง ทำให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นมา และตั้งแต่ที่คุณหนูสามฟื้นขึ้นมา เพียงครู่เดียวในวันที่จมน้ำ นางก็หลับมายาวนาน จวบจนวันนี้ ก็นับเข้าวันที่สองแล้ว
จ้าวฉิง ฮูหยินรอง ผู้เป็นมารดาของคุณหนูสาม หลี่ชิงเหมียว เห็นบุตรสาวของนางยังไม่ฟื้นสักที ก็รู้สึกปวดใจ นางจึงได้ไปเชิญท่านหมอเทวดา ให้มาช่วยตรวจดูอาการของบุตรสาวอีกครา แต่ก็ไม่พบกับความผิดปกติอันใด
นางจึงมีความคิด อยากที่จะไปเชิญท่านนักพรต หรือท่านนักบวช จากอาราม มาช่วยตรวจดูดวงชะตา ให้แก่บุตรสาว ทว่านางก็เกรงกลัวหลี่ต้าถง ผู้เป็นสามี
เพราะเขาเป็นบัณฑิต ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาว่า ขงจื๊อไม่สอนให้เชื่อเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ เขาจึงมักจะคอยย้ำเตือนภรรยาทั้งสาม ถึงเรื่องความเชื่อ งมงายเหล่านั้น ว่ามันไม่มีอยู่จริง แล้วจะให้นางหันหน้า ไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรกัน
และเป็นเพราะไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อในเรื่องลี้ลับ จึงไม่มีผู้ใดรู้เลยว่า ความจริงแล้ว หลี่ชิงเหมียวตัวจริง ได้ตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว ยามนี้วิญญาณที่อยู่ภายในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสี่ปีผู้นี้ คือผู้ที่มาเกิดใหม่อีกครั้ง
วันนี้ก็เข้าสู่วันที่สาม ของการที่บุตรสาวของนางหลับใหล ฮูหยินรองจึงมีความคิด อยากจะลักลอบออกไป หาท่านนักพรตให้ช่วยตรวจดูดวงชะตา แก่บุตรสาวของนาง ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากจวน สาวรับใช้ในเรือนของหลี่ชิงเหมียว กลับมาแจ้งข่าวดีกับนางเสียก่อน นางจึงเร่งรีบไปยังเรือนซานหลิงทันที
“คุณหนูสาม ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ รู้สึกไม่ดีตรงที่ใดหรือไม่เจ้าคะ”
อี้เหลียนถามคุณหนูออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ปะปนความรู้สึกเป็นกังวล เพราะคุณหนูนอนหลับไปนานถึงสามวันสองคืนแล้ว อีกทั้งตื่นมาครานี้ ก็ดูเหมือนจะมีสีหน้าสับสนมึนงง ประเดี๋ยวมองไปรอบๆ ประเดี๋ยวจ้องหน้านาง
หลูชิงเหลียนที่เพิ่งตื่นนอนขึ้นมาอีกครา รู้สึกปวดศีรษะอยู่ไม่น้อย นางหันไปมองรอบๆ ห้อง สลับกับการมองหน้าสาวรับใช้ ของเด็กสาวเจ้าของร่าง ที่นางเข้ามาอยู่ นางยกมือเล็กบอบบางของตนขึ้นมาดู แล้วจึงทอดถอนใจออกมา
ยามที่นางหลับใหลอยู่นั้น ได้ฝันถึงเด็กสาวคนหนึ่ง อีกฝ่ายได้ฝากฝังให้นาง ช่วยดูแลมารดา และพี่ชายของนางให้ดี อีกทั้งช่วยคืนความยุติธรรม ให้แก่นางด้วย เพราะนางจากไปอย่างไม่เป็นธรรม หลูชิงเหลียนรับปากอย่างงุนงง ก่อนที่นางจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้ และในร่างกายเช่นนี้
วันแรกที่นางฟื้นคืนมาในร่างกายที่แตกต่างไปจากเดิม นางก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย ราวกับว่านางนั้นเพียงแค่นอนหลับไปอย่างยาวนาน แต่กลับตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ผู้คนไม่คุ้นตา และร่างกายที่เปลี่ยนไป
ทว่าสิ่งที่นางจดจำได้ คือครั้งสุดท้าย ก่อนที่สติจะดับวูบไป นางกำลังคลอดบุตรอยู่ที่จวนสกุลหลัว แล้วเกิดเหตุอันใดขึ้นกับนางกันแน่ เหตุใดนางถึงได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาว ที่นางฝันถึงเช่นนี้ อีกทั้งตระกูลนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะวุ่นวาย และมีเรือนหลังที่น่าปวดหัวเสียจริง
เพราะชีวิตของหลูชิงเหลียนที่ผ่านมา นางนั้นเป็นบุตรีเพียงคนเดียวของบิดามารดา บิดาไม่มีภรรยารอง หรืออนุภรรยา ทำให้เรือนหลังสงบสุข ไร้ปัญหาใดๆ ภรรยาและบุตรสาวเพียงหนึ่งเดียว จึงได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นสามีและบิดาอย่างเต็มที่
ทว่าตระกูลหลี่ ท่านอาจารย์หลี่ต้าถง ผู้ที่เป็นบิดาของเด็กสาวเจ้าของร่าง ที่นางมาเกิดใหม่นี้ กลับเป็นบุรุษที่มีภรรยาถึงสามคน อีกทั้งเขาก็ดูเป็นคนที่เย็นชา และหมางเมินต่อหลี่ชิงเหมียวเป็นที่สุด
“วันนี้คือวันใด เดือนใด ปีใดแล้วหรือ”
เสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถามออกมา ทว่ากลับเป็นคำพูดที่ดูจะปกติที่สุด เท่าที่อี้เหลียนเคยได้ยินคุณหนูสามพูดมา นางจึงนึกประหลาดใจ และรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
“วันที่สิบ เดือนห้า รัชศกเหยียนซีปีที่สองเจ้าค่ะ”
อี้เหลียนตอบคำถามที่คุณหนูสามถามออกมา นางแน่ใจแล้วว่าคุณหนู อาจจะไม่ใช่เด็กที่โง่เขลา เฉกเช่นเดียวกับแต่ก่อนอีกแล้ว นี่มันคือสิ่งที่เรียกว่าปาฎิหารย์ใช่หรือไม่
หลูชิงเหลียนตกใจ นางมาอยู่ในร่างนี้ นับจากวันที่นางคลอดลูก ยังไม่ถึงสิบวันเลยด้วยซ้ำ แล้วมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ นางตายไปแล้วจริงๆ หรือ
หรือเพียงแค่สลับร่าง สลับวิญญาณกับคุณหนูสามเจ้าของร่างนี้ แต่ทว่าในความฝันของนางนั้น กลับชัดเจน ว่าหลังจากที่อีกฝ่ายฝากฝัง ความต้องการครั้งสุดท้ายไว้กับนาง วิญญาณของเจ้าของร่าง ก็ได้สลายหายไปต่อหน้าต่อตา
“คุณหนู…..ท่านหมออู๋ กำชับเอาไว้ว่า หากคุณหนูตื่นขึ้นมา ให้ท่านดื่มน้ำแกงเพิ่มกำลังเจ้าค่ะ เพราะคุณหนูนอนหลับไปนานหลายวันแล้ว”
“ขะ…ข้าหลับไปนานกี่วันแล้ว”
“สามวันสองคืนแล้วเจ้าค่ะ” อี้เหลียนตอบพลางสำรวจมองใบหน้า ที่ยังคงซีดเซียวของคุณหนูสาม
หลัวอี้เฉินและหลี่ชิงเหมียว ยังคงอาศัยอยู่ในเรือนเดิม ถึงแม้ยามนี้หลัวอี้เฉิน จะกลายมาเป็นผู้นำตระกูลอย่างเต็มตัว และหลี่ชิงเหมียวก็เป็นฮูหยินใหญ่ ทำหน้าที่ดูแลทุกเรื่องในเรือนหลัง ทว่านางกลับชอบเรือนหนิงอันมากกว่าเรือนใหญ่ ที่พ่อแม่สามีอาศัยอยู่ เพราะนางอยู่ที่เรือนหนิงอันแล้วรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขหลี่ชิงเหมียวเดินกลับไปยังเรือนหนิงอัน ทุกย่างก้าวของนางได้พบกับบ่าวรับใช้ ที่มีมากขึ้นไปจากเดิม เพราะตระกูลหลัวขยับขยาย ทำให้หลัวอี้เฉินซื้อบ่าวรับใช้มาเพิ่ม อย่างเช่นสาวรับใช้ข้างกายนางสองคน ก็ซื้อมาใหม่ยามที่หลัวลี่เซียนเพิ่งจะอายุได้สองปี“ท่านแม่...” หลัวลี่เซียนวัยแปดปี ส่งเสียงเรียกขานมารดา ขณะที่นางกำลังเดินจูงมือน้องชายวัยสองปีมาด้วยกัน หลัวอี้ซ่งก้าวเดินอย่างมั่นคง ก่อนจะปล่อยมือของพี่สาว แล้ววิ่งเข้าไปหามารดา หลี่ชิงเหมียวย่อกายลงโอบกอดเขาเอาไว้“ท่านแม่....อุ้ม...” เด็กน้อยบอกมารดานัยน์ตาทอประกายออดอ้อน หลัวลี่เซียนอยากจะเอ่ยปากห้ามน้องชาย ทว่ามารดากลับอุ้มเขาขึ้นจากพื้นแล้ว“ฮูหยิน...” แม่นมซิ่วและบรรดาสาวรับใช้ร้องอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ ถึงแม้ทารกในครรภ์ของฮูหยินจะมั่นค
เสียงหัวเราะของเด็กน้อย ทำให้หัวใจของผู้ใหญ่ รู้สึกผ่อนคลาย นัยน์ตาคมทอดมองไปยังบุตรสาวคนโต และบุตรชายคนเล็ก ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ด้วยกัน ภายในลานกว้างของจวนผ่านมาสองปีหลัวลี่เซียน บุตรสาวของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก จนสามารถดูแลน้องชายวัยสองปีได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนโตวัยสิบหกปี ก็ได้สอบผ่านเป็นซิ่วไฉอย่างที่ตั้งใจ และกำลังเตรียมตัวลงสนามสอบต่อไป“เหมียวเอ๋อร์... พี่คิดว่าพวกเราควรจะมีน้องสาว ให้พวกเขาอีกสักคนเถิด” จู่ ๆ หลัวอี้เฉินก็กล่าวออกมา หลังจากที่ทอดสายตา มองไปยังลูกทั้งสองอยู่เนิ่นนานทว่าคำชวนของสามี ทำให้หลี่ชิงเหมียวที่เพิ่งดื่มชาลงไป เกิดอาการสำลักขึ้นมา นางไม่ได้หวาดกลัวในการตั้งครรภ์ หรือการให้กำเนิด แต่นางกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับอาการแพ้ท้องต่างหาก และไม่รู้ว่าหากมีอีกคนแล้ว นางจะเป็นบุตรีอย่างที่พวกตนตั้งใจหรือไม่แม่นมซิ่วส่งสายตาให้แก่อี้เหลียน และสาวรับใช้รอบกาย จนทุกคนถอยออกไปจากบริเวณนี้อย่างรู้ความ ปล่อยให้นายท่านกับนายหญิง ได้พูดคุยกันถึงเรื่องใกล้ชิดส่วนตัวตามลำพัง“ท่านพี่... แล้วท่านจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าถ้าหากพวกเรามีลูกอีกคน แล้วจะเป็นบุตรี หากข้าให้กำเนิดบุตรชา
“นายท่าน... คุณชายใหญ่ ฮูหยินให้บ่าวมาเชิญพวกท่าน กลับไปกินมื้อเช้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยิน ท่านจะออกไปคำนับท่านปรมาจารย์ ที่อารามหลัวเซิง” สาวรับใช้เข้ามาเชิญเจ้านายทั้งสองตามคำสั่งของนายหญิง“ไปอารามหรือ... ข้าก็อยากจะไปด้วย” หลัวอี้เฉินเอ่ย ก่อนที่จะสั่งลูกน้อง แล้วชวนบุตรชายกลับจวน“พวกเจ้าแยกย้ายกันเถิด เจ๋อเอ๋อร์...พวกเราก็รีบกลับจวนไปกินมื้อเช้ากับท่านแม่และน้องสาวของเจ้ากัน”“ขอรับท่านหัวหน้า” บรรดาผู้ใต้บังคับบัญชารับคำ“ขอรับท่านพ่อ...” หลัวอี้เจ๋อรับคำบิดาเช่นกัน สองพ่อลูกรีบพากันกลับจวนอย่างไม่รีรอ การปล่อยให้สตรีรอนาน ไม่ใช่สิ่งที่บุรุษพึงกระทำกู้จงกับกู้อี้ก็เอ่ยลาบรรดาสหายร่วมงานเช่นกัน เพราะพวกเขาต่างก็มีคนของตน รอกินมื้อเช้าพร้อมพวกเขาอยู่ที่เรือนบุรุษที่เหลือจึงพากันแยกย้าย พลางคิดในใจว่า การมีครอบครัวมันดีเพียงนี้เชียวหรือ ท่านหัวหน้าแต่ละคน ถึงได้ดูกระตือรือร้นเพียงนี้รถม้าของจวนตระกูลหลัว มุ่งหน้าออกจากจวนในยามซื่อ ยามนี้ครรภ์ของหลี่ชิงเหมียวมั่นคงแล้ว จึงทำให้การเดินทางระยะใกล้ไม่ลำบากมากนัก ไม่นานนักรถม้าของตระกูลหลัวก็มาถึงอารามหลัวเซิง ทว่าหลี่ชิงเหมี
หลี่ชิงเหมียวตั้งครรภ์ลูกคนที่สองของชาติภพนี้ หลังจากที่บุตรสาวคนโต มีอายุได้เพียงห้าปี ทว่านี่ก็นับว่านานมากพอ กว่าที่นางจะสามารถก้าวข้าม ความหวาดกลัว ที่เคยอยู่ภายในใจนางยอมหยุดยาสมุนไพร เพื่อที่จะปล่อยให้ตนเองตั้งครรภ์ ทว่าก็ใช้เวลานานนับหนึ่งปี กว่าที่เด็กคนนี้ จะมาเกิดกับตน“นี่ข้ากำลังจะมีลูกอีกคนแล้วจริง ๆ หรือ”ท่านหมอหลินกลับไปแล้ว ทว่าหลัวอี้เฉินยังคงตกอยู่ในภวังค์ เขาเฝ้าถามตนเองซ้ำๆ ว่าเขากำลังจะมีลูกอีกคนจริงๆ หรือ หลี่ชิงเหมียว แม่นมซิ่ว และอี้เหลียน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาขบขัน“นายท่านไม่ต้องประหลาดใจไปหรอกเจ้าค่ะ เป็นเพราะฮูหยินของพวกเรา หยุดดื่มยาสมุนไพรป้องกันการตั้งครรภ์ และดื่มยาสมุนไพรบำรุง เพื่อเตรียมการตั้งครรภ์มานานนับปีแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมซิ่วไขข้อข้องใจ ให้แก่นายท่านที่กำลังแสดงสีหน้าสับสนงุนงง กับเรื่องการตั้งครรภ์ของนายหญิง“จริงหรือ” หลัวอี้เฉินถามภรรยา นัยน์ตาคมมองไปยังนางเป็นประกายทว่าเขากลับยังคงไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะก่อนหน้านี้ นางบอกว่ารู้สึกเหม็นกลิ่นกายของเขา ถึงได้อาเจียนออกมา ยามนี้เขายังไม่ได้อาบน้ำ จึงยังไม่กล้าเข้าไปใกล้นาง“จริงเจ้าค่ะ” หล
หลี่ชิงเหมียวนั่งอยู่ในศาลาพักผ่อนกับบุตรสาว ที่เอาแต่ร้องตะโกนให้กำลังใจพี่ชายก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา“เซียนเอ๋อร์... เจ้าเองก็อยากลองขี่ม้าใช่หรือไม่” หลัวลี่เซียนหันขวับเดินเข้าไปออดอ้อนมารดา“เจ้าค่ะท่านแม่...”“ยามนี้เจ้ายังเยาว์วัยนัก ร่างกายก็ยังเติบโตไม่สมบูรณ์ ไม่อาจควบคุมอาชาตัวโตเช่นนั้นได้” สิ้นคำกล่าวของมารดา หลัวลี่เซียนก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาทว่าก่อนที่จะนางจะแสร้งหลั่งน้ำตาขอความเห็นใจจากมารดาออกมา หลี่ชิงเหมียวก็แอบโบกมือให้บ่าวในสนามบ่าวผู้นั้นจูงอาชาตัวเล็กสีนิลเข้ามา หลัวลี่เซียนมองไปยังอาชาตัวน้อย ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองมารดานัยน์ตาเป็นประกาย หลี่ชิงเหมียวแสร้งยกชาขึ้นมาจิบ“ท่านแม่... ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านแม่ที่สุด”หลัวลี่เซียนโผเข้าไปกอดมารดา พลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางหอมแก้มของมารดาซ้ายทีขวาทีอย่างเอาใจ หลี่ชิงเหมียวรู้สึกใจอ่อนยวบ สุดท้ายแล้ว นางก็ต้องพ่ายแพ้ให้บุตรสาวขี้อ้อนผู้นี้อยู่ร่ำไปหลัวอี้เฉินกับหลัวอี้เจ๋อ สองพ่อลูกที่สังเกตเห็นนางฟ้าตัวน้อย กำลังจะขึ้นอาชา ต่างก็รีบควบอาชากลับมา หลัวอี้เจ๋อเสนอตัวดูแลน้องสาวเอง เพราะอาชาที่หลัวลี
หลังจากที่หลี่ชิงเหมียวให้กำเนิดหลัวลี่เซียนได้ห้าปี เด็กหญิงก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบิดามารดา แม้เกิดเป็นหญิง แต่ผู้ใดกันที่บอกว่าสตรีอ่อนแอ แล้วนางจะต้องอ่อนแอ นางเองก็มีคนที่อยากจะปกป้องเช่นกัน“คุณหนูหลัว... ท่านแน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าอยากจะฝึกวรยุทธ์จริงๆ” สตรีที่ดูมีความรู้ตรงหน้าเอ่ยถามลูกศิษย์ตัวน้อยออกมาด้วยความตกใจอาจารย์อี้ นางเป็นอาจารย์ที่หลี่ชิงเหมียว เชิญให้มาสอนบุตรีที่จวน โดยอาจารย์อี้ ได้จัดตารางการเรียนให้เด็กหญิงได้เรียนรู้ตัวอักษร และการฝึกคัดอักษรหลายวันที่ผ่านมาคุณหนูหลัวก็ดูตื่นเต้นดี ทว่าพอเวลาผ่านไปได้สิบวัน คุณหนูน้อยกลับกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ ว่าสิ่งที่อาจารย์เช่นนางสอนมานั้น นางรู้ทั้งหมดแล้ว เป็นท่านแม่ของนาง ที่เคยจับมือสอนนาง ให้เขียนพู่กัน ในยามที่นางยังวัยเพียงแค่สี่ขวบอาจารย์อี้ไม่อยากจะเชื่อ ในคำพูดของเด็กวัยห้าขวบ นางจึงได้ทำการทดสอบเด็กน้อย ทว่าคุณหนูหลัว ราวกับเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก นางสามารถเรียนรู้สิ่งใดได้อย่างรวดเร็ว จะเรียกได้ว่า รู้ความไวกว่าเด็กวัยเดียวกันก็ไม่ผิดและการที่นางได้พบกับอัจฉริยะตัวน้อยเช่นนี้ ทำให้อาจารย์อี้ รู้สึ