ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาว
อดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจน
ไม่มีวันลืม...
ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบาน
เสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสียงประหลาดตั้งแต่ยังเช้ามืด พอออกมาดูจึงได้เห็นว่าเป็นนายน้อยของตระกูลที่กำลังฝึกฝนอย่างแน่วแน่ นางจึงรีบเข้าครัวไปตระเตรียมเครื่องดื่มเพื่อนำมาให้ดื่มระหว่างซ้อมทันที
“นายน้อย ท่านเริ่มฝึกแต่ฟ้ายังมืดอยู่เลยหรือเจ้าคะ?” เสียงของลู่ชิงดังขึ้นเบื้องหลัง สาวใช้ผู้จงรักภักดีถือถาดน้ำสมุนไพรเข้ามา ดวงตานางเต็มไปด้วยความห่วงหาเจือชื่นชม
เหยียนอวี่ลดดาบลงอย่างเงียบงัน สบตาด้วยแววตานิ่งลึกประหนึ่งบึงน้ำยามฤดูหนาว “หากกายใจมิกล้าแข็ง ข้าย่อมมิอาจปกป้องสิ่งใดได้เลย” เสียงนั้นเรียบเย็นยิ่งนัก จนลู่ชิงที่ได้ฟังรู้สึกสะท้านในอก
“เช่นนั้น ข้าจะจัดน้ำสมุนไพรให้ท่านทุกเช้าเจ้าค่ะ” นางก้มหน้า วางถาดลง แล้วถอยออกอย่างเงียบงัน
เหยียนอวี่มองตามหลังนางไป แววตาหนักแน่น ลู่ชิง... ในอดีตนางยอมลักลอบนำอาหารมาให้ยามเขาถูกเนรเทศ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำนี้อาจต้องแลกด้วยชีวิต ความภักดีที่นางมีต่อเขาเช่นนี้กลับกลายเป็นเชือกที่รัดคอนางเองจนสิ้นชีวี
“ครานี้... ข้าจะไม่ให้ใครต้องตายเพราะข้าอีก” เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาไม่อยากกลายเป็ฯสาเหตุให้ใครต้องมาตายอีก
เมื่อสายตะวันเลื่อนคล้อย เขาย้ายมานั่งในห้องหนังสือ โต๊ะไม้จันทน์เบื้องหน้ารายล้อมด้วยตำรา กลยุทธ์การศึก ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คำสอนของขงจื๊อ ล้วนเปิดออกกางเต็มหน้า ดวงตาเขาอ่านทุกถ้อยคำด้วยสายตาคมลึกดั่งเหยี่ยวมองเหยื่อ
ในอดีตเขาไม่เคยสนใจแม้แต่จะแตะต้องตำราเหล่านี้ด้วยซ้ำ แต่ครานี้เขามิอาจเพิกเฉยต่อพวกมันได้ หากต้องการเอาชนะคนเจ้าเล่ห์อย่างฉินลี่หรง ก็ต้องเตรียมความรู้ประดับหัวเอาไว้สักหน่อย
“หากจะต่อกรกับฉินลี่หรง... ข้าจำต้องรู้จักเขาให้มากกว่าตัวเขาเองเสียอีก” เขาพึมพำ นิ้วเรียวเคาะเบา ๆ บนกระดาษ มุมปากคลี่ยิ้มเยือกเย็น
ก๊อก ๆ ๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อประตูเปิดออก เซี่ยจงบิดาของเขาก้าวเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม “เหยียนอวี่ เจ้าฝึกหนักเกินไปหรือไม่ พักเสียบ้างเถิด การเข้าวังใกล้เข้ามาแล้ว”
“วางใจเถิด ท่านพ่อ” เหยียนอวี่กล่าว เสียงเรียบนิ่งราวสายลมเย็น “ข้าเพียงเตรียมใจให้พร้อมรับมือทุกพายุที่กำลังจะมาถึง”
เซี่ยจงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “จงระวังให้มาก ตระกูลเรามีทั้งมิตรและศัตรู... ไม่ว่าจะภายในหรือภายนอก”
คำเตือนนั้นทำให้ดวงตาเหยียนอวี่หรี่ลงเล็กน้อย ความทรงจำจากชาติก่อนแจ่มชัดยิ่ง ตระกูลเซี่ยล่มสลายมิใช่เพราะภายนอก หากแต่เกิดจากรากเหง้าแห่งการทรยศภายในตระกูลของเขาเอง
เขาค้อมศีรษะช้า ๆ “ข้าจะจดจำคำของท่านพ่อเอาไว้”
ยามบ่ายคล้อย เหยียนอวี่มุ่งหน้าไปยังเรือนฝั่งตะวันตก ที่พำนักของ เซี่ยเว่ย และ เซี่ยเฉิน สองพี่น้องซึ่งภายนอกคือญาติร่วมตระกูล แต่ในอดีตกลับเป็นมือที่ซ่อนมีดเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อ พวกเขาเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ตระกูลต้องล่มสลาย เหยียนอวี่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงเล็กอย่างเงียบสงบ เยียบเย็นดุจเงาเมฆที่ค่อย ๆ บดบังแสงตะวัน
เซี่ยเว่ยเป็นขุนนางหนุ่มที่มีโฉมหน้าหล่อเหลา แต่แววตาคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ส่วนเซี่ยเฉินผู้น้องยังคงมีท่าทียโสเหมือนเคย ทั้งสองเงยหน้าขึ้นเมื่อเห็นร่างของเหยียนอวี่ปรากฏตัว แววตาแฝงความประหลาดใจ
“เหยียนอวี่ เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ?” เซี่ยเว่ยเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบ หากมุมปากยกขึ้นอย่างผู้เหนือกว่า “ได้ข่าวว่าเจ้ากำลังจะเข้าได้สู่ราชสำนัก ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
“ข้าเพียงมาทักทายญาติผู้พี่ก่อนออกเดินทาง” เหยียนอวี่กล่าวเสียงนุ่มนวล แต่เยือกเย็นอย่างแฝงนัยยะ “ทว่าข้าก็อดครุ่นคิดมิได้... หากตระกูลหนึ่งเต็มไปด้วยผู้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน แล้วสิ่งใดเล่าที่จะยังประคับประคองมันไว้ได้”
เซี่ยเฉินหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้าช่างพูดได้เยี่ยมยิ่งนัก สำหรับผู้ที่ได้ทุกอย่างเพียงเพราะหน้าตา”
เหยียนอวี่เพียงยิ้มบาง รอยยิ้มไร้ความเยาะเย้ย หากแต่เยือกเย็นพอจะทำให้หัวใจผู้มองสั่นสะท้าน “ข้าหวังเพียงว่า... ทุกผู้ในตระกูล จะยังภักดีต่อสายเลือดตนเอง เพราะหากมิใช่ เช่นนั้นข้าย่อมไม่อาจนิ่งเฉยได้อีก”
คำกล่าวนั้นคล้ายเสียงกลองศึกที่กระทบใจ เซี่ยเว่ยและเซี่ยเฉินต่างนิ่งงัน สายตาแปรเปลี่ยนเป็นระแวดระวัง เหยียนอวี่ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เขาหันหลังเดินจากไป ทิ้งเพียงเงาเยือกเย็นและคำเตือนที่ยังสะท้อนอยู่ในห้องโถง
ยามราตรีมาถึง เงาแห่งจันทร์สาดแสงนวลผ่านบานหน้าต่าง เซี่ยเหยียนอวี่กลับมาสู่ห้องของตน จุดตะเกียงน้ำมันเบา ๆ แสงวาบอ่อนสะท้อนเงาเขาบนผนัง เขาคลี่ม้วนกระดาษเก่าซึ่งพบบังเอิญจากห้องเก็บของ ลายมือซึ่งเขาคุ้นตา แม้มิได้เอื้อนเอ่ยนาม ก็ชัดเจนว่าเป็นของผู้ใด
“ฉินลี่หรง...” เขากระซิบด้วยเสียงราบเรียบ หากแต่ดวงเนตรทอประกายแค้น กำกระดาษแน่นจนปลายนิ้วซีดจาง
จดหมายนั้นมิใช่เพียงหลักฐาน แต่คือเบาะแสแห่งหายนะที่กำลังใกล้เข้ามา มันกล่าวถึงการสมคบคิด การเกลี้ยกล่อมขุนนาง และผู้สมรู้ร่วมคิดจาก “ตระกูลเซี่ย” ถึงแม้ไม่มีชื่อปรากฏ แต่ข้อความแฝงไว้ด้วยความทะเยอทะยาน นั่นคือการต้องการกำจัดอุปสรรคหนึ่งเพื่อเปิดทางสู่อำนาจของราชสำนักที่พวกเขาคาดหวังเอาไว้
และอุปสรรคที่ว่า ก็คือตัวเขาเอง...
เหยียนอวี่นั่งนิ่งเนิ่นนาน ปล่อยให้เปลวตะเกียงเต้นระริกสะท้อนในดวงตา เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะถอนใจอย่างช้า ๆ
“ข้าจะไม่ยอมถูกหักหลังอีก” เขาเอ่ยเสียงแน่น “ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนแผนไว้ลึกเพียงใดฉินลี่หรง ข้าจะขุดรากเจ้าให้สิ้น”
เขาลุกขึ้นยืน เดินออกสู่ระเบียง ท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยดาวพร่างพราย ดวงจันทร์กลมโตแขวนอยู่กลางนภา ดุจดวงเนตรแห่งสวรรค์ที่จับจ้องทุกชะตาชีวิต
“ข้าสาบานต่อฟ้าดิน...” เสียงของเขาดังแผ่วหากแน่วแน่ “จะไม่มีวันให้ใครเหยียบย่ำข้าได้อีก ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นศัตรู หรือ... ผู้ที่ข้าเคยรัก”
เมื่อคำมั่นนั้นหลุดลอย ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูราวจะนิ่งสงบลง กลีบดอกเหมยปลิวร่วงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา เงียบงัน ดุจสัญญาณแห่งจุดเริ่มต้นใหม่ของบุรุษผู้หวนคืนจากความตาย พร้อมหัวใจที่กล้าแกร่งดุจหินผา
ยามเช้าแห่งวังหลวงอาบด้วยแสงแดดอ่อนละมุน ทาบทอลงบนตำหนักทองและหอคอยลอยท่ามกลางกลุ่มหมอกประหนึ่งภาพวาดจากสรวงสวรรค์ กลิ่นกำยานเจือจางลอยแทรกกับเสียงระฆังจากหอสูง เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวลงจากเกี้ยว มือบางแตะขอบเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสงบ หากแฝงแววคมลึกไว้ในดวงตานั้นนี่คือวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นแห่งองค์ชายจวิ้นอี่เท่านั้น และการเข้าสู่วังหลวงครั้งนี้ก็มิใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อทวงชะตาที่เคยพ่ายแพ้กลับคืนมาเท่านั้นหลี่กงกง ขันทีชราก้าวนำทาง สองข้างทางมีองครักษ์ยืนเรียงราย ดวงตาของเหยียนอวี่นิ่งสงบราวรูปสลัก ทว่าแฝงแรงกดดันที่อัดแน่นทุกย่างก้าว ราวกับวังหลวงทั้งวังกำลังจับจ้องเขาตำหนักหย่งชิงที่พักชั่วคราวต้อนรับเขาด้วยพิธีรีตองครบครัน ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงก้มคารวะ ไม่ได้ทำให้เหยียนอวี่รู้สึกปลอดภัยนัก เขารู้ดีว่าในตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของฉินลี่หรงที่ซ่อนตัวเอาไว้เสี่ยวหลาน สาวใช้ผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาหลังจากที่เขาเข้ามานั่งพักในห้องโถงของตำหนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพด้วยแววต
แสงแดดยามสายสาดลงลานกว้างหน้าตำหนักหลวง โคมแดงร้อยเรียงดังดาราแขวนกลางนภา กลิ่นกำยานหอมจางลอยแทรกสายลมเคล้ากับเสียงพิณแว่วเบา พิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่เปิดฉากท่ามกลางเหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์เซี่ยเหยียนอวี่ในชุดผ้าไหมฟ้าครามปักลายเมฆมังกร ยืนอย่างสงบ สง่างามดุจหยกชั้นดี ดวงเนตรเรียบนิ่งแต่ทอประกายคมลึก เขามิได้มาที่นี่เพื่อค้นหารัก หากแต่มาเพื่อช่วงชิงชะตาที่เคยสูญสิ้นกลับคืนไป๋เหวินเจี๋ยหมอหลวงหนุ่มปรากฏข้างกาย เสียงนุ่มราวสายน้ำเอ่ยเตือน “พิธีนี้มิใช่เพียงแค่การคัดเลือก มันคือการชิงชัยท่ามกลางดวงตานับร้อย”“ข้าย่อมรู้ดี” เหยียนอวี่เอ่ยเบา รอยยิ้มบางประดับมุมปาก หากแววตานั้นเยือกเย็นราวหิมะเสียงกลองสามครั้งดังก้อง บัลลังก์มังกรทองยังว่างเปล่า แต่ทว่าผู้แรกที่ก้าวออกมากลับไม่ใช่เจ้าของพิธี หากแต่เป็นบุรุษที่เคยฝากบาดแผลไว้กลางใจเขาฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มรูปงามภายใต้อาภรณ์สีม่วงเข้ม ปักลายนกยูงด้ายทองก้าวออกมาอย่างองอาจ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาอาบไว้ด้วยพิษร้าย ดวงตาคมกริบดุจงูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อสายตานั้นสบกับแววตาของเหยียนอวี่ โลกทั้งใบพลันเยียบเย็นลงราวลมหิมะกระห
แสงจันทร์นวลทอประกายเหนือเรือนตระกูลเซี่ย กลีบดอกเหมยขาวปลิวล้อลมราวหิมะโปรยปรายยามราตรี เซี่ยเหยียนอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง มือบางสัมผัสกับราวระเบียงไม้เย็นเฉียบ ดวงเนตรทอดมองราตรีอันเงียบงัน ทว่าในใจกลับปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำจดหมายลับเมื่อคืนยังแจ่มชัด รอยอักษรของฉินลี่หรงเปรียบเสมือนกรงเล็บเงามัจจุราชที่ฉีกอดีตให้ร้าวลึก ทุกย่างก้าวในวังหลวงที่รออยู่เบื้องหน้าคือเส้นทางน้ำแข็งบางเบาที่พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแลตามมาด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นายน้อย ท่านยังไม่พักหรือเจ้าคะ?” ลู่ชิง สาวใช้ผู้ภักดีเดินเข้ามาพร้อมผ้าคลุมไหล่ กลิ่นชาดอกเหมยอ่อนจางลอยคลุ้งมาด้วย “ลมคืนนี้เย็นนัก ข้ากลัวท่านจะมิสบายก่อนออกเดินทาง”เหยียนอวี่หันมองนางเพียงครู่ แววตานิ่งลึกเสียจนลู่ชิงต้องก้มหน้า เงียบงันจนเขาเองต้องเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าสบายดี เจ้ากลับไปพักเถิด”ลู่ชิงวางผ้าคลุมลง ก่อนกล่าวแผ่วเบา “ขอให้ท่านปลอดภัย... ในวังหลวง”ความทรงจำเก่าหวนคืนมาอีกครั้ง ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด ภาพของลู่ชิงในตำหนักร้าง ผู้ยื่นข้าวต้มร้อนให้ยามเขาไร้ที่พึ่ง คำปลอบใจของเธอยังดังก้อง เขากัดฟันแน่น ดวงตาหลุ
ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาวอดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจนไม่มีวันลืม...ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบานเสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสีย
อรุณแรกของวันทอดแสงละมุนลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย วิ่งเล่นบนม่านผ้าไหมบางเบา ก่อนจะตกกระทบพื้นไม้ขัดมันเป็นประกาย ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลเซี่ย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนเบื้องนอกคล้ายบทเพลงแห่งฤดูใหม่ ทว่าภายในใจของเซี่ยเหยียนอวี่กลับเงียบงัน ดั่งบึงลึกยามไร้ลมสะกิดผิวน้ำเขาทอดกายนอนนิ่งบนเตียงผ้าไหม มือเรียวกุมผ้าห่มแน่น ดวงเนตรงามจ้องมองเพดานไม้ด้วยความเหม่อลอย แววตานั้นแฝงไว้ด้วยเงาแห่งความระแวดระวัง อดีตชาติอันโหดร้ายยังคงติดตรึงดั่งรอยสลักบนดวงวิญญาณเขาวังหลวงที่งดงาม...ท้องพระโรงเย็นเยียบ...สายตาเย้ยหยันของฉินลี่หรง...และ... ดวงตาเย็นชาราวเหมันต์ฤดูขององค์ชายจวิ้นอี่ทุกสิ่งยังคงชัดเจนประหนึ่งภาพสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันยังคงฉายซ้ำอยู่ภายในความทรงจำของเขาตลอดเวลาเหยียนอวี่บรรจงเคลื่อนมือมาสัมผัสใบหน้าตน ผิวเนียนนุ่มปราศจากร่องรอยแห่งความทุกข์ เป็นใบหน้าในยามวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ยังเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันอันไร้ขอบเขต เขาก้าวลุกขึ้นด้วยความนิ่งสงบ เดินไปยังตู้กระจกโบราณ เงาสะท้อนตรงหน้าคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาราวหยกขาว ภาพตรงหน้ายังคงเหมือนดังเช่นในอดีต แต่ดวงตาที่ครั
สายฝนโปรยปรายดุจม่านหยกหลั่งลงจากฟ้า ฉ่ำเย็นราวน้ำตาสวรรค์ที่ร่ำไห้ให้แก่โชคชะตาของมนุษย์ผู้อาภัพ ภายใต้พรมฝนที่หลั่งริน ตำหนักจันทราอัสดง ที่เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินทางไปพักตากอากาศของ องค์ชายจวิ้นอี่ และคู่ครองอย่าง เซี่ยเหยียนอวี่ ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เขตชานเมืองอันเงียบงันอย่างน่าเศร้าสร้อย เสียงหยดน้ำกระทบหินเย็นดังกังวานไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของเขาที่กำลังแตกสลาย......ปริร้าวและมิอาจประสานคืนเซี่ยเหยียนอวี่ทอดกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า ม้วนกระดาษคำสั่งเนรเทศในมือถูกกำจนยับย่น ปลายนิ้วซีดเผือดเย็นเฉียบ ดวงหน้าอันหล่อเหลาประดุจหยกขาวกลับซีดเซียว ราวกลีบบุปผาที่โรยราไร้ชีวิต ดวงเนตรที่เคยทอประกายดังดวงดาราบนท้องนภา บัดนี้หม่นมัวประหนึ่งท้องทะเลยามพายุซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าซึมเปียกชายแขนเสื้อแพรไหมซึ่งครั้งหนึ่งเคยหรูหราดังผู้มีบรรดาศักดิ์วังหลวงอันโอ่อ่าเคยเป็นดังแดนสวรรค์บนพื้นปฐพี ตำหนักทองที่ประดับไปด้วยหยกส่องแสงพร่างพราวใต้โคมระย้า โถงใหญ่ประดับลายมังกรและหงส์บนผืนผ้าไหมวิจิตร เสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังแว่วมาทุกค่ำคืน สร้างความระเริงใจได้ไม่น้อยเหยียนอวี่เคย