บทที่ 9 เรื่องน่ายินดีของครอบครัว
ซ่งผู่เย่วที่เห็นลูกสาวตัวน้อยตื่นมาแล้วก็คึกคัก อารมณ์ดีไม่มีร้องไห้งอแง เธอจึงยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะก้มลงหอมแก้มป่องๆ ของเจ้าเด็กรู้ความไปฟอด ใหญ่ “ตื่นมาก็อารมณ์ดีเชียวนะเจ้าตัวน้อย กินนมก่อนจะได้มีแรงเล่นกับคุณพ่อตอนเขากลับบ้านนะคะ” หลี่เฟยหย่ากินนมของคุณแม่เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง แม้จะไม่รู้สึกหิวจากการกินน้ำมรกตในมิติไปแล้วก็ตาม เธออยากจะเล่าเรื่องมิติของเธอให้คุณพ่อคุณแม่ และทุกคนในครอบครัวฟังจริงๆ และจะไม่มีใครทำอันตรายเธอได้แน่นอน เพราะเธอไม่ได้แค่สำรวจมิติอย่างเดียว เวลาสามชั่วโมงในนั้นระหว่างที่เธอสำรวจมิติ มีเสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าเฟยเฟยพูดจ้อไม่หยุดอยู่ตลอด เล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้ ได้พูดเสริมขึ้นมาว่าน้ำตกมรกตนั่น ถ้าอยากให้ใครภักดีและไม่คิดร้ายกับเธอ ต้องเอาดอกกล้วยไม้ที่รังของมันไปแช่ในน้ำตกมรกตก่อนให้คนอื่นดื่ม เจ้าตัวน้อยเสียดายมากอยากให้คนในครอบครัวใช้ของดีๆ จากห้างสรรพสินค้าของเธอ และพาพี่ชายฝาแฝดไปล่องเรือเล่นจริงๆ เธอสามารถพาคนอื่นเข้าไปในมิติได้ เมื่อทุกคนกินน้ำตกมรกตแช่ดอกกล้วยไม้แล้วเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่มีความลังเลที่จะบอกพวกเขาเรื่องมิติ เธออยากเอาเจ้าเฟยเฟยน้อย เพื่อนใหม่ช่างจ้อของเธอมาแนะนำให้ทุกคนในครอบครัวรู้จักอีกด้วย ทุกคนต้องชอบแน่นอนเพราะมันน่ารักมาก รอเธอโตพอที่จะพูดรู้เรื่องก่อนแล้วกัน ค่อยทำตามที่ตั้งใจไว้ตอนนี้ แต่ก่อนอื่นร่างกายคุณแม่สำคัญที่สุด เธอวางแผนว่าต่อไปจะคอยแอบหยดน้ำตกมรกต ใส่ในอาหารคุณแม่ให้เธอกินทุกวันร่างกายจะได้ฟื้นฟูโดยเร็ว ทางด้านหลี่เฟยหลง เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วเขาก็รีบเก็บของกลับบ้านทันที เหมือนถูกไฟลนก้นก็ไม่ปาน กลับถึงบ้านแล้วก็เดินถือซองเอกสารสีน้ำตาลเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี มีรอยยิ้มนิดๆ ติดมุมปากทั้งที่ปกติ จะชอบทำหน้าเรียบนิ่งอยู่ตลอดแท้ๆ คุณย่าจางพึ่งเข้าไปอุ้มหลานสาว ออกมานั่งเล่นกับคุณปู่หลี่ด้านนอก ปล่อยให้ลูกสะใภ้ของเธอนอนอยู่ไฟในห้องได้สะดวก ใกล้กันมีสองแฝดนั่งเล่นกับน้องสาวตัวน้อย ที่ส่งเสียงอ้อแอ้คุยกับเหล่าพี่ชายอย่างสดใส คนพี่ก็คอยส่งเสียงตอบกลับ ราวกับว่าคุยกันรู้เรื่องอยู่ใกล้ๆ “มีเรื่องดีอะไรรึเปล่าอาหรง เดินยิ้มมาแต่ไกลเชียว” คุณย่าจางอดทักลูกชายของเธอไม่ได้จริงๆ ปกติเขาจะไม่มีทางเดินยิ้มกริ่มเหมือนมีเรื่องดีๆ จนเก็บอาการไม่อยู่อย่างนี้เลย “เรื่องน่ายินดีน่ะครับคุณแม่ วันนี้มีเรื่องดีเยอะไปหน่อยน่ะครับ ผมเลยอารมณ์ดีมากอย่างที่เห็น” หลี่เฟยหรงตอบคุณแม่ของเขาด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้น ก่อนจะยื่นซองเอกสารให้คุณย่าจางเปิดอ่านเรื่องน่ายินดีของเขา หลังกลับไปทำงานในช่วงบ่ายต่อ เขาเห็นซองเอกสารวางอยู่ในห้องทำงาน พอเปิดอ่านจึงได้รู้ว่ามันคือ ใบตอบรับการอนุมัติขอเลื่อนขั้นของเขา ในตอนแรกชายหนุ่มยังไม่คิดจะบอกครอบครัว เพราะอยากจะเก็บเอาไว้บอกในวันฉลองครบเดือนลูกสาวของเขาให้ทุกคนรับรู้ข่าวดีนี้ แต่นั่นมันก็แค่ความคิดในแวบแรกเท่านั้น เพราะจะปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว คุณพ่อของเขายศสูงขนาดนั้นย่อมต้องรู้เรื่องก่อนถึงวันฉลองครบเดือนเจ้าตัวน้อยของเขาแน่นอน พอดีกับที่ซ่งหลี่เจี๋ยโทรมาบอกข่าวดีถึงการได้รับจดหมาย อนุมัติเลื่อนขั้นเหมือนกันพอดี เขาจึงบอกข่าวดีของเขากับอีกฝ่ายเช่นกัน รวมถึงเรื่องลูกสาวตัวน้อยที่พึ่งคลอดวันนี้ให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วย หลี่เจี๋ยดีใจมากกับข่าวดีทั้งหมดนี้ ที่สหายของเขาพึ่งบอกมา และยืนยันจะกลับไปปักกิ่ง ทันฉลองครบเดือนหลานสาวของเขาแน่นอน “นะ นี่! นี่มัน อาหรงถ้างั้นลูกก็ไม่ต้องรับภารกิจพวกนั้นอีกแล้วน่ะสิ! วันนี้ที่เป็นวันเกิดเฟยหย่าน้อยของเราช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ เลย” คุณย่าจางหลังจากอ่านเอกสารจบถึงกับพูดติดขัด ไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้มันจะดีได้ยังไงขนาดนี้ ดีใจมากจนหล่อนอยากจะร้องไห้ออกมาเลยจริงๆ “หย่าเออร์ หลานต้องเป็นเทพธิดาตัวน้อย มาเกิดในครอบครัวเราแน่ๆ เลยค่ะ” คุณย่าจางวางเอกสารลง หันไปอุ้มหลานสาวตัวน้อยแสนล้ำค่าของเธอขึ้นมากอดอย่างทะนุถนอม ปานเครื่องแก้วแสนเปราะบาง ด้วยความรักทั้งหมดของเธอ เฟยหย่านอนแอบฟังผู้ใหญ่คุยกัน รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง และคิดว่าคืนนี้จะเข้าไปถามข้อมูลครอบครัว จากเจ้านกน้อยเฟยเฟย คุณปู่หลี่ยิ้มยินดีออกมาก่อนยกมือขึ้นตบไหล่ลูกชายคนเดียวของเขาเบาๆ รู้สึกภูมิใจกับความสำเร็จอีกขั้นของลูกชาย “ยินดีกับแกด้วย ต่อไปนี่จะได้อยู่กับครอบครัวอย่างสบายใจแล้วนะ” “คุณพ่อยินดีด้วยนะครับ ต่อไปพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันบ่อยๆ แล้ว” หลี่เฟยฮุ้ยกล่าวคำยินดีกับคุณพ่อของเขา ถึงเวลาคุณพ่ออยู่บ้าน แล้วชอบทำตัวติดกับคุณแม่ แย่งความสนใจไปจากพวกเขาบ่อยๆ แต่พวกเขาโตแล้วจะยอมให้หน่อยก็ได้ “ยินดีด้วยครับคุณพ่อ ถ้าคุณแม่รู้ข้าวดีนี้ คุณแม่จะต้องดีใจแน่ครับ เธอคงไม่ต้องเศร้าอีก เวลาคุณพ่อออกไปทำงานไกลๆ” หลี่เฟยเจินเด็กชายผู้ซื่อตรงของบ้าน พูดจบก็เดินเข้าไปกอดคนพ่อของเขาแสดงความยินดี ที่พ่อได้เลื่อนตำแหน่ง และดีใจที่ต่อไปคุณแม่จะไม่เศร้า เมื่อพ่อออกไปทำงานไกลๆ อย่างที่ผ่านมา อย่าเห็นว่าสองแฝดอายุแค่เก้าขวบ จะยังเป็นเด็กไม่รู้ความ พวกเขาทั้งสองคนฉลาดมาก ความคิดของพวกเขาเทียบเท่ากับผู้ใหญ่คนหนึ่งเลยทีเดียว ด้วยถูกคุณปู่หลี่และหลี่เฟยหรง เลี้ยงดูมาอย่างเคร่งครัดพวกเขาต้องฝึกลับสมองกันบ่อยๆ กับคุณปู่และคุณพ่อของพวกเขา ไหวพริบของสองแฝดจึงไม่ธรรมดาอีกด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัว พวกเขาจึงรับรู้เป็นอย่างดี เพราะผู้ใหญ่ในครอบครัวไม่เคยปิดกั้นพวกเขา เพื่อไม่ให้เติบโตขึ้นมาโดยไม่รู้เรื่องอะไรเลย รวมถึงเหตุผลที่ครอบครัวของคุณแม่ของพวกเขา ไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งเหมือนเมื่อก่อนอีกด้วย “ไม่ต้องห่วงคุณแม่ของลูกจะไม่เศร้าอีกแล้ว พ่อจะอยู่กับพวกลูกไม่ออกไปทำงานไกลบ้าน และหายไปนานๆ อีกแล้ว ขอบคุณลูกสองคนที่ไม่เคยงอแง และรู้ความมาตลอด” หลี่เฟยหรงกอดตอบเสี่ยวเจินแน่นๆ และดึงเสี่ยวฮุ้ยลูกชายจอมวางมาดของเขาเข้ามากอดด้วยกันอีกคน หลี่เฟยหย่าเทพธิดาตัวน้อยของคุณย่าจาง นอนมองภาพแสนอบอุ่นสุดน่ารักตรงหน้า ในอ้อมกอดของคุณย่าจาง ฉีกยิ้มกว้างดีดแขนขาเล็กๆ ไปมาอย่างร่าเริง กับบรรยากาศอบอุ่นของครอบครัว เธอเห็นชัดเจนแล้วว่าครอบครัวใหม่ของเธอ ดีไม่แพ้ครอบครัวเก่าเลยจริงๆบทที่ 50 ชีวิตคู่ที่ถูกเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ จบคำสารภาพรักด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นการยืนยัน พ่อหนุ่มเจ้าน้ำตาที่ก้มหน้าหลุบตาลงมองต่ำดูเศร้าสร้อย พานให้คนมองใจอ่อนยวบแอบชะงักไปหนึ่งจังหวะเล็กๆ ซ่อนสีหน้าดีใจไว้ได้อย่างมิดชิด ถึงได้ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับดวงตากลมโต ที่จ้องมองมาอย่างต้องการยืนยันคำพูดจากใจจริงของเธออย่างน่าเอ็นดู คนพี่เม้มปากข่มใจไม่ให้หลงอ่อนข้อไปกับความน่ารักตรงหน้า เขาเล่นใหญ่สวมบทคนรักจิตใจอ่อนไหวขี้น้อยใจขนาดนี้แล้ว ต้องเอาคนตัวเล็กตรงหน้าให้อยู่หมัด “ถ้าน้องยืนยันอย่างหนักแน่นขนาดนี้พี่ก็เชื่อจนหมดใจแล้วครับ พี่ก็รักหย่าเออร์มากขึ้นในทุกๆ วันเหมือนกัน สัญญาแล้วนะครับ หลังเรียนจบแต่งเลยทันที” “ค่ะ! ไม่ผิดสัญญาแน่ค่ะ” “ครับ… ดีมากครับเด็กน่ารักต้องไม่ผิดสัญญา แต่….” คนเจ้าแผนการเริ่มคิดอยากกลับมาแผลงฤทธิ์อีกครั้งแล้ว “อะ อะไรคะ! ตะ แต่อะไรถามน้องมาให้หมดเลยค่ะ พี่ช่างอยากรู้อะไรน้องจะตอบทุกเรื่องเลย” คนน้องหลงคิดว่าคนพี่จะหมดข้อข้องใจแล้ว เพราะเขาก็บอกรักเธอกลั
บทที่ 49 สวมบทพ่อหนุ่มเจ้าน้ำตา หลังกอดปลอบเพื่อนสาวจนหายน้อยใจแล้ว หวงหนิงอ้ายก็ขอแยกตัวไปนั่งตรงโซนบาร์เครื่องดื่ม ด้วยรู้ว่าเพื่อนตัวน้อยต้องขึ้นไปหาคู่หมั้นหนุ่มที่ห้องทำงาน เหมือนทุกครั้งที่พวกเขาพากันมาที่นี่ “หยะ-…” ……. “อ๋า! น้องสาว... หย่าเออร์ เลิกเรียนแล้ว น้องกินอะไรมารึยัง หิวรึเปล่า วันนี้เรียนหนักรึเปล่า ถ้าเหนื่อยเกินไปน้องเปลี่ยนคณะที่เรียนใหม่ได้นะ…” พอเปิดประตูห้องทำงานใหญ่ของสามหนุ่มเพื่อนสนิทเข้ามา หวงหนิงเฉิงที่ความรู้สึกไวที่สุดและรอคนรักอย่างใจจดใจจ่ออยู่ก่อนแล้ว เอ่ยเรียกคู่หมั้นตัวน้อยยังไม่ทันจบ เจ้าเพื่อนรักแฝดคนพี่รีบทิ้งปากกาในมืออย่างของไร้ความหมาย ก่อนแกล้งส่งเสียงแปร๋นอย่างแตกสาวกลบเสียงเพื่อนสนิทจนไม่ได้ยิน พร้อมกันนั้นเจ้าเพื่อนแฝดคนน้องก็ลุกจากที่นั่งไปโอบน้องน้อยของพวกเขา พามานั่งเบียดกันสามคนบนโซฟาตัวเดียวกัน ทำเมินเพื่อนหนุ่มราวกับห้องนี้มีกันอยู่แค่พวกเขาสามพี่น้อง “……..” คนถูกเมินได้แต่ยืนกอดอกพิงสะโพกกับโต๊ะทำงานตัวใหญ่รอให้มองทั้งสามนั่งกอดกันกลม
บทที่ 48 ยอมรับความแตกต่าง เมื่อไม่มีใครเป็นอะไรพวกเขาจึงแยกกันกลับบ้าน เหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก้าวผ่านร่างของสวีหยู่เยียนซึ่งกำลังโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บร่าง และสืบสวนเรื่องราวเพื่อนดำเนินคดีต่อไป มันก็เป็นแค่เรื่องร้ายๆ เรื่องหนึ่งที่อาจจะหนักหน่อย ผ่านพ้นไปได้อีกเรื่องในวัยสิบหกปีของพวกเขา ภายหลังผลคดีจากการสืบสวนออกมาอีกว่า สวีหยู่เยียนฆ่าชายพนักงานโรงแรมรัฐแห่งหนึ่งตาย แต่ก่อนการลงมือฆาตกรรม เพื่อนข้างห้องได้ยินเสียงทำร้ายร่างกายด่าทอตบตีกัน มีการข่มขู่ทรมานเอาเงินจากเธอแถมยังกักขังสวีหยู่เยียนไว้ในห้องไว้ข่มขืนซ้ำๆ ไม่ปล่อยเธอออกจากห้องจนสุดท้ายเธอจึงก่อเหตุลงมือกับชายคนนั้น นี่อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เธอสติหลุด จากเรื่องที่ชายคนนั้นทำเรื่องเลวทรามกับเธอ ส่วนแม่ที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอ ก็ได้หอบเงินหนีไปก่อนแล้วตอนที่เซี่ยเหว่ยพ่อเลี้ยงของเธอโดนจับ ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวที่บ้านหลังนั้นโดยที่มีเซี่ยเติ้งหลุนคอยเข้าออกบ้างยามต้องการใช้ประโยชน์จากเธอ หลังเรื่องราววุ่นวายจบลง บรรดาผู้คนรอบตัวของหลี่เฟยหย่าทั้งค
บทที่ 47 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 2/2 สวีหยู่เยียนเลือกมาอาละวาดก่อเรื่องในเวลาเลิกเรียนพอดี คนในส่วนหน้าโรงเรียนจึงเยอะ พวกเขาต่างพากันลนลานวิ่งหาที่หลบลูกกระสุนที่ถูกปล่อยออกมาในบางจังหวะที่สวีหยู่เยียนคลุ้มคลั่ง สวนสวยเพื่อนั่งเล่นและเป็นซุ้มรอรถตรงนี้ เหล่าคนในโรงเรียนจะรู้กัน ว่าเป็นที่นั่งของเหล่าลูกหลานคนมีเงินเพื่อมานั่งรอรถที่บ้านมารับ กลุ่มที่รู้ฐานะตัวเองพวกเขามักจะหลีกเลี่ยงไม่มานั่งที่นี่ ถึงแม้พื้นที่ตรงนี้ไม่ได้แบ่งแยกให้ใครนั่งได้หรือไม่ได้ เมื่อปฏิบัติต่อๆ กันมาเรื่อยๆ หลักปีนานเข้า มันก็กลายเป็นพื้นที่อภิสิทธิ์เฉพาะไปโดยปริยาย ถึงพวกเขาจะก้มลงหมอบหาที่หลบซ่อนตัวแล้ว แต่สวีหยู่เยียนที่กำลังเดินผ่านเพื่อไปยังซุ้มตรงที่หลี่เฟยหย่าหลบอยู่ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็น กลุ่มคนที่เธอเคยไปมีเรื่องด้วยเพราะความอิจฉาอยู่หลายคนทีเดียว “ฮ่าๆ! อ้อ… ฉันก็เผลอแปลกใจไปแวบหนึ่ง ที่เจอพวกคนสารเลวชอบทำตัวสูงส่งอย่างพวกแกไป ลืมไปได้ยังไงกันนะ แหม! ก็นี่มันสวนชนชั้นสูงของพวกแกนี่นา ดี! จะได้ไม่ต้องไปตามคิดบัญชีนังพวกที่ชอบดูถูกฉันให้เหนื่อ
บทที่ 46 ความขาดสติจนกลายเป็นความบ้าคลั่ง 1/2 หลังกลับมาจากค่ายนอกเมืองแล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ โดยลากเพื่อนสนิททั้งสองมาเคลียร์เอกสาร ที่เหมือนทำเท่าไรก็ไม่หมดในส่วนของพวกเขา ที่บางครั้งเฉินหวงช่างต้องรับมาทำ เพราะสองพี่น้องมีงานต้องออกไปทำนอกพื้นที่ตลอด จนหาเวลานั่งติดเก้าอี้เคลียร์เอกสารน้อยเหลือเกิน วันนี้อยู่ด้วยกันแล้วถือโอกาสเปิดห้องประชุมไปด้วยเลยแล้วกัน หลี่เฟยฮุ้ยและหลี่เฟยเจินหลังจากนี้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนเข้ามายังตลาดลับ ที่พวกเขาร่วมลงทุนอีก คนที่เป็นเจ้านายใหญ่โดยถือเปอร์เซ็นถึง70% เลยคือเฉินหวงช่าง ส่วนสองแฝดถือคนละ 15% เมื่อหลายเดือนก่อน หยางต้าหยวนที่ถือเปอร์เซ็นอยู่ 7% อยู่ๆ ก็คิดขายคืนให้เฉินหวงช่าง ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้มีคำถามขอคำอธิบายใดๆ ให้หยางต้าหยวนตอบ เขาเพียงทำเอกสารการรับซื้อยื่นให้อีกฝ่ายเซ็น พร้อมกับให้ลูกน้องไปเอาเงินถึงสองกระเป๋าใหญ่ ส่งให้หยางต้าหยวนง่ายๆ เท่านั้น “พวกนายไปขอให้คุณลุงหลี่เจี๋ย ปล่อยข่าวการรับสมัครบอดี้การ์ดให้กับทหารปลดเกษียณที่ค่ายทางใต้ด้วยแล้วกัน” เฉินหวงช่างบอกสหายหลั
บทที่ 45 ทรมานเจ้าคนน่าขนลุก NC 🔥ชน/ช รุนแรง* ผัวะๆ!! “อ่า!... อ๊ากกก! ปล่อยฉันๆ! พวกแกมันก็ค้าขายทำลายชาติไม่ต่างจากฉันนี่ แล้วจะมาทำลายพวกเดียวกันทำไม ฮะ! อั่ก!!” เซี่ยเติ้งหลุนที่โดนฝ่าเท้าหนักๆ สองพี่น้องบ้านหลี่รุมอย่างไม่ยั้งแรง ร้องตะโกนโต้แย้งอย่างสู้อะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูจะยังแข็งแรงดีมากๆ อยู่บ่งบอกถึงความถึกที่ซ่อนไว้ ขัดแย้งกับภาพลักษณ์คุณชายแสนสุภาพเจ้าสำอางที่แสดงให้เห็นไปก่อนหน้า พลั่กๆ!! “เหอะ! ไอ้เวร สารเลวนี่มันปากดี มีแรงพูดไม่หยุดจริงๆ! ฉันขอเตือนให้แกเก็บเสียงไว้แหกปากหลังจากนี้ดีกว่าไหม แกได้แหกปากเหม็นๆ นี่จนพอใจแน่” หลี่เฟยฮุ้ยพูดออกมาอย่างเหลืออด กับการแหกปากพ่นคำพูดหาความสำนึกไม่ได้นี่ ขณะยกเท้ากระทืบหนักๆ ลงบนร่างคุดคู้ที่พื้น เซี่ยเติ่งหลุนโดนลูกน้องของเฉินหวงช่าง พากลับมาขังไว้ก่อนหน้านี้ กำลังโดนสองแฝดบ้านหลี่จัดการทรมานระบายอารมณ์ หลังเหตุการณ์คืนวันงานเลี้ยงเมื่อวันก่อนหลายวันก่อนผ่านไป บ้านตระกูลหลี่และตระกูลเฉินทั้งสองบ้านได้ตกลงเกี่ยวดองกั