ดูแล้วนี่คงไม่ใช่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งแต่เป็นเขาได้ย้อนกลับมากลับมาจริงๆ
ภาพใบหน้าของนางที่สะอื้อร้อนไห้ออกมาปานใจจะขาดซ้ำยังบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก่อนที่จะตายไปยังคงดังสะท้อนอยู่ในหู ในตอนนั้น แม้ตายไปแล้วเขาก็ไม่นึกเสียดาย ทั้งได้ปกป้องนางและลูกในท้องให้ปลอดภัยได้ก็รับว่าพอแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาที่ตายไปแล้วสมควรจะลงปรโลกเพื่อไปดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งมิใช่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงได้มานั่งหายใจอยู่ที่ได้ ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะปกป้องนางเอาไว้ได้จริงๆ หรือไม่? ซ่งเจิ้งอี้เงยหน้าละจากจอกน้ำชาตรงหน้าเพ่งมองกู้เหยียนสหายวัยเยาว์ที่โตมาด้วยกัน ดวงตาคมกริบฉายแววจริงจัง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแน่วแน่ “คุณหนูใหญ่สกุลหลินจะขึ้นเกี้ยวแต่งออกไปเมื่อใดกัน” หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเขาได้ย้อนกลับมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่สายเกินไปที่จะรั้งนางและปกป้องลูกในท้องเข้าไว้ได้ หวนคืนกลับมาครานี้เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งใดไปทั้งสิ้น! หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เจือด้วยความหนักใหญ่ เขาเป็นสหายของบุรุษตรงหน้ามาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งตอนนี้ด็เรียกได้ว่าแทบจะตลอดชีวิตที่รู้จัก ไม่ว่านิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรเพียงแค่มองเแวบเดียวก็ล่วงรู้ถึงจิตใจแล้ว “นางอยากได้อำนาจ ทะเยินทะยานในสิ่งที่ไม่เคยมือ ข้าว่าเจ้าสมควรรีบตัดใจทิ้งซะดีกว่า ซ่งเจิ้นอี้…สตรีในเมืองหลวงและทั่วทั้งใต้หล้าใช่ว่าจะมีผู้เดียว” กู้เหยียนกล่าว น้ำเสียงเจือความประชดประชันและเหน็บแนม ดูสภาพของคนผู้นี้เสีย…ในขณะที่ตนเองกำลังอาลัยอาวรณ์คล้ายจะขาดลมหายใจตายไปได้หากไม่มีนางอยู่ข้างกาย แต่สตรีผู้นั้น คาดว่าปานนี้คงนั่งยิ้มใบหน้าระเรื่อฉีกถึงหูโดยหาได้รู้สึกผิดหรือเสียใจอันใดกับการกระทำเห็นแก่ตัว นอกจากกำลังยินดีโอ้อวดกับอำนาจที่ลอยอยู่บนอากาศกำลังจะคว้าเอาไว้ได้ คิดดูเสียทั้ง่ทีบุรุษในดวงใจกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นความตายอยู่ท่ามกลางสนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองและเมื่อที่จะได้คู่ควรพอที่จะเหมาะสมกลายเป็นสามีที่ดีในวันข้างหน้า ทว่าความซื่อสีตย์ก็เป็นได้เพียงแค่บมปากเท่านั้น นางกลับไปตกปากรับคำว่าจะแต่งออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายต่างแคว้นแทน…ไม่ว่าจะอำนาจ ทรัพย์สินเงินทองและฐานะที่จะได้ยกสูงขึ้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องหวั่นเกรง หากว่ากันตามตรงแล้ว แม้ยามนี้สหายของเขาย่อมไม่อาจเทียบและมอบให้นางได้ แต่ในวันข้างหน้าเล่า ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายคงได้กลายเป็นแม่ทัพแกร่งกาจของแคว้น ไม่ว่านางจะต้องการสิ่งใดย่อมไขว่คว้ามาให้ได้ทั้งสิ้น! ไฉนกลับไม่อดใจรอหน่อยเล่า พอเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้าก็รีบคว้าไว้เลยงั้นหรือ!? กู้เหยียนคิดแล้วก็อดที่จะสาดถ้อยคำด่าทอคุณหนหลินผู้นั้นในใจไม่ได้จริง เขามองสหายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอึ้งแทน ซ่งเจิ้นอี้ย่อมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้น ดวงตาคมกริบวูบไหวไปชั่วขณะ ภายในอกค่อยๆ รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาราวกับถูกบีบอยู่ในกำมือ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกัน เขาถึงได้รู้สึกว่า วันนั้นนางพูดเรื่องหนึ่งกลับเขา…ทว่าในช่วงเวลานั้นมความเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างจนไร้สติ ดวงตาพร่ามัว หูดับไม่ได้ยินสิ่งใดอีก ลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ก่อนที่สติจะดับวูบไป “ไม่มีผู้ใดเหมือนนาง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาราบเรียบแต่กับแฝงความหมายเอาไว้ลึกซึ้ง ต่อให้เมืองหลวงหรือใต้หล้านี้จะมีสตรีใดที่งดงามกว่านางแล้วอย่างไรกัน ทว่าในสายตาของเขานั้น นางย่อมงดงามที่สุดไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดเทียบได้ทั้งสิ้น ยามนั้นเป็นงานเลี้ยงชมบุปผาในวังหลวง ปลายฤดูเหมันต์ทว่ากลับยังมีหิมะโปรยปรายพร้อมกับกลีบดอกเหม่ยที่ผลิปลิวตามสายลมว่อนไปทั่วทั้งบริวเวณยิ่งทำให้ดูพื้นที่สวนแห่งนั้นดูคล้ายกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะขุนนางฐานะต่ำต้อยไปถึงสูงส่งล้วนได้รับเทียบเชิญจากวังหลวงให้เข้ารวมไม่แบ่งแยก ในยามนั้นซ่งเจิ้นอี้ที่เพิ่งกลับมาจากชายแดน เขายังไใทันได้พักหายใจให้ทั่วท้องกลับถูกกู้เหยียนรบเร้าและลากไปร่วมงานเลี้ยงด้วยโดยไม่ทันได้เอ่ยปากฏิเสธแม้แต่สักครึ่ง ซ่งเจิ้นอี้นับตั้งแต่สมัครเป็นทหารจนได้เลี้ยงขั้นเป็นรองแม่ทัพเฝ้าชายแดน วันๆ เขาล้วนอยู่แต่กับบุรุษ คลุกคลีอยู่กับความแข็งกระด้างไหนเลยจะคุ้นชินกลับการเลี้ยงฉาบหน้าในวังหลวงเช่นนี้กัน สำหรับเขานับว่าน่าเบื่อหน่ายไม่น้อย จนกระทั่งสหายที่เป็นถึงขุนนางในวันหลวงรู้จักผู้คนไม่ได้ได้หนีบเขาไปด้วยทุกที่ทักทายผู้คนจนเกือบทั่วจะครึ่งงานจนกระทั่ง ชั่วขณะนั้นกลับมีสตรีผู้หนึ่ง นางสวมใส่อาภรณ์เรียบหรูที่ทำจากผ้าไหมสีชมพูอ่อน ประดับลายกลีบดอกเหมยปักทอง เมื่อเดินผ่านหมู่ชนคล้ายกลับวิ่งหนีอะไรเสียมากกว่าจนชนเช้ากับเข้าอย่างจัง ชั่วอึดใหญ่นั้น โชคดีนักที่เขามีสติรีบประคองคง้านางเอาไว้ได้ก่อนจะได้ล้มขมำลงพื้นท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งงาน และนั่นคือครั้งแรกที่ชะตาของเขาและนางพันผูกเข้าหากัน เพราะตอนนั้นนางกำลังตาถูกตาเฒ่าหัวงูตามตื้ออย่างไม่ลดละจึงเอาแต่หนีจนไม่ทันได้มองทางเข้าเลยชนเข้ากับเขา เมื่อสามสี่ก่อน ซ่งเจิ้นอี้ช่วยนางเอาไว้จนกลายเป็นบุญคุณที่ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งอยากจะตอบแทนและได้ถักทอสานสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกัน เขาไม่เคยล่วงเกินและให้เกียรตินางทุกอย่าง มิหนำซ้ำ ระหว่างนั้นก็ได้พบนางเพียงแค่ครั้งคราวเท่านั้นเพราะด้วยหน้าที่ที่แบกเอาไว้บนบ่าทำให้ไม่อาจปลีกตัวออกมาจากชายแดนได้นานนัก พอดีกลับช่วงนั้นเกิดการรุกรานเข้ามาในพื้นที่ของพวกกบฏ เขาและพี่ชายลงมือทำศึกปราบปรามความสงบอยู่นานเกือบปีกว่าจะสงบและได้ชัยชนะกลับมา ทางวังหลวงจัดงานเลี้ยงตอนรับอย่างยิ่งใหญ่แก่เหล่าทหารกล้าที่ปกป้องแคว้นและบ้านเมือง ยามนั้น ซ่งเจิ้นอี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็ดื่มสุราไปไม่น้อยทว่าก็หาได้เมามายจนไร้สติ เขาที่อยู่ชายแดนมาเนินนานไม่ได้เจอนางเกือบปีย่อมรู้สึกคะนึงหาไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้เจอกันนานเกือบปีหรืออย่างไร ความงามของนางกลับยิ่งบานสะพรั่งราวกับดอกไม้จนเขาลุ่มหลงโง่หัวไม่คิดและแทบจะควบคุมสติไม่ได้ เพียงแค่สัมผัสปลายนิ้วและน้ำเสียงหวานรื่นกูก็ทำให้เขาไร้สติไปได้อย่างง่ายดาย หากนางเอ่ยปากห้าม…เขาก็พร้อมที่จะหยุด ซ่งเจิ้นอี้ตั้งใจจะอดทนรอให้ถึงวันแต่งงานทว่านางกลับเอ่ยปากว่า นางเอก็คิดถึงเข้ามาเช่นกันทว่าผู้ใดจะคาดคิเล่าว่าภายหลังจากคืนนั้น เขากลับได้รับรู้ว่านางกำลังจะกลายเป็นภรรยาของบุรุษอื่นทั้งที่เมื่อคืนกลายเป็นของเขา! ยามนั้นเขาเข้าใจความรู้สึกเจ็บแปลบกลางอกได้ทัรที แม้ว่าจะไปเคาะประตูจวนสกุลหลินและยกแม่สื่อไปสู่ขอนางตามธรรมแล้วอย่างไร แต่กลับถูกนายท่านหลินไล่ตะเพิดตวาดด่าไม่ไว้หน้า มิหนำซ้ำแล้ว ความรู้สึกของเขาจะไม่ขาดสะบั้นหากวันนั้นไม่ได้เห็นกลับตาว่สนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเดียว ทั้งที่เมื่อคืนนางพร่ำพูดว่ารักเขา อยากใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขสไปจนผมขาวโพลนด้วยกัน มีบุตรสาวและบุตรสาวสักคนสองคนวิ่งเล่นส่งเสียงเจื้อยแจ้วรอบจวน เหตุใดทุกอย่างถึงกลายเป็นเช่นนี้ ถ้อยคำพูดที่ออกจาปากของนางในวันนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าคมดาบแทงทะลุเฉียดร่างเสียอีก นางกล่าวว่าเขาไม่มีในสิ่งที่นางต้องการและไม่ทีสิ่งใดที่จะเหมาะสมคู่ควรควรข้างให้นางลดตัวไปยุ่งเกี่ยว ยามนั้นก็เพียงแค่โง่งมไปชั่วขณะเท่านั้นแต่ยามนั้นกลับตาสว่างแล้ว มีเพียงอำนาจเท่านั้นที่นางต้องการ ทว่าเขากลับไม่อาจทำให้นางเป็นใหญ่ได้ ทั้งต่ำต้อย! ทั้งไม่มีอำนาจยิ่งกว่าขอทาน! นับแต่นั้น ความสัมพันธ์ของเขาและนางก็ขาดสะบั้นลงไม่เหลือแม้แต่เยื่อใย ห่างเหินราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักและข้องเกี่ยวกันมาก่อน จนกระทั่งวันนั้นมาถึง เขามองนางขึ้นเกี้ยวด้วยความรู้สึกเจ็บในอกที่ยังคงค้างคา มิหนำซ้ำแล้วยังต้องเสแสร้งว่าไม่เป็นอันใดและหาได้รู้สึกอันใด ซ่งเจิ้นอี้ควบม้านำขบวนเพื่อส่งนางไปให้ถึงมือของบุรุษอีก อย่างไรเสียครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอนางแล้ว ซ่งเจิ้นอี้ยังคงรักนางไม่น้อยแม้ว่าจะถูกม่านเมิน ถูกเหยียบย้ำด้วยรู้สึกบดขยี้จนแหลกอย่างไร้ค่า วันหนึ่งระหว่างทาง ถูกพวกโจรป่าดักทำร้ายเขาเลือกที่จะปกป้องนางด้วยชีวิต ทว่าแล้วเหตุใดทั้งที่คำพูดของนางที่พูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่าหาได้รู้สึกอันใดกลับเข้าแล้ว แต่พอเห็นเขากำลังจะตายไปกลับเอ่ยว่ารักเขา ยิางกว่านั้นแล้วยังกล่าว่ากำลังท้องอีก! ซ่งเจิ้นอี้ย่อมสับสนและงุนงงจนไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี กู้เหยียนมองเห็นสีหน้าจองสหายที่ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วมุ่นย่ำแย่ราวกับว่ามีเรื่องในใจที่ยังไม่คลาย ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว ใบหน้าที่เคร่งขรึมกลับยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “ไม่มีผู้ใดเหมือนนางแล้วอย่างไร ยามนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ซ่งเจิ้นอี้ คุณหนูหลินเอ่ยวาจาแทงใจดำขาดสะบั้นถึงเพียงนั้นตัดใจเสียซะ” ซ่งเจิ้นอี่ได้ยินแล้วหันขวับมองสหายตรงหน้าทันที ยามนั้นเป็นเขาที่ไม่หนักแน่นพอที่จะรั้งนางเอาไว้ แต่พอได้ควรกลับมาอีกครั้ง เขาขอพยายามที่ทำทุกทางเพื่อรักษานางเอาไว้หน่อยเถอะ หากทุกแรงแล้ว…ยามนั้นเขาจะปล่อยไปเอง ภาพใบหน้าคนงานที่เปื้อนน้ำตา ดวงตาคู่งามที่สั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ซ้ำน้ำเสรยงหวานเอ่ยพร่ำบอกรักเขาซ้ำๆ ในครา ซ่งเจิ้นอี่ยังจำได้ลืมเลือน ไม่แน่ว่านางคงต้องมีเหตุผลที่กลืนไม่เข้าคล้ายไม่ออกแน่ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น “ข้าจะตัดใจจากนางได้ง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้ารักนางมากถึงเพื่อนี้”เรื่องที่คุณหนูใหญ่ตั้งครรภ์ ภายหลังจากนั้นนายท่านหลินมีคำสั่งว่าห้ามผู้ใดพูดถึงและห้ามแพร่งพรายเรื่องเป็นอันขาด หรือหากวันใดวันหนึ่งเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงถูกนำมานินทาขึ้นมาย่อมมีต้นเหตุมาจากคนในจวน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนลงโทษไม่ยกเว้น!หลินซิ่วหรงหวนกลับมาได้เพียงแค่สองวันเท่านั้นเช้าวันถัดมาพอนางลืมตาตื่นขึ้น ก็หาได้มีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกอยากอาเจียนออกมาแต่อย่างไร ราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่นางพะอืดพะอมเหม็ทุกสิ่งอย่างจนหน้ามืดเป็นลมล้มไปคือแผนการของลูกในท้องก็ไม่ปานเกรงว่าเด็กผู้นี้คงดื้อรั้นและแสบไม่น้อยถึงได้กลั่นแกล้งนางถึงเพียงนั้นจนถูกจับได้วันนี้หลินซิ่วหรงกินอาหารได้มากกว่าเมื่อวาน ไม่ว่าจะตักสิ่งใดเข้าปากล้วนเอร็ดอร่อยหาได้รู้สึกเหม็นหืดแต่อย่างใด นางกินไม่หยุดจนรู้สึกว่าถูกสายตาของหลินซิ่วอัน มารดาและบิดามองด้วยความแปลกใจนัยน์ตาเมล็ดซิ่งช้อนขึ้นมองคนทั้งสามสลับกันไปมาก่อนจะกล่าวออกมาน้ำเสียงแห้งๆ “วันนี้พ่อครัวทำอร่อยนักเจ้าค่ะ”หลินซิ่วหรงกลบเกลื่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฝีมือของพ่อครัวที่ทำอาหารอร่อยหรือเป็นเพราะว่ายามนี้นางกำลังตักครรภ์กันแน่ถึงได้กินอะไรก็
ชาติก่อนหลินซิ่วหรงปกปิดความลับนี้เอาไว้อย่างไรก็ไม่มีทางคายออกมาหรือหลุดพูดเป็นอันขาด จนกระทั่งในตอนนั้น หากซ่งเจิ้นอี้ไม่ได้พ้นปกป้องนางจนลมหายใจสุดท้าย เกรงว่าความลับนี้ เขาก็คงไม่มีวันล่วงรู้ตลอดไปพอสิ้นคำนั้น ภายในเรือนเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม บรรยากาศเริ่มอึมครึ้มคล้ายกับมีกลุ่มม่านเมฆลอยฝนเหนือหัวอยู่ภายในเรือน ไม่ว่าผู้ใดได้ยินแล้วต่างก็ขมวดคิ้วมุ่นคล้ายไม่เชื่อทั้งสิ้นหลินฮูหยินยืนนิ่งอยู่นาน ใบหน้าเริ่มซีดเซียวลงเรื่อยๆ และลมหายใจเริ่มกระชันถี่ขึ้นจนบุตรสาวทั้งสองสังเกตเห็นจึงเริ่มเข้าไปประคองประกบสองข้างเอาไว้“ท่านแม่!” น้ำเสียงของหลินซิ่วอันร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เจื่อนลงไปแล้วยิ่งเจื่อนลงไปอีก“ท่านแม่นั่งพักก่อนเถอะเข้าค่ะ” หลินซิ่วหรงพูดพาค่อยๆ ประคองมารดาไปนั่งอยู่มุมหนึ่งภายในห้องบรรพชล นางเหลือบสายตาไปมองอิงหลันก่อนจะออกคำสั่ง “หาน้ำชาสักจอกมาให้ท่านแม่ดื่มผ่อนคลายเสียหน่อยและไปตามท่านหมอมาเสีย”“เจ้าค่ะ!” อิงหลันตอบเหล่าสาวใช้พอได้ยินเช่นนั้นแล้ว พลางเร่งรีบเบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครเกี่ยงกันไปมาหลินฮูหยินกล่าวออกมาเสียงแผ่วเบา “ไม่ต้อง…แม่หาได้
เช้าวันถัดมาหลินซิ่วหรงยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลหลินตั้งแต่เมื่อพลบค่ำวันก่อนจนกระทั่งสายวันถัดมาภายในเรือนเต็มไปด้วยเหล่าสาวใช้ในจวนที่พลัดเปลี่ยนมาเฝ้าคุณหนูใหญ่ด้วยเห็นใจและสงสารเต็มอก ทั้งที่นายท่านก็รู้ว่าในยามนี้นั้นคุณหนูกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ อยู่ แม้ว่าจะไม่เอ่ยปากสั่งให้ดื่มยาขับเลือดทว่าการที่เอาแต่ยืนเช่นนี้ย่อมไม่ต่างกันอย่างไรก็ไม่มีทางใดดีต่อคุณหนูใหญ่ทั้งสิ้นถึงแม้ว่าความผิดของคุณหนูใหญ่จะเป็นเรื่องใหญ่โตมากก็จริงแต่ทว่าที่ผ่านมาคุณหนูย่อมไม่เคยทำผิดมาก่อน ไม่ว่านายท่านและฮูหยินอบรมสั่งสอนสิ่งใดย่อมเชื่อฟัง พวกนางล้วนไม่เคยได้ยินคุณหนูเถียงกลับแม้แต่สักครึ่งคำด้วยซ้ำไฉนจะนำมาหักล้างความผิดในครั้งนี้ไม่ได้กัน อีกทั้งไม่ว่าจะฮูหยินหรือคุณหนูเล็กล้วนมาคุกเข้าอ้อนวอนก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี มิหนำซ้ำยังถูกนายท่านข่มขู่ว่าจะลงโทษคนทั้งคู่ไปด้วยอีกพวกนางเป็นสาวใช้พอเห็นเหตุการณ์นี้ ย่อมรู้สึกสะเทือนใจอยู่มากทว่ากลับไม่สามารถเอ่ยปากพูดอันใดได้นัยน์ตาเมล็ดซิ่วจับจ้องมองแผ่นป้ายวิญญาณตรงหน้าทว่าหาได้รู้สึกผิด เสียใจหรือน้อยใจบิดาแต่อย่างใด นางกำลังพยายามนึกถึ
ดูแล้วนี่คงไม่ใช่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งแต่เป็นเขาได้ย้อนกลับมากลับมาจริงๆภาพใบหน้าของนางที่สะอื้อร้อนไห้ออกมาปานใจจะขาดซ้ำยังบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก่อนที่จะตายไปยังคงดังสะท้อนอยู่ในหู ในตอนนั้น แม้ตายไปแล้วเขาก็ไม่นึกเสียดาย ทั้งได้ปกป้องนางและลูกในท้องให้ปลอดภัยได้ก็รับว่าพอแล้วไม่ใช่ว่าเขาที่ตายไปแล้วสมควรจะลงปรโลกเพื่อไปดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งมิใช่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงได้มานั่งหายใจอยู่ที่ได้ ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้จริงๆไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะปกป้องนางเอาไว้ได้จริงๆ หรือไม่?ซ่งเจิ้งอี้เงยหน้าละจากจอกน้ำชาตรงหน้าเพ่งมองกู้เหยียนสหายวัยเยาว์ที่โตมาด้วยกัน ดวงตาคมกริบฉายแววจริงจัง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแน่วแน่ “คุณหนูใหญ่สกุลหลินจะขึ้นเกี้ยวแต่งออกไปเมื่อใดกัน”หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเขาได้ย้อนกลับมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่สายเกินไปที่จะรั้งนางและปกป้องลูกในท้องเข้าไว้ได้หวนคืนกลับมาครานี้เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งใดไปทั้งสิ้น!หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เจือด้วยความหนักใหญ่เขาเป็นสหายของบุรุษตรงหน้ามาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งต
หลินซิ่วหรงสะดุ้งขึ้นจากฝันนางหอบหายใจถี่จนหน้าอกกะนเพื่อมสั่นไหว ดวงตาคู่งามเพ่งมองเพดานขาวโพลนตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่ามัว หัวคิ้วเรียวค่อยๆ ขมวดมุ่นเข้าหากันช้าๆ ก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นนั่งท่ามกลางบรรยากาศที่ครุกขุ่นภายในห้องเหตุใดที่ไม่ได้ใช่ไม่ใช่กลางป่าหกร้างแตากลับเป็น…เป็นเรือนของนางแทน?หลินซิ่วหรงและมองสายตาขวาเห็นเหล่าสาวใช้ที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งยืนและนั่งยืนอยู่เต็มเรือนต่างก็มองนางกลับด้วยสีหน้างุนงงไมาแพ่กันไม่ใช่ว่านางตายไปแล้งหรอกหรือ!?ความรู้สึกเจ็บจากลมดาบที่ลำคอก็จะแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่าง นางยังคงจำได้ไม่ลืม…มือขาวเรียวพลางยกขึ้นรีบกอบกุมลำลอทันที นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองเหล่าสาวใช้ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่คสผู้หนึ่ง น้ำเสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถาม “ข้า…ยังไม่หรอกหรือ”หลินซิ่วหรงมั่นใจว่า เหตุกานณ์ในตอนนั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น…ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆดังนั้น…นางได้หวนกลับมางั้นหรือ!?เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้มีอยู่จริงๆ หรือ!?ทันใดนั้น ความสงสัยและคำถามมากมายแล่นขึ้นกลางอก เช่นนั้นแล้ว วันนี้เป็นวันที่เท่าไหร่แล้ว นางได้กลับมาตอนไหนกัน ระหว่างก่อนเกิดเรื่องวุ่นว