LOGIN“จ้องแม่เช่นนั้นอย่าบอกนะว่าอยากกินขนมหวาน แม่ไม่อนุญาตแล้วนะ ถึงอาการของเจ้าจะทุเลาลงแต่ถ้ากินขนมหวานมากๆ ตกดึกเจ้าต้องนอนไอทั้งคืนแน่นอน”
“แต่เมื่อครู่นี้ท่านแม่ป้อนบ๊วยหวานให้ข้า”
“ให้แค่คำเดียวเท่านั้น ไม่มีอีกแล้ว”
นางยิ้มจนตาหยี มือหนึ่งจูงแขนลูกสาวส่วนอีกมือจูงแขนลู่ชิงพาเดินมาอีกห้อง ห้องนี้หยู่ถิงชอบมานั่งปักผ้าและพักงีบตอนกลางวัน บนโต๊ะมีขนมหวานอยู่สองชิ้น เป็นขนมถั่วกวนที่ลู่ชิงและถิงถิงชอบกินมากเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่บอกว่าห้ามกินขนมหวานแท้ๆ แต่มารดาก็ยังใจดีเก็บเอาไว้ให้เด็กทั้งสองคนละชิ้น
“กินได้แค่นิดเดียวนะ”
“เช่นนั้นอาลู่มอบชิ้นนี้ให้คุณหนู เมื่อวานอาลู่กินไปสองจานแล้ว อาลู่อิ่มแล้วเจ้าค่ะ”
ลู่ชิงยื่นในส่วนของตนเองให้ถิงถิง แต่ถูกหยู่ถิงคว้าเอาไว้อย่างรวดเร็วแล้วพูดน้ำเสียงใจดี
“ถึงจะอิ่มแล้วก็ให้ถิงถิงกินเยอะไม่ได้เด็ดขาด เพราะคุณหนูของเจ้าเพิ่งจะหายป่วยต้องกินในจำนวนจำกัด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“อาลู่ไม่เข้าใจ” เด็กน้อยส่ายหน้าระรัว แบมือออกไปขอขนมชิ้นนั้นคืนพลางทำตาปริบๆ ก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าเป็นคำสั่งฮูหยินอาลู่ก็จะเชื่อฟัง”
“ดีมากอาลู่”
ถิงถิงยิ้มบางๆ เอาขนมถั่วกวนเข้าปากไปหนึ่งคำ พอเคี้ยวไปคำแรกความทรงจำต่างๆ นานาระหว่างนางกับมารดาก็หมุนทวนย้อนกลับมาเป็นฉากๆ รสมือท่านแม่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน นางรู้ว่าคนที่ทำขนมถั่วกวนนี้จะต้องเป็นหยู่ถิงแน่นอน เพราะรสชาติขนมไม่ได้หวานบาดลิ้นแถมยังมีกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้อ่อนๆ บางครั้งมารดาก็ใส่กลีบเหมยกุ้ยแดงตากแห้งเข้าไปนิดเดียวเพื่อเป็นการเพิ่มสีสัน
หากอิงจากชาติที่แล้วคงอีกสองวันเจียเฉิงถึงจะกลับมา ถิงถิงจึงอยากใช้เวลาแห่งความสุขกับมารดาให้มากหน่อย ในยามนี้หยู่ถิงยังไม่เจ็บปวดรวดร้าว รอให้เจียเฉิงพาเหมยหลินกลับมาแล้วนางก็จะรู้ความจริง พอถึงตอนนั้นถิงถิงจะหาแผนการรับมือกับสองแม่ลูกนั่น ไม่สิ…ไม่ใช่แค่สองแม่ลูก แต่ต้องหาแผนการรับมือกับบิดาของตัวเองอีกด้วย
ท่านพ่อก็จงอย่ากล่าวโทษที่ลูกอกตัญญูก็แล้วกัน…
ในสองวันที่ผ่านมาถิงถิงชอบยืนแอบมองมารดาบ่อยๆ ในตอนเช้าหยู่ถิงจะชอบไปรดน้ำดอกไม้ในสวนด้วยตนเอง พอถึงช่วงสายๆ ก็จะออกไปดูร้านค้าในตลาด พอตอนบ่ายก็กลับมานั่งปักผ้าแก้เบื่อ ทุกอย่างวนเวียนเหมือนเช่นในอดีต เวลาสองวันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน จนบางครั้งถิงถิงก็คิดว่าอยากเก็บช่วงเวลานี้ไว้ให้นานหน่อย หากแต่ว่าไม่สามารถหยุดยั้งวันเวลาให้เดินไปข้างหน้าได้
และแล้ววันที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง เจียเฉิงกลับถึงจวนยามเซิน พอรถม้าเคลื่อนเข้ามาในจวนหยู่ถิงก็รีบวางงานทุกอย่างในมือแล้วพาลูกน้อยออกไปต้อนรับสามี นางยิ้มกว้างเมื่อสามีก้าวลงจากรถม้า แต่เมื่อมีสตรีนางหนึ่งพร้อมกับเด็กผู้หญิงก้าวลงจากรถม้าตามมารอยยิ้มของหยู่ถิงก็พลันหายไป ช่างเป็นภาพที่ถิงถิงไม่อยากเห็นที่สุดในชีวิต หัวใจของมารดาคงกำลังเจ็บปวดประหนึ่งถูกโบยตีอยู่เป็นแน่
“นางมีชื่อว่าเหมยหลินส่วนนี่คือซืออิ่ง เป็นภรรยาและลูกสาวอีกคนของข้า”
“อะ…อะไรนะ!”
หยู่ถิงถามกลับเสียงสั่น ฝ่ายเหมยหลินแย้มยิ้มก่อนจะยอบตัวคำนับอย่างอ่อนช้อยพร้อมกับเอ่ยทักทายน้ำเสียงมีจริตจะก้าน
“พี่สาว เหมยหลินขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ ซืออิ่งคือลูกสาวของข้ากับท่านพี่ ข้ามาทีหลังไม่กล้าเรียกร้องเอาอะไรมาก แต่ข้าอยากขอให้พี่สาวช่วยเอ็นดูนางเหมือนลูกแท้ๆ ด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่ยอมรับ”
ถึงจะเสียใจมากแต่หยู่ถิงก็ไม่โวยวาย เยือกเย็นเสียจนแม้แต่ถิงถิงก็ยังประหลาดใจ นางบอกว่าไม่ยอมรับเพียงสั้นๆ ก็จูงมือลูกสาวเข้าไปในเรือน ปล่อยให้เหมยหลินกับลูกยืนเสียหน้าอยู่ตรงนั้น เจียเฉิงเห็นแล้วไม่สบายใจก็รีบเข้าไปปลอบใจสองแม่ลูก ถิงถิงหันกลับมามองก่อนจะเลิกสนใจแล้วเดินตามหลังมารดาไปเงียบๆ
พอนั่งลงได้ไม่กี่จิบน้ำชา เจียเฉิงก็ก้าวฉับๆ ตามหลังมาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยว เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า หยู่ถิงลูบศีรษะลูกสาวเบาๆ แล้วบอกให้ออกไปก่อน ถิงถิงทำตามคำสั่งของมารดาแต่ก็มิวายยืนเกาะประตูแอบฟังอยู่ข้างนอก พอให้หลังถิงถิงแล้วเจียเฉิงก็ตะคอกภรรยาเสียงดังลั่นห้อง
“เหตุใดถึงทำตัวเป็นสตรีจิตใจคับแคบเช่นนี้!”
ณ ตรอกฉงกุ่ยสถานที่ดวงตะวันไม่เคยส่องถึง ต่างทราบกันดีว่าที่แห่งนี้มีขอทานและคนจรจัดอาศัยอยู่มากที่สุด ท่ามกลางความสลัวรางมองเห็นเงาร่างผอมโซหลายชีวิต ผู้คนทรมานจากความหนาวเหน็บไร้ผ้าห่ม บ้างเจ็บไข้ บ้างนอนขดตัวอยู่ข้างพื้นถนนเย็นเฉียบ ส่งเสียงไอกระเสาะกระแสะให้ได้ยินเป็นระยะเป็นเวลาห้าเดือนเต็มที่เจียเฉิงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ไม่มีผู้ใดรู้จักเขา เขาก็ไม่ปริปากพูดคุยกับใครสักคำ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในมุมมืดมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวัง รอให้แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า เพราะความไม่สุงสิงกับใครจนบางคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบ้หูหนวก ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้นรอเพียงแค่คนใจดีเอามาบริจาคกินไปพอประทังชีวิต อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง สำหรับเจียเฉิงไม่ได้สนใจเรื่องปากท้องแล้ว อยู่ก็ได้ตายไปก็ไม่เป็นไร“มีคนเอาอาหารมาแจกแล้ว มีคนเอาอาหารมาแจก รีบไปรับเร็วเข้า!”ขอทานน้อยตะโกนดังไปทั่วตรอก โดยปกติเจียเฉิงไม่ได้ออกไปรับอาหารเอง เพราะได้เจ้าขอทานน้อยผู้นั้นที่เป็นคนเอามาโยนให้ถึงที่ เนื่องด้วยทุกคนเข้าใจผิดว่าเขาเป็นใบหูหนวก จึงแสดงน้ำใจรับอาหารมาเผื่อแผ่จากตรงที่เจียเฉิงนั่งอยู่สามารถม
ห้าเดือนต่อมาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าในระยะเวลาเพียงแค่ห้าเดือนเจี้ยนกั๋วก็เบื่อซืออิ่งเสียแล้ว พอสิ้นวาสนาแม้แต่เสือก็ยังถูกสุนัขรังแก แรกๆ ในตอนที่ซืออิ่งแต่งเข้าจวนได้รับการปกป้องอยู่บ้าง แต่บัดนี้เจี้ยนกั๋วพาสตรีใหม่เข้าจวนเพิ่มอีกหนึ่งคน ความโปรดปรานที่มีต่อซืออิ่งจึงลดน้อยถอยลง จากที่เคยดีด้วยอย่างถึงที่สุดก็แปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือยามนี้เจี้ยนกั๋วปล่อยปละละเลยไม่ปกป้อง เนื่องด้วยความหัวแข็งไม่ยอมคนจึงทำให้นางใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก บางวันถูกอนุของเจี้ยนกั๋วกลั่นแกล้งให้เจ็บตัว บางวันก็ถูกหาเรื่องใส่ความยัดเยียดความผิดให้ มิหนำซ้ำยังถูกกรอกยาทำให้แท้งลูกไปแล้วครั้งหนึ่ง หมอบอกว่าภายในเสียหายจนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก เพียงแค่คิดว่าจะต้องอยู่ในจวนที่มีสภาพไม่ต่างจากคุกไปตลอดชีวิต ซืออิ่งก็ร่ำร้องอยากตายวันละหลายร้อยรอบหดหู่ สิ้นหวัง ทุกข์ระทมทรมาน นั่นคือทุกความรู้สึกที่ซืออิ่งกำลังเผชิญอยู่ฝ่ายเจียเฉิงที่ได้สัมปทานรังนกมาครอบครองแต่กลับมารู้ภายหลังว่าตนได้ครอบครองแค่ในนาม เพราะเจี้ยนกั๋วตลบหลังโกงทุกอย่างไปหมด อย่างที่ถิงถิงเคยบอกไว้ เจี้ยนกั๋วเป็นพวกเจ้าเล่ห์มากแผนการ
คุยกลับลู่ชิงเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาในห้อง หานอี้ควนนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ถิงถิงนึกว่าเขานอนต่ออย่างเช่นนางบอก จึงเดินเข้าไปกระชับผ้าห่มให้แนบแน่นขึ้น แล้วหมุนตัวคว้าเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าคันฉ่องมองเงาสะท้อนของตนเองแย้มยิ้มบางๆวันนี้เป็นวันแรกที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่ใหม่ นอกหน้าต่างท้องฟ้าสว่างสดใสไร้เมฆบดบัง เพียงครู่เดียวแสงแดดอ่อนๆ ก็ชโลมไล้พื้นดิน ถิงถิงยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งงัน เสียงขยับตัวเบาๆ ของผู้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้ต้องละสายตาจากทิวทัศน์งดงาม มองกลับมาเห็นหานอี้ควนนั่งหน้าตึงอยู่“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เขาลุกเดินไปแต่งกายให้เรียบร้อย นางจึงรีบเข้ามาช่วยปรนนิบัติตามหน้าที่ภรรยาพึงกระทำ เช้านี้ไม่รู้ว่าหานอี้ควนจะออกไปที่ใดหรือไม่ แต่ดูจากลักษณะอาภรณ์ที่เขาหยิบมาสวมใส่อย่างไม่เป็นทางการก็น่าจะอยู่ติดจวนไม่ออกไปไหน“ตกลงเลือกเรือนให้ข้าได้หรือยังเจ้าคะ”“ถ้าข้าไม่ทำอย่างที่เจ้าเสนอมาล่ะ”“ข้าคิดว่าความต้องการของท่านพี่คือต่างคนต่างอยู่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือเจ้าคะ”“ความต้องการของเจ้าก็ต่างคนต่างอยู่อย่างนั้นหรือ”“ได้ทั้งนั้น”ค
“ถิงถิง”“เจ้าคะ”“แต่งงานกันแล้วก็ทำหน้าที่ภรรยา เจ้าจะทำอะไรตามอำเภอใจได้อย่างไร” น้ำเสียงของเขาคล้ายว่ากำลังขุ่นเคืองอยู่ นางเอียงคอมองใบหน้าครึ่งเสี้ยวนั้น นิ่งและเยือกเย็นจนต้องหันกลับมาดังเดิม มองนานเกินไปคงไม่ดี เพราะเดี๋ยวจะถูกความหล่อเหลาล่อลวงเอาได้ หากคืนนี้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็อย่ามาโทษที่ถิงถิงไม่ยับยั้งชั่งใจเป็นอันขาด“หน้าที่ภรรยาหรือเจ้าค่ะ ใช่ๆ ประมุขน้อยพูดถูก อย่าตำหนิที่ข้าไม่รู้ความเอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุงตัว”“ท่านพี่”“อะ…อะไรนะ”“เรียกท่านพี่”ตัวนางออกจะแข็งกระด้างเช่นนี้ จะให้พูดจาอ่อนหวานเรียกขานเขาท่านพี่ก็ยังรู้สึกอายๆ จึงพูดย้ำประโยคเดิมให้ฟังอีกรอบ“เอาไว้วันหน้าข้าจะค่อยๆ ปรับปรุง เรื่องหน้าที่ภรรยาข้ารู้ตัวดีว่าต้องทำเช่นไร”พูดจบก็รีบเปลี่ยนท่านอนพลิกตัวหันหลังให้ ปิดเปลือกตาลงฝืนข่มใจให้หลับ“ไม่ เจ้าไม่รู้ตัว นี่แหละเรียกว่าไม่รู้ตัว"“แล้วเหตุใดประมุขน้อยต้องมาหาเรื่องตำหนิ ทั้งที่ข้าก็ทำตามที่ท่านเคยพูดไว้ทุกอย่าง ตกลงจะเอาอย่างไรกันแน่”หานอี้ควนแทบอยากทุบกำปั้นระบายอารมณ์กับกำแพง นางพูดถูกหมด เพราะทำตามคำพูดของเขาทุกอย่างก็เลยเว้นระ
เพราะตั้งใจหลีกเลี่ยงชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งเป็นการตีตัวเสมอภรรยาเอก ข้อนี้ซืออิ่งรับรู้และเข้าใจดีว่านั่นอาจแสดงถึงการไม่ให้เกียรติผู้ที่อยู่ก่อน ด้วยเหตุนี้เหมยหลินจึงให้นางสวมชุดเจ้าสาวสีชมพูอ่อน หากวันนี้สวมอาภรณ์สีแดงเข้าไปอนาคตจะต้องอยู่ในจวนเจี้ยนกั๋วอย่างยากลำบาก บรรดาอนุทั้งหลายต้องเขม่นไม่ชอบขี้หน้านางตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้า“จับนางเปลี่ยนชุด”“อย่านะ! ไม่! ข้าไม่ต้องการ อย่า! พวกเจ้าเป็นใครเหตุใดทำกับข้าเช่นนี้ คอยดูข้าจะฟ้องท่านพ่อ ท่านพ่อของข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าทุกคน”กรี้ดดดดดดดปลายยามซวีจบจากพิธีการที่ยุ่งยากมาทั้งวัน ถิงถิงนั่งอย่างสงบเสงี่ยมในห้องหอ นางกำลังรอให้เจ้าบ่าวมาเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้ตามธรรมเนียม สักพักเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกันนั้นเบื้องหน้าก็สว่างวาบเพราะผ้าคลุมถูกเปิดออก“เจ้าคงหิวเพราะไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน” เขาถามพลางอมยิ้มน้อยๆ“ข้าซ่อนขนมโก๋ไว้ในแขนเสื้อแอบกินไปบ้างแล้ว ประมุขน้อยไม่ต้องห่วง”“เป็นเช่นนั้นหรือ”“เจ้าค่ะ ห่วงแต่ประมุขน้อยคงดื่มมามาก เอ่อ…หน้าท่านแดง”เขาดื่มมามากจริง พวกที่ยกจอกสุราให้ก็ยุให้ดื่มไม่หยุด แล้วตอนนี้หานอ
ท่านตาชอบเล่นใหญ่อยู่เสมอ ถิงถิงถอนหายใจเหนื่อยๆ เห็นว่าเจ้านายไม่ถามอะไรต่อลู่ชิงจึงพูดอีก“คนที่เร่งรัดหาใช่ใต้เท้าหานไม่ เป็นประมุขน้อยต่างหาก”ถิงถิงชะงักค้างครู่หนึ่ง หัวคิ้วจดกันแทบเป็นเส้นตรง“ประมุขน้อยคงต้องการเป็นผู้สืบทอดหอคุณธรรมไวๆ”“ไม่คิดว่าประมุขน้อยอาจจะชอบคุณหนูก็เลยเร่งรัดงานแต่งบ้างหรือเจ้าคะ”เขาเคยบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าจำเป็นต้องแต่งเพื่อเข้ารับเป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการ ถิงถิงก็เลยเตือนใจตนเองอยู่เสมอไม่กล้าคิดไกลไปถึงขั้นนั้น ส่วนตัวเขาเองก็ไม่เคยบอกความในใจให้ได้ยิน แล้วอย่างนี้จะให้นางคิดทึกทักเอาเองคนเดียวได้อย่างไรว่ามีใจให้ ดีไม่ดีอาจถูกมองเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเอา“ไม่คิด”“วันนั้นที่คุณหนูถูกนายท่านเจียเฉิงลักพาตัวไปประมุขน้อยเป็นห่วงคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ ดูก็รู้ว่าประมุขน้อยชอบคุณหนู ใครๆ ก็รู้มีแต่คุณหนูที่ไม่รู้”“พอแล้วเจ้าเลิกเหลวไหล”ลู่ชิงหุบปากลงฉับแล้วอมลมไว้จนแก้มป่อง นึกขึ้นได้ว่ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกันต้องรายงาน“ข้ายังมีอีกเรื่องเป็นเรื่องของตระกูลว่าน มีข่าวแว่วมาว่าคุณหนูซืออิ่งจะถูกส่งตัวไปจวนเกี้ยนกั๋วในอีกสามวัน ดังนั้นคุณหน







