เข้าสู่ระบบดูแล้วนี่คงไม่ใช่เพียงฝันร้ายตื่นหนึ่งแต่เป็นเขาได้ย้อนกลับมากลับมาจริงๆ
ภาพใบหน้าของนางที่สะอื้อร้อนไห้ออกมาปานใจจะขาดซ้ำยังบอกเรื่องสำคัญให้เขารู้ก่อนที่จะตายไปยังคงดังสะท้อนอยู่ในหู ในตอนนั้น แม้ตายไปแล้วเขาก็ไม่นึกเสียดาย ทั้งได้ปกป้องนางและลูกในท้องให้ปลอดภัยได้ก็รับว่าพอแล้ว ไม่ใช่ว่าเขาที่ตายไปแล้วสมควรจะลงปรโลกเพื่อไปดื่มน้ำแกงลืมเลือนของยายเมิ่งมิใช่หรอกหรือ แต่เหตุใดถึงได้มานั่งหายใจอยู่ที่ได้ ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเขาไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาจะปกป้องนางเอาไว้ได้จริงๆ หรือไม่? ซ่งเจิ้งอี้เงยหน้าละจากจอกน้ำชาตรงหน้าเพ่งมองกู้เหยียนสหายวัยเยาว์ที่โตมาด้วยกัน ดวงตาคมกริบฉายแววจริงจัง น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามอย่างแน่วแน่ “คุณหนูใหญ่สกุลหลินจะขึ้นเกี้ยวแต่งออกไปเมื่อใดกัน” หากเป็นเช่นนั้นแล้ว หากเขาได้ย้อนกลับมาจริงๆ เกรงว่ายามนี้คงยังไม่สายเกินไปที่จะรั้งนางและปกป้องลูกในท้องเข้าไว้ได้ หวนคืนกลับมาครานี้เขาจะไม่ยอมเสียสิ่งใดไปทั้งสิ้น! หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่นเล็กน้อยก่อนจะตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่เจือด้วยความหนักใหญ่ เขาเป็นสหายของบุรุษตรงหน้ามาตั้งแต่วัยเยาว์จนกระทั่งตอนนี้ด็เรียกได้ว่าแทบจะตลอดชีวิตที่รู้จัก ไม่ว่านิสัยใจคอจะเป็นอย่างไรเพียงแค่มองเแวบเดียวก็ล่วงรู้ถึงจิตใจแล้ว “นางอยากได้อำนาจ ทะเยินทะยานในสิ่งที่ไม่เคยมือ ข้าว่าเจ้าสมควรรีบตัดใจทิ้งซะดีกว่า ซ่งเจิ้นอี้…สตรีในเมืองหลวงและทั่วทั้งใต้หล้าใช่ว่าจะมีผู้เดียว” กู้เหยียนกล่าว น้ำเสียงเจือความประชดประชันและเหน็บแนม ดูสภาพของคนผู้นี้เสีย…ในขณะที่ตนเองกำลังอาลัยอาวรณ์คล้ายจะขาดลมหายใจตายไปได้หากไม่มีนางอยู่ข้างกาย แต่สตรีผู้นั้น คาดว่าปานนี้คงนั่งยิ้มใบหน้าระเรื่อฉีกถึงหูโดยหาได้รู้สึกผิดหรือเสียใจอันใดกับการกระทำเห็นแก่ตัว นอกจากกำลังยินดีโอ้อวดกับอำนาจที่ลอยอยู่บนอากาศกำลังจะคว้าเอาไว้ได้ คิดดูเสียทั้ง่ทีบุรุษในดวงใจกำลังเผชิญหน้าอยู่กับความเป็นความตายอยู่ท่ามกลางสนามรบเพื่อปกป้องบ้านเมืองและเมื่อที่จะได้คู่ควรพอที่จะเหมาะสมกลายเป็นสามีที่ดีในวันข้างหน้า ทว่าความซื่อสีตย์ก็เป็นได้เพียงแค่บมปากเท่านั้น นางกลับไปตกปากรับคำว่าจะแต่งออกไปเชื่อมสัมพันธ์กับองค์ชายต่างแคว้นแทน…ไม่ว่าจะอำนาจ ทรัพย์สินเงินทองและฐานะที่จะได้ยกสูงขึ้นไม่ว่าผู้ใดก็ต้องหวั่นเกรง หากว่ากันตามตรงแล้ว แม้ยามนี้สหายของเขาย่อมไม่อาจเทียบและมอบให้นางได้ แต่ในวันข้างหน้าเล่า ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายคงได้กลายเป็นแม่ทัพแกร่งกาจของแคว้น ไม่ว่านางจะต้องการสิ่งใดย่อมไขว่คว้ามาให้ได้ทั้งสิ้น! ไฉนกลับไม่อดใจรอหน่อยเล่า พอเห็นเนื้อชิ้นใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้าก็รีบคว้าไว้เลยงั้นหรือ!? กู้เหยียนคิดแล้วก็อดที่จะสาดถ้อยคำด่าทอคุณหนหลินผู้นั้นในใจไม่ได้จริง เขามองสหายแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักอึ้งแทน ซ่งเจิ้นอี้ย่อมได้ยินประโยคก่อนหน้านั้น ดวงตาคมกริบวูบไหวไปชั่วขณะ ภายในอกค่อยๆ รู้สึกปวดหนึบขึ้นมาราวกับถูกบีบอยู่ในกำมือ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกัน เขาถึงได้รู้สึกว่า วันนั้นนางพูดเรื่องหนึ่งกลับเขา…ทว่าในช่วงเวลานั้นมความเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างจนไร้สติ ดวงตาพร่ามัว หูดับไม่ได้ยินสิ่งใดอีก ลมหายใจแผ่วลงเรื่อยๆ ก่อนที่สติจะดับวูบไป “ไม่มีผู้ใดเหมือนนาง” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยออกมาราบเรียบแต่กับแฝงความหมายเอาไว้ลึกซึ้ง ต่อให้เมืองหลวงหรือใต้หล้านี้จะมีสตรีใดที่งดงามกว่านางแล้วอย่างไรกัน ทว่าในสายตาของเขานั้น นางย่อมงดงามที่สุดไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดเทียบได้ทั้งสิ้น ยามนั้นเป็นงานเลี้ยงชมบุปผาในวังหลวง ปลายฤดูเหมันต์ทว่ากลับยังมีหิมะโปรยปรายพร้อมกับกลีบดอกเหม่ยที่ผลิปลิวตามสายลมว่อนไปทั่วทั้งบริวเวณยิ่งทำให้ดูพื้นที่สวนแห่งนั้นดูคล้ายกับแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน ไม่ว่าจะขุนนางฐานะต่ำต้อยไปถึงสูงส่งล้วนได้รับเทียบเชิญจากวังหลวงให้เข้ารวมไม่แบ่งแยก ในยามนั้นซ่งเจิ้นอี้ที่เพิ่งกลับมาจากชายแดน เขายังไใทันได้พักหายใจให้ทั่วท้องกลับถูกกู้เหยียนรบเร้าและลากไปร่วมงานเลี้ยงด้วยโดยไม่ทันได้เอ่ยปากฏิเสธแม้แต่สักครึ่ง ซ่งเจิ้นอี้นับตั้งแต่สมัครเป็นทหารจนได้เลี้ยงขั้นเป็นรองแม่ทัพเฝ้าชายแดน วันๆ เขาล้วนอยู่แต่กับบุรุษ คลุกคลีอยู่กับความแข็งกระด้างไหนเลยจะคุ้นชินกลับการเลี้ยงฉาบหน้าในวังหลวงเช่นนี้กัน สำหรับเขานับว่าน่าเบื่อหน่ายไม่น้อย จนกระทั่งสหายที่เป็นถึงขุนนางในวันหลวงรู้จักผู้คนไม่ได้ได้หนีบเขาไปด้วยทุกที่ทักทายผู้คนจนเกือบทั่วจะครึ่งงานจนกระทั่ง ชั่วขณะนั้นกลับมีสตรีผู้หนึ่ง นางสวมใส่อาภรณ์เรียบหรูที่ทำจากผ้าไหมสีชมพูอ่อน ประดับลายกลีบดอกเหมยปักทอง เมื่อเดินผ่านหมู่ชนคล้ายกลับวิ่งหนีอะไรเสียมากกว่าจนชนเช้ากับเข้าอย่างจัง ชั่วอึดใหญ่นั้น โชคดีนักที่เขามีสติรีบประคองคง้านางเอาไว้ได้ก่อนจะได้ล้มขมำลงพื้นท่ามกลางสายตาของผู้คนทั้งงาน และนั่นคือครั้งแรกที่ชะตาของเขาและนางพันผูกเข้าหากัน เพราะตอนนั้นนางกำลังตาถูกตาเฒ่าหัวงูตามตื้ออย่างไม่ลดละจึงเอาแต่หนีจนไม่ทันได้มองทางเข้าเลยชนเข้ากับเขา เมื่อสามสี่ก่อน ซ่งเจิ้นอี้ช่วยนางเอาไว้จนกลายเป็นบุญคุณที่ทำให้อีกฝ่ายซาบซึ้งอยากจะตอบแทนและได้ถักทอสานสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วยกัน เขาไม่เคยล่วงเกินและให้เกียรตินางทุกอย่าง มิหนำซ้ำ ระหว่างนั้นก็ได้พบนางเพียงแค่ครั้งคราวเท่านั้นเพราะด้วยหน้าที่ที่แบกเอาไว้บนบ่าทำให้ไม่อาจปลีกตัวออกมาจากชายแดนได้นานนัก พอดีกลับช่วงนั้นเกิดการรุกรานเข้ามาในพื้นที่ของพวกกบฏ เขาและพี่ชายลงมือทำศึกปราบปรามความสงบอยู่นานเกือบปีกว่าจะสงบและได้ชัยชนะกลับมา ทางวังหลวงจัดงานเลี้ยงตอนรับอย่างยิ่งใหญ่แก่เหล่าทหารกล้าที่ปกป้องแคว้นและบ้านเมือง ยามนั้น ซ่งเจิ้นอี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเองก็ดื่มสุราไปไม่น้อยทว่าก็หาได้เมามายจนไร้สติ เขาที่อยู่ชายแดนมาเนินนานไม่ได้เจอนางเกือบปีย่อมรู้สึกคะนึงหาไม่น้อย ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้เจอกันนานเกือบปีหรืออย่างไร ความงามของนางกลับยิ่งบานสะพรั่งราวกับดอกไม้จนเขาลุ่มหลงโง่หัวไม่คิดและแทบจะควบคุมสติไม่ได้ เพียงแค่สัมผัสปลายนิ้วและน้ำเสียงหวานรื่นกูก็ทำให้เขาไร้สติไปได้อย่างง่ายดาย หากนางเอ่ยปากห้าม…เขาก็พร้อมที่จะหยุด ซ่งเจิ้นอี้ตั้งใจจะอดทนรอให้ถึงวันแต่งงานทว่านางกลับเอ่ยปากว่า นางเอก็คิดถึงเข้ามาเช่นกันทว่าผู้ใดจะคาดคิเล่าว่าภายหลังจากคืนนั้น เขากลับได้รับรู้ว่านางกำลังจะกลายเป็นภรรยาของบุรุษอื่นทั้งที่เมื่อคืนกลายเป็นของเขา! ยามนั้นเขาเข้าใจความรู้สึกเจ็บแปลบกลางอกได้ทัรที แม้ว่าจะไปเคาะประตูจวนสกุลหลินและยกแม่สื่อไปสู่ขอนางตามธรรมแล้วอย่างไร แต่กลับถูกนายท่านหลินไล่ตะเพิดตวาดด่าไม่ไว้หน้า มิหนำซ้ำแล้ว ความรู้สึกของเขาจะไม่ขาดสะบั้นหากวันนั้นไม่ได้เห็นกลับตาว่สนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเพียงแค่ชั่วข้ามคืนเดียว ทั้งที่เมื่อคืนนางพร่ำพูดว่ารักเขา อยากใช้ชีวิตอยู่เคียงข้างเขสไปจนผมขาวโพลนด้วยกัน มีบุตรสาวและบุตรสาวสักคนสองคนวิ่งเล่นส่งเสียงเจื้อยแจ้วรอบจวน เหตุใดทุกอย่างถึงกลายเป็นเช่นนี้ ถ้อยคำพูดที่ออกจาปากของนางในวันนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าคมดาบแทงทะลุเฉียดร่างเสียอีก นางกล่าวว่าเขาไม่มีในสิ่งที่นางต้องการและไม่ทีสิ่งใดที่จะเหมาะสมคู่ควรควรข้างให้นางลดตัวไปยุ่งเกี่ยว ยามนั้นก็เพียงแค่โง่งมไปชั่วขณะเท่านั้นแต่ยามนั้นกลับตาสว่างแล้ว มีเพียงอำนาจเท่านั้นที่นางต้องการ ทว่าเขากลับไม่อาจทำให้นางเป็นใหญ่ได้ ทั้งต่ำต้อย! ทั้งไม่มีอำนาจยิ่งกว่าขอทาน! นับแต่นั้น ความสัมพันธ์ของเขาและนางก็ขาดสะบั้นลงไม่เหลือแม้แต่เยื่อใย ห่างเหินราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักและข้องเกี่ยวกันมาก่อน จนกระทั่งวันนั้นมาถึง เขามองนางขึ้นเกี้ยวด้วยความรู้สึกเจ็บในอกที่ยังคงค้างคา มิหนำซ้ำแล้วยังต้องเสแสร้งว่าไม่เป็นอันใดและหาได้รู้สึกอันใด ซ่งเจิ้นอี้ควบม้านำขบวนเพื่อส่งนางไปให้ถึงมือของบุรุษอีก อย่างไรเสียครั้งนี้ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอนางแล้ว ซ่งเจิ้นอี้ยังคงรักนางไม่น้อยแม้ว่าจะถูกม่านเมิน ถูกเหยียบย้ำด้วยรู้สึกบดขยี้จนแหลกอย่างไร้ค่า วันหนึ่งระหว่างทาง ถูกพวกโจรป่าดักทำร้ายเขาเลือกที่จะปกป้องนางด้วยชีวิต ทว่าแล้วเหตุใดทั้งที่คำพูดของนางที่พูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่าหาได้รู้สึกอันใดกลับเข้าแล้ว แต่พอเห็นเขากำลังจะตายไปกลับเอ่ยว่ารักเขา ยิางกว่านั้นแล้วยังกล่าว่ากำลังท้องอีก! ซ่งเจิ้นอี้ย่อมสับสนและงุนงงจนไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี กู้เหยียนมองเห็นสีหน้าจองสหายที่ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้วมุ่นย่ำแย่ราวกับว่ามีเรื่องในใจที่ยังไม่คลาย ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว ใบหน้าที่เคร่งขรึมกลับยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “ไม่มีผู้ใดเหมือนนางแล้วอย่างไร ยามนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ซ่งเจิ้นอี้ คุณหนูหลินเอ่ยวาจาแทงใจดำขาดสะบั้นถึงเพียงนั้นตัดใจเสียซะ” ซ่งเจิ้นอี่ได้ยินแล้วหันขวับมองสหายตรงหน้าทันที ยามนั้นเป็นเขาที่ไม่หนักแน่นพอที่จะรั้งนางเอาไว้ แต่พอได้ควรกลับมาอีกครั้ง เขาขอพยายามที่ทำทุกทางเพื่อรักษานางเอาไว้หน่อยเถอะ หากทุกแรงแล้ว…ยามนั้นเขาจะปล่อยไปเอง ภาพใบหน้าคนงานที่เปื้อนน้ำตา ดวงตาคู่งามที่สั่นระริกด้วยความเจ็บปวด ซ้ำน้ำเสรยงหวานเอ่ยพร่ำบอกรักเขาซ้ำๆ ในครา ซ่งเจิ้นอี่ยังจำได้ลืมเลือน ไม่แน่ว่านางคงต้องมีเหตุผลที่กลืนไม่เข้าคล้ายไม่ออกแน่ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยขึ้น “ข้าจะตัดใจจากนางได้ง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ในเมื่อข้ารักนางมากถึงเพื่อนี้”หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบ ซ่งเจิ้งอี้ก็จัดการยกแม่สื่อมาทาบทามขอนางอีกครั้งตามธรรมเนียม แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยถูกนายท่านหลินขับไล่ออกจากจวนไปแล้วก็ตามแต่ก็ยังไม่เข็ดซ้ำยามนี้ นางก็ตั้งครรภ์อยู่ แม้ท้องจะขยายใหญ่ขึ้นจนทำให้การเคลื่อนไหวไม่คล่องนักและก็หาได้อยากเร่งรัดการแต่งงานนัก หากจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปก่อนแล้วค่อยจัดพิธีให้สมเกียรติภายหลังจากที่นางคลอดก็ยังทันทว่าซ่งเจิ้งอี้กลับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า เพียงเท่านี้ก็ทำให้สกุลหลินและนางเสียเกียรติไปไม่น้อยแล้ว เรื่องนี้สมควรต้องทำให้ถูกต้องตามธรรมเนียม ทั้งสามหนังสือและหกพิธีการต้องครบถ้วน จะได้ไม่มีผู้ใดครหาหรือสบประมาทได้!และเขายังประกาศเจตนาอย่างชัดเจนว่า ต้องการเป็นสามีของนางโดยแท้ และยังต้องการอยากป่าวประกาศให้คนทั่วทั้งเมืองหลวงรู้ว่า คุณหนูใหญ่สกุลหลินได้ออกเรือนแล้ว มีวานแต่งที่ยิ่งใหญ่เอิกเกริกสมเกียรติ ทั้งขบวนสินเดิมหรือสินสอดของเจ้าสาวนั้นยาวเหยียดเรียงยาวหลายหีบจนนั้นไม่ถ้วนมิหนำซ้ำแล้ว ต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดไม่แพ้สตรีใด!แม้ว่าจะขัดใจนายท่านหลินไปบ้าง แต่หลินฮูหยินกลับออกหน้าตัดสินทุกอย่างโดยไม่รอความเห็นจาก
หลายวันผ่านไปหลินซิ่วหรงไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะคลี่คลายและสงบลงได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ นางไม่ต้องกลายเป็นสตรีบรรณาการขึ้นเกี้ยวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์และไม่ถูกบิดาบังคับให้ฝืนใจแต่งกับบุรุษใดอีกภายหลังเหตุการณ์วันนั้น ซ่งเจิ้งอี้กล่าวว่าสถานการณ์ในวังหลวงยังไม่สงบนัก แม้องค์ชายอวิ๋นจะปฏิเสธการแต่งงานกับนางไปแล้ว แต่ใช่ว่าฝั่งแคว้นอวิ๋นจะยอมรับโดยง่าย ซ้ำเกรงว่าฮ่องเต้จากแคว้นอวิ๋นก็คงไม่พอใจหากรู้เรื่องนี้ไปถึงหู เพื่อแก้ไขปัญหาในตอนนี้และที่จะตามมาในภายหลัง ซ่งเจิ้งอี้จึงตัดสินใจควบม้าออกเดินทางพร้อมพี่ชายไปยังแคว้นอวิ๋นด้วยตัวเองทว่าก็ล่วงเลยมาหลายวันแล้ว ก่อนจะออกเดินทางนั้น เขาบอกว่าจะกลับมาวันนี้แต่ยามนี้ไร้วี่แววตลอดทั้งเช้า หลินซิ่วหรงเอาแต่เฝ้ารออย่างกระวนกระวาย พอยามบ่ายก็ส่งคนไปที่สกุลซ่งแต่กลับได้รับคำตอบเพียงว่า พวกเขายังไม่กลับมา นางได้แต่นั่งเหม่ออยู่กลางลานจวน สายตาจับจ้องไปยังบานประตูราวกับหวังจะเห็นเงาร่างที่รอคอย ภายในใจพลางเต็มไปด้วยความกังวลที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเรื่อยนางภาวนาให้เขากลับมาปลอดภัย แต่ลึกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำครั้งนี้ราวกับเป็นการฉีกหน้าแคว้นอวิ๋น
ความเงียบแผ่ครอบคลุมท้องทั่วพระโรง หลังจากอวิ๋นเซียวปรากฏตัว ดวงตาคมกริบกวาดไปยังคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นราวกับสังเกตทุกความเคลื่อนไหว เสียงลมหายใจของขันทีชราและขุนนางรอบพลันหนักขึ้นราวมีก้อนหินทับอกซ่งเจิ้งอี้ปรายมองคนแคว้นอวิ๋นผู้นั้น เขาแค่นเสียงฮึดฮัดในลำคอก่อนจะกล่าว “สกุลซ่งของข้าตั้งแต่บิดา พี่ชายและข้าต่างยืนหยัดปกป้องแคว้นเว่ยมาตลอด หากยังคิดบีบบังคับอย่างไร้เหตุผล สกุลซ่งก็ไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้าไม่ว่าจะผู้ใดก็ตาม!”สายตาคมกริบแข็งกร้าวฉายความแน่วแน่และจริงจังอย่างชัดเจน ครั้งนี้เขาไม่มีทางยอมจากหลินซิ่วหรงอีกแล้ว…แม้แต่ความตายก็มีอาจพรากเขาจากนางไปได้กู้เหยียนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยในใจ…คนสกุลซ่งนี่ ช่างขัดแย้งกันเองยามสงบ แต่พอศึกจริงกลับช่วยกันรบจนไม่มีใครเทียบได้เลยฮ่องเต้หนุ่มบนบัลลังก์นั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบเฉยราวไร้อารมณ์ มาครู่ใหญ่ก่อนที่จู่ๆ จะแค่นหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวเสียงกึกก้องสะท้อนทั่วท้องพระโรงอย่างเย็นชา ปรายตามองคนสกุลซ่งทั้งคู่“สกุลซ่งหรอกหรือ…ที่เป็นผู้ทำให้คุณหนูหลินตั้งครรภ์?”พอสิ้นคำ ทุกสายตาพุ่งไปยังซ่งเจิ้งห่าวแ
ซ่งเจิ้งอี้ไม่คาดคิดเลยว่าพี่ชายจะทำเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ทั้งยังปิดบังไม่บอกเขาแม้แต่สักคำเดียว ภายหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ ทั้งเขาและซ่งเจิ้งห่าวพร้อมกู้เหยียนจึงรีบขึ้นรถม้าเข้าวังหลวงทันทียามนี้ ภายในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของเหล่าขุนนางสูงต่ำทั้งหลานที่ถูกเรียกตัวเข้ามาอย่างกะทันหัน ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดราชการ ดังกึกก้องไปทั่วผสมปนเปไปกับสีหน้าถมึงทึงและท่าทางหงุดหงิดที่อาจปกปิดได้มิด หลายคนพึมพำบ่นเสียงดังราวกับจะประกาศให้ผู้คนทั้งวังได้ยินหัวข้อที่ไม่พ้นถูกพูดถึงหนีไม่พ้นเรื่อง คุณหนูใหญ่สกุลหลินเกี่ยวกับข่าวลือที่แผ่สะพัดดังกระหึ่มในยามนี้และองค์ชายอวิ๋นเซียวจากแคว้นอวิ๋นที่เดินทางมาถึงแคว้นเว่ยโดยไม่ได้บอกกล่าวหรือแจ้งล่วงหน้า มิหนำซ้ำยังมีคณะทูตจากแคว้นอวิ๋นที่เดินตามมาเร่งรัดให้มีพิธีงานแต่งเชื่อมสัมพันธ์โดยเร็ววันกู้เหยียนเดินนำหน้าเข้าท้องพระโรง เขาสูดลมหายใจพลางกวาดสายตามองรอบๆ เหล่าขุนนางต่างมารวมตัวกันแทบครบถ้วน ก่อนที่จะไปสะดุดตาเข้ากับคนผู้หนึ่งแทน อดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงฮึดฮัดประชดประชันเบาๆ“ดูหน้าพ่อตาเจ้าเสีย ซ่งเจิ้งอี้…ราวกับถู
แผนการลอบสังหารครานั้น ซ่งเจิ้งอี้ยังคงข้องใจอยู่ไม่น้อย ว่าเหตุใดเวลาถึงได้ประจวบเหมาะราวกับมีผู้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีขบวนแต่งงานจากแคว้นเว่ยเดินทางไปยังแคว้นอวิ๋น แต่เมื่อชะตาชีวิตในชาตินี้หาได้เป็นเช่นชาติที่แล้ว เขาจึงเลือกจะไม่เก็บมาคิดให้เปลืองสมองนักพักหลังมานี้ แม้ว่าซ่งเจิ้งอี้สามารถเข้าออกจวนสกุลหลินได้ตามใจ แต่ในเมื่อยังมิได้ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับนาง…เขาย่อมไม่หยามเกียรติให้ผู้คนจับจ้องสนใจนางไปมากกว่านี้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงมักแวะไปที่จวนสกุลหลินเพียงสองเวลาเท่านั้นยามเช้าตรู่ตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เพื่อร่วมทานอาหารเช้า และยามพลบค่ำเมื่อผู้คนแยกย้ายเข้าจวนจนหมดแล้วซ่งเจิ้งอี้รับปากว่าหากจัดการสะสางเรื่องราวระหว่างแคว้นได้สิ้น เขาจะให้แม่สื่อไปสู่ขอหลินซิ่วหรงตามธรรมเนียม จัดพิธีมงคลอย่างสมเกียรติและยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อให้นางยืนอยู่เคียงข้างเขาอย่างไม่น้อยหน้าและไม่มีผู้ใดกล้ากล่าววาจาดูหมิ่นได้อีกทว่าเช้าวันนี้ ทันทีที่เขาผลักประตูจวนออกมา ยังไม่ทันได้ยกเท้าก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่หน้าจวน“เหอะ! ครานี้ข้าจะพลาดไม่ได้เจอรองแม่ทัพซ่งเสียแล้ว”น้ำเสียงทุ้มของกู้เ
ณ จวนสกุลจ้าววันนี้มารดาของนางเอ่ยว่าจะไปงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนสกุลใดสกุลหนึ่ง แม้ว่านางจะได้ยินถ้อยคำทุกประโยคอย่างละเอียดแต่กลับหาได้สนใจนัก เพราะยังครุ่นคิดหาวิธีเอ่ยปฏิเสธอย่างแยบยล เพื่อให้ได้พักผ่อนอยู่ที่จวนอย่างสงบตามต้องการ และก็น่าแปลกนัก นางไม่ต้องอ้างเหตุผลหรือชักแม่น้ำมาหว่านล้อม มารดาก็หาได้รบเร้าอันใดทั้งสิ้น กล่าวเพียงว่า…หากจะอุดอู้อยู่จวนก็ตามใจเถอะจ้าวเหม่ยได้ยินแล้วดีใจอยู่ ไม่ต้องเปลืองน้ำลายพูดมากภายหลังจากที่นางส่งมารดาขึ้นรถม้าออกไปจากจวนแล้ว ก็กลับเรือนแล้วกระโดดลงบนเตียง พร้อมทั้งยังหลับตาลงอย่างผ่อนคลายพลางคิดว่าน่าจะได้พักผ่อนเสียทีแต่ยังไม่ทันชั่วอึดใจ กลับมีสาวใช้วิ่งแจ้นหน้าตาตื่นเข้ามาพร้อม กล่าวว่ามีคุณชายผู้หนึ่งมาถึงจวน และเอ่ยว่าต้องการจะพบหน้านางให้ได้ หากไม่พบก็ไม่ยอมจากไปจ้าวเหม่ยฮวาได้ยินดังนั้นถึงกับดีดตัวขึ้นบนเตียง กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเต็มไปด้วยความโกรธ หงุดหงิดและรำคาญใจพร้อมกันไฉนเลยพอพ้นสายตาของมารดา นางจะได้พักผ่อนบ้างแต่กลับต้องพบเจอเรื่องนี้!อดคิดไม่ได้ว่านี่คงเป็นแผนการของมารดาวางไว้ แม้ว่าจะนางหงุดหงิดและอารมณ์เสียมาก







