บทที่ 6 เริ่มสำรวจมิติ
"แกพูดจริงใช่ไหมหวังเหว่ย! ดีจริงๆ แกจะได้พาครอบครัวกลับมาปักกิ่งสักที เฮ้อ" หลี่เฟยเทียนถึงจะถามย้ำสหายไปให้มั่นใจอย่างนั้น แต่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความยินดีกับสหาย และโล่งใจที่ครอบครัวซ่งจะได้กลับมาซะที "ฉันพูดเรื่องจริงสิตาแก่หลี่ ฉันถึงบอกแกยังไงล่ะ ว่าวันนี้เป็นวันที่ดีจริงๆ ฮ่า ๆๆ!! " ท่านพลเรือเอกพิเศษพูดเสร็จก็หัวเราะออกมาเสียงดังราวฟ้าผ่า ทะลุประตูห้องทำงานส่วนตัว ออกไปจนลูกน้องใต้บังคับบัญชาของเขายังได้ยินอย่างชัดเจน คุณตาซ่งของหลานๆ เอนกายพิงพนักเก้าอี้ พลางยกมือแกร่งใช้ปลายนิ้วเรียว เช็ดน้ำตาตรงหางตา ที่มันไหลออกมาจากการหัวเราะอย่างอารมณ์ดี วันนี้เขาไม่สามารถวางมาดให้ใครดูได้อีกแล้ว ขอสักวันแล้วกัน ลูกน้องยังเคารพเขาเหมือนเดิมนั่นละ คุณตาซ่งคิดเข้าข้างตัวเองแบบคิดเองเออเอง และพยักหน้าพอใจกับความคิดนี้ของตนอีกด้วย… ต้องรู้ก่อนว่าการลงใต้ไปสร้างผลงานที่นั่น ถือเป็นโอกาสที่ดีมาก และไม่ใช่ใครก็ได้ ที่จะได้ย้ายลงใต้เพื่อไปสร้างผลงาน คนหนุ่มเก่งๆ ที่มองหาโอกาสเติบโต จะมองเห็นว่ากว่างโจวเหมาะสมกับการเลื่อนตำแหน่งมาก แต่คนส่วนมากที่ไม่ใช่ คนหนุ่มเก่งๆ หรือทหารยศสูงมีประสบการณ์แล้ว มักจะมองว่ากว่างโจวไม่เหมาะกับการเติบโตในหน้าที่การงาน เพราะมีภาพลักษณ์ค่อนข้างแตกต่าง จากเมืองทางเหนือที่เป็นเมืองหลวง ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วย ราชการและเป็นทางการ แต่ในกว่างโจวจะรู้สึกและรับรู้ได้ถึง การค้าและความวุ่นวาย พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่เมืองหลวงเพียงเท่านั้น แต่ก็ถือว่าพวกเขาคิดถูกแล้ว นั่นก็เพราะว่าที่กว่างโจวมันมีแต่ คนหนุ่มเก่งๆ นี่แหละ พวกเขาสองสหายถึงได้ดีใจกันมากขนาดนี้ ที่นี่มีแต่คนอยากเก็บผลงานจริงๆ เพราะมีคนเก่งมากความสามารถหลายคน ตำแหน่งสูงๆ มีไม่ครบคนแน่นอนอยู่แล้ว การอนุมัติจึงต้องใช้เวลาหลายปี เพื่อพิจารณาให้ได้คนที่เหมาะสมที่สุดในตอนแรกพวกเขาคิดไว้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หกปีถึงจะได้กลับปักกิ่ง แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอนานถึงขนาดนั้นแล้ว “แล้วแกจะกลับมาฉลองครบเดือน หลานน้อยของฉันเลยรึเปล่าล่ะ” คุณปู่หลี่ไม่สนใจเสียงหัวเราะที่ดังก้องราวฟ้าผ่าของสหาย ทั้งที่เมื่อครู่หูเขาเกิดเสียงวิ้ง จนอื้อไปชั่วขณะเลยทีเดียว นี่มันคืออาการปกติของซ่งหวังเหว่ย เป็นมาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จัก จนตอนนี้แก่แล้วก็ยังไม่หาย ที่มักจะหลุดบ่อยๆ ยามอยู่กับคนคุ้นเคย ก็เขามันเป็นคนเพี้ยนๆ! “หลานน้อยของแกคนเดียวที่ไหนกันตาแก่หลี่! ฉันจะกลับให้ทันฉลองครบเดือนหลานแน่นอน ก่อนมารับสายแกฉันยื่นเรื่องย้ายกลับปักกิ่งแล้ว ” คุณตาซ่งเอ่ยท้วงสหาย ก่อนจะรับปากยืนยันไปฉลองครบเดือนหลานสาว “ได้ฉันจะรอแก แต่เดี๋ยวก่อนหวังเหว่ย แกจะเรียกฉันว่าตาแก่อีกกี่คำแกถึงจะพอใจกัน! ฉันอายุแค่ 48 ฉันยังไม่แก่ถึงขนาดใช้คำนั้น! เจ้าแก่แซ่ซ่ง!!” พูดเสียงดังใส่เพื่อนให้หูดับเป็นการแก้แค้นเสร็จ ก็วางสายทันทีอย่างโมโหเพื่อนรักจอมเพี้ยน คุณย่าจางยกมือบางปิดปากหัวเราะออกมาเบาๆ เธอนั่งฟังสองเพื่อนสนิทคุยกัน เหมือนทะเลาะกันมากกว่าอย่างเคยชิน พวกเขากระชับมิตรกันบ่อยๆ แบบนี้นี่ละ ปีนี้หลี่เฟยเทียนอายุ 48 ถือว่ามากพอสมควร ร่างแกร่งของเขาสูงใหญ่กำยำสมกับเป็นนายทหารยศสูง ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ผิวของเขาขาวมากทั้งที่ต้องออกตรวจงานกลางแจ้งในบางครั้ง ผิวกายผิวหน้ายังเต่งตึง มีแค่ร่องรอยประสบการณ์ชีวิตขีดที่หางตาบ้างเล็กน้อย หน้าตาของเขาดีมาก นี่คือต้นแบบใบหน้าอันหล่อเหลาของลูกชายเธอเชียวนะ จะมีหน้าตาด้อยกว่าลูกชายได้อย่างไร จางเลี่ยงเหลี่ยงปีนี้ 45 แล้วแต่รูปร่างหน้าตาดีมาก ยังดูอ่อนเยาว์ และสวยสง่าสมกับมีลูกชายหน้าตาหล่อเหลาได้ขนาดนั้น “คุณยังไม่แก่เลยค่ะ ยังดูเป็นชายหนุ่มสุดหล่อสำหรับฉันอยู่เสมอ” คุณย่าจางผู้ไม่เคยเหนียมอาย กับการแสดงความรักกับสามี เธอพูดยืนยันความคิดของเธอให้สามีได้รับรู้ “หึ หึ หึ…. แน่นอนว่าคุณก็ยังดูสวยเสมอในสายตาของผม” คุณปู่หลี่หัวเราะเบาๆ ในลำคออย่างชอบใจกับคำพูดภรรยา ดึงคุณย่าจางเข้ามากอดจนจมอกกว้าง ก่อนทั้งคู่จะพากันไปนอนพักกลางวันให้สมกับที่วันนี้เป็นวันหยุดของคุณปู่หลี่บทที่ 50 ชีวิตคู่ที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ จบคำสารภาพรักด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการยืนยัน พ่อหนุ่มเจ้าน้ำตาที่ก้มหน้าหลุบตาลงมองต่ำดูเศร้าสร้อย พานให้คนมองใจอ่อนยวบแอบชะงักไปหนึ่งจังหวะเล็กๆ ซ่อนสีหน้าดีใจไว้ได้อย่างมิดชิด ถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับดวงตากลมโต ที่จ้องมองมาอย่างต้องการยืนยันคำพูดจากใจจริงของเธออย่างน่าเอ็นดู คนพี่เม้มปากข่มใจไม่ให้หลงอ่อนข้อไปกับความน่ารักตรงหน้า เขาเล่นใหญ่สวมบทคนรักจิตใจอ่อนไหวขี้น้อยใจขนาดนี้แล้ว ต้องเอาคนตัวเล็กตรงหน้าให้อยู่หมัด “ถ้าน้องยืนยันอย่างหนักแน่นขนาดนี้พี่ก็เชื่อจนหมดใจแล้วครับ พี่ก็รักหย่าเออร์มากขึ้นในทุกๆ วันเหมือนกัน สัญญาแล้วนะครับ หลังเรียนจบแต่งเลยทันที” “ค่ะ! ไม่ผิดสัญญาแน่ค่ะ” “ครับ… ดีมากครับเด็กน่ารักต้องไม่ผิดสัญญา แต่….” คนเจ้าแผนการเริ่มคิดอยากกลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งแล้ว “อะ อะไรคะ! ตะ แต่อะไรถามน้องมาให้หมดเลยค่ะ พี่ช่างอยากรู้อะไรน้องจะตอบทุกเรื่องเลย” คนน้องหลงคิดว่าคนพี่จะหมดข้อข้องใจแล้ว เพราะเขาก็บอกรักเธอกลั
บทที่ 49 สวมบทพ่อหนุ่มเจ้าน้ำตา หลังกอดปลอบเพื่อนสาวจนหายน้อยใจแล้ว หวงหนิงอ้ายก็ขอแยกตัวไปนั่งตรงโซนบาร์เครื่องดื่ม ด้วยรู้ว่าเพื่อนตัวน้อยต้องขึ้นไปหาคู่หมั้นหนุ่มที่ห้องทำงาน เหมือนทุกครั้งที่พวกเขาพากันมาที่นี่ “หยะ-…” ……. “อ๋า! น้องสาว... หย่าเออร์ เลิกเรียนแล้ว น้องกินอะไรมารึยัง หิวรึเปล่า วันนี้เรียนหนักรึเปล่า ถ้าเหนื่อยเกินไปน้องเปลี่ยนคณะที่เรียนใหม่ได้นะ…” พอเปิดประตูห้องทำงานใหญ่ของสามหนุ่มเพื่อนสนิทเข้ามา หวงหนิงเฉิงที่ความรู้สึกไวที่สุดและรอคนรักอย่างใจจดใจจ่ออยู่ก่อนแล้ว เอ่ยเรียกคู่หมั้นตัวน้อยยังไม่ทันจบ เจ้าเพื่อนรักแฝดคนพี่รีบทิ้งปากกาในมืออย่างของไร้ความหมาย ก่อนแกล้งส่งเสียงแปร๋นอย่างแตกสาวกลบเสียงเพื่อนสนิทจนไม่ได้ยิน พร้อมกันนั้นเจ้าเพื่อนแฝดคนน้องก็ลุกจากที่นั่งไปโอบน้องน้อยของพวกเขา พามานั่งเบียดกันสามคนบนโซฟาตัวเดียวกัน ทำเมินเพื่อนหนุ่มราวกับห้องนี้มีกันอยู่แค่พวกเขาสามพี่น้อง “……..” คนถูกเมินได้แต่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่รอให้มองทั้งสามนั่งกอดกันกลม
บทที่ 48 ยอมรับความแตกต่าง เมื่อไม่มีใครเป็นอะไรพวกเขาจึงแยกกันกลับบ้าน เหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก้าวผ่านร่างของสวีหยู่เยียนซึ่งกำลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บร่าง และสืบสวนเรื่องราวเพื่อนดำเนินคดีต่อไป มันก็เป็นแค่เรื่องร้ายๆ เรื่องหนึ่งที่อาจจะหนักหน่อย ผ่านพ้นไปได้อีกเรื่องในวัยสิบหกปีของพวกเขา ภายหลังผลคดีจากการสืบสวนออกมาอีกว่า สวีหยู่เยียนฆ่าชายพนักงานโรงแรมรัฐแห่งหนึ่งตาย แต่ก่อนการลงมือฆาตกรรม เพื่อนข้างห้องได้ยินเสียงทำร้ายร่างกายด่าทอตบตีกัน มีการข่มขู่ทรมานเอาเงินจากเธอแถมยังกักขังสวีหยู่เยียนไว้ในห้องไว้ข่มขืนซ้ำๆ ไม่ปล่อยเธอออกจากห้องจนสุดท้ายเธอจึงก่อเหตุลงมือกับชายคนนั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอสติหลุด จากเรื่องที่ชายคนนั้นทำเรื่องเลวทรามกับเธอ ส่วนแม่ที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ ก็ได้หอบเงินหนีไปก่อนแล้วตอนที่เซี่ยเหว่ยพ่อเลี้ยงของเธอโดนจับ ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวที่บ้านหลังนั้นโดยที่มีเซี่ยเติ้งหลุนคอยเข้าออกบ้างยามต้องการใช้ประโยชน์จากเธอ หลังเรื่องราววุ่นวายจบลง บรรดาผู้คนรอบตัวของหลี่เฟยหย่าทั้งค
บทที่ 47 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 2/2 สวีหยู่เยียนเลือกมาอาละวาดก่อเรื่องในเวลาเลิกเรียนพอดี คนในส่วนหน้าโรงเรียนจึงเยอะ พวกเขาต่างพากันลนลานวิ่งหาที่หลบลูกกระสุนที่ถูกปล่อยออกมาในบางจังหวะที่สวีหยู่เยียนคลุ้มคลั่ง สวนสวยเพื่อนั่งเล่นและเป็นซุ้มรอรถตรงนี้ เหล่าคนในโรงเรียนจะรู้กัน ว่าเป็นที่นั่งของเหล่าลูกหลานคนมีเงินเพื่อมานั่งรอรถที่บ้านมารับ กลุ่มที่รู้ฐานะตัวเองพวกเขามักจะหลีกเลี่ยงไม่มานั่งที่นี่ ถึงแม้พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้แบ่งแยกให้ใครนั่งได้หรือไม่ได้ เมื่อปฏิบัติต่อๆ กันมาเรื่อยๆ หลักปีนานเข้า มันก็กลายเป็นพื้นที่อภิสิทธิ์เฉพาะไปโดยปริยาย ถึงพวกเขาจะก้มลงหมอบหาที่หลบซ่อนตัวแล้ว แต่สวีหยู่เยียนที่กำลังเดินผ่านเพื่อไปยังซุ้มตรงที่หลี่เฟยหย่าหลบอยู่ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็น กลุ่มคนที่เธอเคยไปมีเรื่องด้วยเพราะความอิจฉาอยู่หลายคนทีเดียว “ฮ่าๆ! อ้อ… ฉันก็เผลอแปลกใจไปแวบหนึ่ง ที่เจอพวกคนสารเลวชอบทำตัวสูงส่งอย่างพวกแกไป ลืมไปได้ยังไงกันนะ แหม! ก็นี่มันสวนชนชั้นสูงของพวกแกนี่นา ดี! จะได้ไม่ต้องไปตามคิดบัญชีนังพวกที่ชอบดูถูกฉันให้เหนื่อ
บทที่ 46 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 1/2 หลังกลับมาจากค่ายนอกเมืองแล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ โดยลากเพื่อนสนิททั้งสองมาเคลียร์เอกสาร ที่เหมือนทำเท่าไรก็ไม่หมดในส่วนของพวกเขา ที่บางครั้งเฉินหวงช่างต้องรับมาทำ เพราะสองพี่น้องมีงานต้องออกไปทำนอกพื้นที่ตลอด จนหาเวลานั่งติดเก้าอี้เคลียร์เอกสารน้อยเหลือเกิน วันนี้อยู่ด้วยกันแล้วถือโอกาสเปิดห้องประชุมไปด้วยเลยแล้วกัน หลี่เฟยฮุ้ยและหลี่เฟยเจินหลังจากนี้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนเข้ามายังตลาดลับ ที่พวกเขาร่วมลงทุนอีก คนที่เป็นเจ้านายใหญ่โดยถือเปอร์เซ็นถึง70% เลยคือเฉินหวงช่าง ส่วนสองแฝดถือคนละ 15% เมื่อหลายเดือนก่อน หยางต้าหยวนที่ถือเปอร์เซ็นอยู่ 7% อยู่ๆ ก็คิดขายคืนให้เฉินหวงช่าง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้มีคำถามขอคำอธิบายใดๆ ให้หยางต้าหยวนตอบ เขาเพียงทำเอกสารการรับซื้อยื่นให้อีกฝ่ายเซ็น พร้อมกับให้ลูกน้องไปเอาเงินถึงสองกระเป๋าใหญ่ ส่งให้หยางต้าหยวนง่ายๆ เท่านั้น “พวกนายไปขอให้คุณลุงหลี่เจี๋ย ปล่อยข่าวการรับสมัครบอดี้การ์ดให้กับทหารปลดเกษียณที่ค่ายทางใต้ด้วยแล้วกัน” เฉินหวงช่างบอกสหายหลั
บทที่ 45 ทรมานเจ้าคนน่าขนลุก NC 🔥ชน/ช รุนแรง* ผัวะๆ!! “อ่า!... อ๊ากกก! ปล่อยฉันๆ! พวกแกมันก็ค้าขายทำลายชาติไม่ต่างจากฉันนี่ แล้วจะมาทำลายพวกเดียวกันทำไม ฮะ! อั่ก!!” เซี่ยเติ้งหลุนที่โดนฝ่าเท้าหนักๆ สองพี่น้องบ้านหลี่รุมอย่างไม่ยั้งแรง ร้องตะโกนโต้แย้งอย่างสู้อะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูจะยังแข็งแรงดีมากๆ อยู่บ่งบอกถึงความถึกที่ซ่อนไว้ ขัดแย้งกับภาพลักษณ์คุณชายแสนสุภาพเจ้าสำอางที่แสดงให้เห็นไปก่อนหน้า พลั่กๆ!! “เหอะ! ไอ้เวร สารเลวนี่มันปากดี มีแรงพูดไม่หยุดจริงๆ! ฉันขอเตือนให้แกเก็บเสียงไว้แหกปากหลังจากนี้ดีกว่าไหม แกได้แหกปากเหม็นๆ นี่จนพอใจแน่” หลี่เฟยฮุ้ยพูดออกมาอย่างเหลืออด กับการแหกปากพ่นคำพูดหาความสำนึกไม่ได้นี่ ขณะยกเท้ากระทืบหนักๆ ลงบนร่างคุดคู้ที่พื้น เซี่ยเติ่งหลุนโดนลูกน้องของเฉินหวงช่าง พากลับมาขังไว้ก่อนหน้านี้ กำลังโดนสองแฝดบ้านหลี่จัดการทรมานระบายอารมณ์ หลังเหตุการณ์คืนวันงานเลี้ยงเมื่อวันก่อนหลายวันก่อนผ่านไป บ้านตระกูลหลี่และตระกูลเฉินทั้งสองบ้านได้ตกลงเกี่ยวดองกั