แสงแดดยามสายสาดลงลานกว้างหน้าตำหนักหลวง โคมแดงร้อยเรียงดังดาราแขวนกลางนภา กลิ่นกำยานหอมจางลอยแทรกสายลมเคล้ากับเสียงพิณแว่วเบา พิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่เปิดฉากท่ามกลางเหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์
เซี่ยเหยียนอวี่ในชุดผ้าไหมฟ้าครามปักลายเมฆมังกร ยืนอย่างสงบ สง่างามดุจหยกชั้นดี ดวงเนตรเรียบนิ่งแต่ทอประกายคมลึก เขามิได้มาที่นี่เพื่อค้นหารัก หากแต่มาเพื่อช่วงชิงชะตาที่เคยสูญสิ้นกลับคืน
ไป๋เหวินเจี๋ยหมอหลวงหนุ่มปรากฏข้างกาย เสียงนุ่มราวสายน้ำเอ่ยเตือน “พิธีนี้มิใช่เพียงแค่การคัดเลือก มันคือการชิงชัยท่ามกลางดวงตานับร้อย”
“ข้าย่อมรู้ดี” เหยียนอวี่เอ่ยเบา รอยยิ้มบางประดับมุมปาก หากแววตานั้นเยือกเย็นราวหิมะ
เสียงกลองสามครั้งดังก้อง บัลลังก์มังกรทองยังว่างเปล่า แต่ทว่าผู้แรกที่ก้าวออกมากลับไม่ใช่เจ้าของพิธี หากแต่เป็นบุรุษที่เคยฝากบาดแผลไว้กลางใจเขา
ฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มรูปงามภายใต้อาภรณ์สีม่วงเข้ม ปักลายนกยูงด้ายทองก้าวออกมาอย่างองอาจ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาอาบไว้ด้วยพิษร้าย ดวงตาคมกริบดุจงูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อสายตานั้นสบกับแววตาของเหยียนอวี่ โลกทั้งใบพลันเยียบเย็นลงราวลมหิมะกระหน่ำกลางฤดูร้อน
“นายน้อยเซี่ย เป็นเกียรติที่ได้พบเจ้าในพิธีนี้” ฉินลี่หรงเอ่ยกล่าวด้วยถ้อยคำสุภาพ แต่กลับทำให้ผู้ฟังได้ยินแล้วรู้สึกขมขื่นดั่งยาพิษที่ถูกใส่มาในชาหอมหวาน
เหยียนอวี่โค้งศีรษะเล็กน้อย ตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น ท่านฉิน”
“เจ้ามีสายตาที่... ราวกับว่าเคยเห็นอะไรมากกว่าที่ควร” ฉินลี่หรงกล่าวพร้อมรอยยิ้มคลุมเครือ
หมายความว่ายังไง
ใจเหยียนอวี่เต้นแรงราวต้องมนต์เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว มันฟังดูเหมือนว่าปีศาจร้ายตนนี้ล่วงรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขา เล่ห์เหลี่ยมของฉินลี่หรงทำให้เขาไม่อาจไว้ใจคนตรงหน้าได้แม้เพียงนิดเดียว เขาพยายามสงบใจก่อนตอบกลับ “ข้าเป็นเพียงบุรุษธรรมดาจากตระกูลเซี่ย ท่านคิดมากไปกระมัง”
พิธีการคัดเลือกคู่หมั้นให้องค์ชายจวิ้นอี่ดำเนินต่อไป ขุนนางประกาศชื่อผู้เข้าร่วมทีละคนตามลำดับเพื่อให้แสดงความสามารถที่ตระเตรียมมา ท่ามกลางเสียงชื่นชมและสายตาที่จับจ้องของผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น เหยียนอวี่มิได้สนใจผู้เข้าแข่งขันคนอื่น นอกไปจากจับจ้องสายตาไว้แค่เพียงชายผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่หน้าบัลลังก์ทองอย่างฉินลี่หรง มือเขาปรับแขนเสื้อเล็กน้อย เผยให้เห็นหยกสีเขียวเข้ม แกะสลักลวดลายประหลาดแฝงอักขระโบราณ
ความเยือกเย็นแล่นผ่านแผ่นหลังเหยียนอวี่ทันที มีบางอย่างส่งสัญญาณบอกเขาว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ หยกนั้นเป็นมากกว่าเพียงเครื่องประดับยศธรรมดาทั่วไป เขาไม่เคยเห็นมันมาก่อนในอดีต แต่เสี้ยววินาทีแรกที่สายตากวาดไปพบมัน ความรู้สึกที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในห้วงหนึ่งของจิตใจทันที
ไม่ใช่หยกธรรมดาแน่นอน
เขาแต่ข่มใจกักเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนหันหน้าหนี ทุกความรู้สึกถูกซุกไว้ใต้หน้ากากสงบเงียบ ในเวลานี้เขาต้องมุ่งมั่นต่อพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นตรงหน้าเสียก่อน หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเดินหน้าเผชิญกับเรื่องใดต่อไป
ผู้เข้าร่วมการคัดเลือกคนก่อนหน้าแสดงความสามารถพิเศษเสร็จสิ้นลง ถึงคราของเหยียนอวี่ เขาสูดหายใจลึกก่อนจะก้าวออกไปกลางลาน ทุกสายตาจับจ้อง เขาไม่ได้แสดงกลอนหรือพิณดังเช่นคนอื่น ๆ หากแต่เลือกหยิบพู่กันขึ้นมาแทน
หมึกไหลรินจรดลงกระดาษขาว วลีหนึ่งปรากฏอย่างสง่างาม
‘สายน้ำย้อนคืนมิอาจเปลี่ยนโชคชะตา ทว่าดวงใจที่เข้มแข็ง... กำหนดลิขิตได้’
เสียงชื่นชมดังรอบทิศ ทว่าเหยียนอวี่มิได้เหลียวมอง เขาเพียงหันไปสบตาฉินลี่หรงในชั่วขณะหนึ่ง การปะทะกันด้วยสายตานั้นเงียบงันแต่ทรงพลัง ไม่มีใครสังเกตเห็นประกายไฟในแววตาของทั้งคู่นอกไปจากไป่เหวินเจี๋ย
เมื่อเหยียนอวี่เดินกลับเข้ามาหลังจากแสดงเสร็จ หมอหลวงรีบปรี่เข้ามาใกล้แล้วเอ่ยกระซิบทันที “ท่านกำลังเล่นกับไฟแล้วนายน้อยเซี่ย”
เหยียนอวี่ตอบเรียบ “หากไฟนั้นเผาผลาญศัตรูได้ ข้ายินดี”
เมื่อพิธีสิ้นสุด เหยียนอวี่มองฉินลี่หรงจากมุมหนึ่งของลาน รอยยิ้มของเขายังคงงดงาม แต่สำหรับเหยียนอวี่ มันคือหน้ากากของปีศาจร้าย
“เจ้าเองก็ซ่อนความลับไว้ใช่หรือไม่... ฉินลี่หรง” เขาพึมพำกับสายลมที่เพิ่งพัดผ่านไปเมื่อครู่ “และข้าจะเปิดโปงมัน ด้วยมือของข้าเอง”
เขาหันหลังเดินจากมา ใบไม้ร่วงปลิวล้อลม ดุจหมากบนกระดานที่เริ่มเคลื่อน หมากรุกแห่งโชคชะตาได้เริ่มต้นแล้ว และเขาจะไม่ยอมเป็นเพียงตัวเบี้ยของผู้ใดอีกต่อไป
ยามเช้าแห่งวังหลวงอาบด้วยแสงแดดอ่อนละมุน ทาบทอลงบนตำหนักทองและหอคอยลอยท่ามกลางกลุ่มหมอกประหนึ่งภาพวาดจากสรวงสวรรค์ กลิ่นกำยานเจือจางลอยแทรกกับเสียงระฆังจากหอสูง เซี่ยเหยียนอวี่ก้าวลงจากเกี้ยว มือบางแตะขอบเบา ๆ ดวงหน้าเรียบสงบ หากแฝงแววคมลึกไว้ในดวงตานั้นนี่คือวันแรกที่เขาก้าวเข้าสู่ราชสำนักอีกครั้ง หลังจากผ่านพิธีการคัดเลือกคู่หมั้นเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้เขายังคงอยู่ในฐานะว่าที่คู่หมั้นแห่งองค์ชายจวิ้นอี่เท่านั้น และการเข้าสู่วังหลวงครั้งนี้ก็มิใช่เพื่อความรัก แต่เพื่อทวงชะตาที่เคยพ่ายแพ้กลับคืนมาเท่านั้นหลี่กงกง ขันทีชราก้าวนำทาง สองข้างทางมีองครักษ์ยืนเรียงราย ดวงตาของเหยียนอวี่นิ่งสงบราวรูปสลัก ทว่าแฝงแรงกดดันที่อัดแน่นทุกย่างก้าว ราวกับวังหลวงทั้งวังกำลังจับจ้องเขาตำหนักหย่งชิงที่พักชั่วคราวต้อนรับเขาด้วยพิธีรีตองครบครัน ทว่าเบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงก้มคารวะ ไม่ได้ทำให้เหยียนอวี่รู้สึกปลอดภัยนัก เขารู้ดีว่าในตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยสายลับของฉินลี่หรงที่ซ่อนตัวเอาไว้เสี่ยวหลาน สาวใช้ผู้นำกลุ่มเดินเข้ามาหลังจากที่เขาเข้ามานั่งพักในห้องโถงของตำหนัก ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพด้วยแววต
แสงแดดยามสายสาดลงลานกว้างหน้าตำหนักหลวง โคมแดงร้อยเรียงดังดาราแขวนกลางนภา กลิ่นกำยานหอมจางลอยแทรกสายลมเคล้ากับเสียงพิณแว่วเบา พิธีคัดเลือกคู่หมั้นขององค์ชายจวิ้นอี่เปิดฉากท่ามกลางเหล่าขุนนางตระกูลสูงศักดิ์เซี่ยเหยียนอวี่ในชุดผ้าไหมฟ้าครามปักลายเมฆมังกร ยืนอย่างสงบ สง่างามดุจหยกชั้นดี ดวงเนตรเรียบนิ่งแต่ทอประกายคมลึก เขามิได้มาที่นี่เพื่อค้นหารัก หากแต่มาเพื่อช่วงชิงชะตาที่เคยสูญสิ้นกลับคืนไป๋เหวินเจี๋ยหมอหลวงหนุ่มปรากฏข้างกาย เสียงนุ่มราวสายน้ำเอ่ยเตือน “พิธีนี้มิใช่เพียงแค่การคัดเลือก มันคือการชิงชัยท่ามกลางดวงตานับร้อย”“ข้าย่อมรู้ดี” เหยียนอวี่เอ่ยเบา รอยยิ้มบางประดับมุมปาก หากแววตานั้นเยือกเย็นราวหิมะเสียงกลองสามครั้งดังก้อง บัลลังก์มังกรทองยังว่างเปล่า แต่ทว่าผู้แรกที่ก้าวออกมากลับไม่ใช่เจ้าของพิธี หากแต่เป็นบุรุษที่เคยฝากบาดแผลไว้กลางใจเขาฉินลี่หรง ขุนนางหนุ่มรูปงามภายใต้อาภรณ์สีม่วงเข้ม ปักลายนกยูงด้ายทองก้าวออกมาอย่างองอาจ รอยยิ้มอ่อนโยนของเขาอาบไว้ด้วยพิษร้าย ดวงตาคมกริบดุจงูที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เมื่อสายตานั้นสบกับแววตาของเหยียนอวี่ โลกทั้งใบพลันเยียบเย็นลงราวลมหิมะกระห
แสงจันทร์นวลทอประกายเหนือเรือนตระกูลเซี่ย กลีบดอกเหมยขาวปลิวล้อลมราวหิมะโปรยปรายยามราตรี เซี่ยเหยียนอวี่ยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียง มือบางสัมผัสกับราวระเบียงไม้เย็นเฉียบ ดวงเนตรทอดมองราตรีอันเงียบงัน ทว่าในใจกลับปั่นป่วนราวพายุโหมกระหน่ำจดหมายลับเมื่อคืนยังแจ่มชัด รอยอักษรของฉินลี่หรงเปรียบเสมือนกรงเล็บเงามัจจุราชที่ฉีกอดีตให้ร้าวลึก ทุกย่างก้าวในวังหลวงที่รออยู่เบื้องหน้าคือเส้นทางน้ำแข็งบางเบาที่พร้อมแตกหักได้ทุกเมื่อเสียงฝีเท้าแผ่วเบาแลตามมาด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “นายน้อย ท่านยังไม่พักหรือเจ้าคะ?” ลู่ชิง สาวใช้ผู้ภักดีเดินเข้ามาพร้อมผ้าคลุมไหล่ กลิ่นชาดอกเหมยอ่อนจางลอยคลุ้งมาด้วย “ลมคืนนี้เย็นนัก ข้ากลัวท่านจะมิสบายก่อนออกเดินทาง”เหยียนอวี่หันมองนางเพียงครู่ แววตานิ่งลึกเสียจนลู่ชิงต้องก้มหน้า เงียบงันจนเขาเองต้องเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ข้าสบายดี เจ้ากลับไปพักเถิด”ลู่ชิงวางผ้าคลุมลง ก่อนกล่าวแผ่วเบา “ขอให้ท่านปลอดภัย... ในวังหลวง”ความทรงจำเก่าหวนคืนมาอีกครั้ง ทำให้เขายิ่งรู้สึกเจ็บปวด ภาพของลู่ชิงในตำหนักร้าง ผู้ยื่นข้าวต้มร้อนให้ยามเขาไร้ที่พึ่ง คำปลอบใจของเธอยังดังก้อง เขากัดฟันแน่น ดวงตาหลุ
ยามรุ่งสางของวันที่สอง แสงสุริยาละมุนแผ่ซ่านผ่านลานฝึกเรือนตระกูลเซี่ย กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกเหมยลอยมากับสายลมเย็น หากแต่ในดวงหทัยของเซี่ยเหยียนอวี่กลับไร้ซึ่งความสงบ เขายืนนิ่งในชุดฝึกสีน้ำเงินเข้ม มือขวากำด้ามดาบไม้แน่น ดวงเนตรซึ่งเคยสดใสดุจประกายหยก บัดนี้กลับแน่วแน่เยือกเย็น ราวกับคมศาสตราที่เพิ่งลับใหม่จนแวววาวอดีตชาติยังคงหลอกหลอนดุจเงาตามตัว ทุกครั้งที่เหยียนอวี่หลับตา ความทรงจำในชาติก่อนยังคงปรากฏชัด ทุกความรู้สึก ทุกสัมผัส ยังจารึกไว้จิตใจของเขาอย่างชัดเจนไม่มีวันลืม...ภาพท้องพระโรงที่เคยโอ่อ่าดั่งสรวงสวรรค์บัดนี้กลายเป็นขุมนรกสำหรับเขาไปเสียแล้ว ไหนจะคำลวงของฉินลี่หรงที่ฉีกหัวใจเขาจนแหลกสลาย และดวงเนตรเย็นชาขององค์ชายจวิ้นอี่ล้วนเป็นเปลวไฟแค้นที่เผาผลาญความไร้เดียงสาของเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านเขาลืมตาตื่นขึ้นมาในยามที่รุ่งอรุณยังไม่ปรากฏพ้นขอบฟ้า มุ่งหน้าสู่ลานฝึกด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว เขาฟาดดาบใส่อากาศด้วยพลังแห่งปณิธาน ทุกจังหวะคือคำมั่น ทุกเสียงหวีดของลมคือบันทึกแห่งคำสาบานเสียงฝึกของเขาปลุกให้ลู่ชิงที่อยู่พักอยู่ใกล้ลานฝึกตื่นขึ้น แรกเริ่มนางแปลกใจเล็กน้อยที่ได้ยินเสีย
อรุณแรกของวันทอดแสงละมุนลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุลาย วิ่งเล่นบนม่านผ้าไหมบางเบา ก่อนจะตกกระทบพื้นไม้ขัดมันเป็นประกาย ภายในเรือนใหญ่แห่งตระกูลเซี่ย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วจากสวนเบื้องนอกคล้ายบทเพลงแห่งฤดูใหม่ ทว่าภายในใจของเซี่ยเหยียนอวี่กลับเงียบงัน ดั่งบึงลึกยามไร้ลมสะกิดผิวน้ำเขาทอดกายนอนนิ่งบนเตียงผ้าไหม มือเรียวกุมผ้าห่มแน่น ดวงเนตรงามจ้องมองเพดานไม้ด้วยความเหม่อลอย แววตานั้นแฝงไว้ด้วยเงาแห่งความระแวดระวัง อดีตชาติอันโหดร้ายยังคงติดตรึงดั่งรอยสลักบนดวงวิญญาณเขาวังหลวงที่งดงาม...ท้องพระโรงเย็นเยียบ...สายตาเย้ยหยันของฉินลี่หรง...และ... ดวงตาเย็นชาราวเหมันต์ฤดูขององค์ชายจวิ้นอี่ทุกสิ่งยังคงชัดเจนประหนึ่งภาพสะท้อนในกระจกเงาบานใหญ่ มันยังคงฉายซ้ำอยู่ภายในความทรงจำของเขาตลอดเวลาเหยียนอวี่บรรจงเคลื่อนมือมาสัมผัสใบหน้าตน ผิวเนียนนุ่มปราศจากร่องรอยแห่งความทุกข์ เป็นใบหน้าในยามวัยเยาว์ ช่วงเวลาที่ยังเปี่ยมด้วยความหวังและความฝันอันไร้ขอบเขต เขาก้าวลุกขึ้นด้วยความนิ่งสงบ เดินไปยังตู้กระจกโบราณ เงาสะท้อนตรงหน้าคือบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาราวหยกขาว ภาพตรงหน้ายังคงเหมือนดังเช่นในอดีต แต่ดวงตาที่ครั
สายฝนโปรยปรายดุจม่านหยกหลั่งลงจากฟ้า ฉ่ำเย็นราวน้ำตาสวรรค์ที่ร่ำไห้ให้แก่โชคชะตาของมนุษย์ผู้อาภัพ ภายใต้พรมฝนที่หลั่งริน ตำหนักจันทราอัสดง ที่เคยเป็นสถานที่สำหรับเดินทางไปพักตากอากาศของ องค์ชายจวิ้นอี่ และคู่ครองอย่าง เซี่ยเหยียนอวี่ ตอนนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้เขตชานเมืองอันเงียบงันอย่างน่าเศร้าสร้อย เสียงหยดน้ำกระทบหินเย็นดังกังวานไม่ต่างไปจากเสียงหัวใจของเขาที่กำลังแตกสลาย......ปริร้าวและมิอาจประสานคืนเซี่ยเหยียนอวี่ทอดกายนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าคร่ำคร่า ม้วนกระดาษคำสั่งเนรเทศในมือถูกกำจนยับย่น ปลายนิ้วซีดเผือดเย็นเฉียบ ดวงหน้าอันหล่อเหลาประดุจหยกขาวกลับซีดเซียว ราวกลีบบุปผาที่โรยราไร้ชีวิต ดวงเนตรที่เคยทอประกายดังดวงดาราบนท้องนภา บัดนี้หม่นมัวประหนึ่งท้องทะเลยามพายุซัด น้ำตาหยาดแล้วหยาดเล่าซึมเปียกชายแขนเสื้อแพรไหมซึ่งครั้งหนึ่งเคยหรูหราดังผู้มีบรรดาศักดิ์วังหลวงอันโอ่อ่าเคยเป็นดังแดนสวรรค์บนพื้นปฐพี ตำหนักทองที่ประดับไปด้วยหยกส่องแสงพร่างพราวใต้โคมระย้า โถงใหญ่ประดับลายมังกรและหงส์บนผืนผ้าไหมวิจิตร เสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังแว่วมาทุกค่ำคืน สร้างความระเริงใจได้ไม่น้อยเหยียนอวี่เคย