Se connecterหมิงหลิ่งฟางยังคงค้างคาใจ ใครกันกล้ามาทำกับนางที่จวนของบิดาได้ นางพยายามหลับตาเค้นความทรงจำในอดีตเหตุการณ์นั้นค่อนข้างเลือนรางมาก
เหมือนคับคล้ายคับคราว่ามีสตรีผู้หนึ่งมาเบียดนางอยู่ด้านหลัง ในระหว่างที่นางยืนชมดอกบัวในสระโดยไม่ทันตั้งตัว ก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนผลักนางจากด้านหลังก่อนที่นางจะตกลงไปในสระบัวด้านข้างจวน
หากนางจำไม่ผิดสตรีผู้นั้นคาดว่าน่าจะเป็นหวงเจียวซิน บุตรสาวของเจ้ากรมการคลัง ที่ตามครอบครัวมาร่วมงานวันเกิดของบิดาที่จวนด้วยเช่นกัน
เหอะ! คนนิสัยร้ายกาจเช่นนั้นทำร้ายนางยังไม่พอยังจะกล้าหน้าด้านแสร้งมาตีสนิททำเป็นว่าหวังดีกับนาง ในอดีตนางช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริงหลงเชื่อคนโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ครานี้นางจะไม่ยอมให้สตรีผู้นั้นมาหลอกลวงปั่นหัวนางเป็นครั้งที่สองได้อีก หากจะมีใครโง่เขลาคนผู้นั้นต้องไม่ใช่นาง!
หมิงหลิ่งฟางรู้สึกเจ็บใจทั้งโกรธแค้นอดีตสามีและสตรีผู้นั้นจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ให้สมกับสิ่งที่พวกมันทำกับนางไว้ หมิงหลิ่งฟางเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
แต่หากนางจะเข้าไปแก้แค้นพวกมันตอนนี้ไม่เท่ากับว่านางหาเรื่องเอาครอบครัวไปสังเวยชีวิตให้กับพวกมันหรอกหรือ นางจะทำเรื่องโง่ ๆ เช่นในอดีตได้อย่างไร
ตอนนี้นางมีชีวิตใหม่แล้วสิ่งที่นางต้องทำเป็นอันดับแรกคือต้องรักษาครอบครัวเอาไว้ให้ดี การแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สายพวกมันจะต้องชดใช้ทุกสิ่งที่ทำไว้กับนางและครอบครัวของนาง
นางจะต้องค่อย ๆ คิดวางแผนอย่างรอบคอบเพราะคนพวกนั้นก็มิใช่สามัญ แต่ในเมื่อพวกมันทำชีวิตนางย่อยยับพังทลายได้นางก็จะทำคืนกับพวกมันเป็นร้อยเท่าพันทวีคอยดู นางจะทำให้พวกมันรับรู้ถึงรสชาติของความเจ็บปวดเจียนตายอย่างแน่นอน!
ณ ศาลาริมน้ำภายในจวนสกุลหมิง ท่ามกลางสายน้ำไหลรินเย็นฉ่ำบุปผชาติหลากสีรายล้อม สตรีผู้งดงามดั่งเทพธิดาในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนคล้ายกลีบบัวถูกปักเย็บลวดลายอย่างประณีต นั่งพิงเสาไม้สลักลายริมน้ำเหม่อมองท้องฟ้าสีครามสลับสลับกับสายน้ำไหลเอื่อยในสระที่เต็มไปด้วยดอกบัวสีชมพูเบ่งบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ในยามเช้าตรู
สายลมพัดโชยอ่อน ๆ เรือนผมดำขลับยาวสลวยปลิวไสวประดับด้วยปิ่นปักผมเงินรูปดอกไม้มีไข่มุกห้อยระย้าลงมา ขับให้ใบหน้างดงามไร้ที่ติดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ผิวพรรณของนางขาวนวลเนียนประดุจหยกขาว ดวงตาคู่งามคล้ายเมล็ดซิ่งเฉี่ยวปลายเล็กน้อย หากแต่ในตอนนี้กับแฝงไปด้วยความเศร้าหมอง
หลังจากที่รักษาตัวจนหายดีความทรงจำเมื่อชาติก่อนกลับคืนมาอย่างแจ่มชัด ทั้งความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตก็หวนคืนกลับมาด้วยเช่นกัน ทำให้นางรู้ว่าความเจ็บปวดเมื่อชาติก่อนในโลกปัจจุบัน เป็นเพียงแค่เศษผงเล็ก ๆ ในใจเท่านั้น เทียบไม่ได้กับอดีตชาติของภพนี้เลย
หมิงหลิ่งฟางจำได้ว่าหยางเทียนหลิวสามีของนางในอดีต ซึ่งในยามนี้เขายังคงเป็นเพียงชายคนรักเพราะยังมิได้มีการหมั้นหมายหรือแต่งงานกัน
ในอดีตนั้นนางรักเขามากจนกระทั่งว่ายอมเสียสละได้ทุกสิ่ง หากแต่ก่อนที่นางจะตายนางกลับได้รับรู้ความจริงทั้งหมดจากปากเขาว่าที่เขาจงใจเข้าหานางก็เป็นเพราะต้องการให้สกุลหมิงของนางสนับสนุนเขาก่อกบฏเพื่อที่เขาจะได้ขึ้นครองบัลลังก์
หลังจากที่หยางเทียนหลิวได้ขึ้นครองบัลลังก์สมใจแล้ว หมิงหลิ่งฟางก็รู้สึกดีใจกับเขาด้วยทั้งนางยังคิดว่าเขาจะแต่งตั้งให้นางเป็นฮองเฮาเคียงคู่กับเขา แต่กลับกลายเป็นว่านางเป็นต้นเหตุให้สกุลหมิงต้องมาต้องโทษประหารฐานก่อกบฏถูกประหารชีวิตทั้งตระกูล
เพียงเพราะนางและตระกูลหมดประโยชน์กับเขาแล้ว ส่วนคนที่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮากลับเป็นอดีตสหายรักที่แสร้งเข้าหานางเพื่อให้นางตายใจจากนั้นก็หลอกลวงเอาผลประโยชน์จากนาง ทั้งยังแอบล้วงข้อมูลลับของตระกูลนางไปให้หยางเทียนหลิว
หมิงหลิ่งฟางจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออกกับความโง่เขลาของตนเองในอดีต นางขบเม้มริมฝีปากแน่น หากเป็นเช่นที่ท่านเทพผู้ชี้ชะตาผู้นั้นพูดจริง นางสามารถแก้ไขอดีตได้เช่นนั้นแล้ว สิ่งแรกที่นางจะทำก็คือการตัดความสัมพันธ์กับหยางเทียนหลิว!
ในอดีตแม้นจะเจ็บแค้นเหลือคณา แต่ถ้าทว่านางกลับไม่สามารถทำอันใดได้เลย ทำได้เพียงมองดูครอบครัวคนที่รักนาง ต้องถูกประหารไปทีละคน ๆ จนถึงคราวของนางซึ่งเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่นางจะถูกประหารชีวิตในยามนั้นนางก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างเจ็บปวดระคนเจ็บแค้นว่าขอให้ได้กลับมาแก้แค้นพวกมันอีกครั้ง
นี่คงเป็นสิ่งที่ท่านเทพชราบอกกับนางเมื่อตอนนั้นกระมัง ก็ยังดีที่ยังเมตตาให้นางกลับมาอยู่ในช่วงต้นเรื่อง เพื่อให้นางได้แก้ไขสิ่งที่กระทำผิดพลาดไปในอดีตไม่เช่นนั้นนางคงรู้สึกผิดไปตลอดกาล
“คุณหนูเจ้าคะองค์ชายรองมาขอพบคุณหนู ตอนนี้รออยู่ที่ห้องโถงกับนายท่านเจ้าค่ะ”
องค์ชายรองหรือ…
หยางเทียนหลิว ฮึ! คิดไม่ถึงเลยว่าในขณะที่นางกำลังคิดถึงเรื่องของเขาอยู่ เขากลับมาหานางพอดีช่างเหมาะเจาะอะไรถึงเพียงนี้ เช่นนั้นนางก็คงต้องออกไปต้อนรับเขาสักหน่อยก็แล้วกัน มุมปากบางแดงระเรื่อยกยิ้มมุมปากขึ้นน้อยก่อนจะเดินไปยังห้องโถง
ณ ห้องโถงจวนสกุลหมิง หลังจากที่หยางเทียนหลิวรู้ข่าวว่าหมิงหลิ่งฟางหายป่วยดีแล้ว เขาก็รีบเดินทางจากวังหลวงมายังจวนสกุลหมิงในทันที เพื่อแสดงความห่วงใยเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมาให้นางได้เห็นว่าเขานั้นรักและห่วงใยนางมากเพียงใด "ขอประทานอภัยที่ให้องค์ชายรองทรงรอนานเพคะ" สตรีร่างบางในอาภรณ์ผ้าแพรสีส้มอ่อนใบหน้างามนิ่งเรียบ เดินทอดกายเข้ามายืนตรงหน้าบุรุษทั้งสองในห้องโถง พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อยแสดงความเคารพตามมารยาท ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามเหลือบมองบุรุษในอาภรณ์ปักลายมังกรสีม่วงเพียงครู่หนึ่ง "ในเมื่อฝ่าบาทมีเรื่องพูดคุยกับบุตรสาวของกระหม่อม คงต้องขอตัวก่อน” อัครเสนาบดีหมิงฮุ่ยจือเอ่ยบอกองค์ชายรองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งที่ในใจไม่พอใจอย่างยิ่ง ดวงตาคู่คมมองบุตรสาวตนเองอย่างกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะลงเอ่ยอย่างไรกัน หมิงหลิ่งฟางมองตามบิดาเงียบ ๆ แม้นตอนนี้เขาจะไม่พูดอะไรออกมาแต่นางรู้ว่าท่านพ่อไม่พอใจที่นางยังคบหากับองค์ชายรองอยู่ ดวงตาคู่งามหลุบลงต่ำก่อนจะคารวะองค์ชายรองตามพิธีการ “ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หยางเทียนหลิวคว้าแขนเรี
หมิงหลิ่งฟางยังคงค้างคาใจ ใครกันกล้ามาทำกับนางที่จวนของบิดาได้ นางพยายามหลับตาเค้นความทรงจำในอดีตเหตุการณ์นั้นค่อนข้างเลือนรางมาก เหมือนคับคล้ายคับคราว่ามีสตรีผู้หนึ่งมาเบียดนางอยู่ด้านหลัง ในระหว่างที่นางยืนชมดอกบัวในสระโดยไม่ทันตั้งตัว ก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนผลักนางจากด้านหลังก่อนที่นางจะตกลงไปในสระบัวด้านข้างจวน หากนางจำไม่ผิดสตรีผู้นั้นคาดว่าน่าจะเป็นหวงเจียวซิน บุตรสาวของเจ้ากรมการคลัง ที่ตามครอบครัวมาร่วมงานวันเกิดของบิดาที่จวนด้วยเช่นกัน เหอะ! คนนิสัยร้ายกาจเช่นนั้นทำร้ายนางยังไม่พอยังจะกล้าหน้าด้านแสร้งมาตีสนิททำเป็นว่าหวังดีกับนาง ในอดีตนางช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริงหลงเชื่อคนโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ครานี้นางจะไม่ยอมให้สตรีผู้นั้นมาหลอกลวงปั่นหัวนางเป็นครั้งที่สองได้อีก หากจะมีใครโง่เขลาคนผู้นั้นต้องไม่ใช่นาง! หมิงหลิ่งฟางรู้สึกเจ็บใจทั้งโกรธแค้นอดีตสามีและสตรีผู้นั้นจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ให้สมกับสิ่งที่พวกมันทำกับนางไว้ หมิงหลิ่งฟางเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่หากนางจะเข้าไปแก้แค้นพวกมันตอนนี้ไม่
แสงแดดรำไรยามเช้าตรู่ สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาวบางเบาพลิ้วไหวกระทบเข้ากับใบหน้าขาวเนียนดุจหิมะของหมิงหลิ่งฟางที่นอนอยู่บนเตียงไม้สีดำหลังใหญ่แกะสลักลายอย่างประณีต เปลือกตาสีไข่ค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนกระพริบตาถี่ ๆ ขนตายาวแพรหนากระพือขึ้นลงราวกับปีกผีเสื้อ ครั้นพอฟื้นคืนสติขึ้นมาหลินฟางก็ใช้สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ที่นี่คือที่ไหนกัน นางพยายามขยับร่างกายหมายจะลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น แต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่นจากมือใครบางคนที่กุมมือของนางไว้แน่น หลินฟางเหลือบมองไปยังข้างเตียงก็พบสตรีนางหนึ่ง สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกโบตั๋นสีทองอย่างประณีต มวยผมที่เกล้าไว้ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าสตรีผู้นี้คงเป็นสตรีวัยกลางคน นางกำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียงทั้งมือของนางก็ยังกุมมือของหลินฟางเอาไว้แน่นราวกับว่ากลัวจะสูญเสียนางไปอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่หลินฟางกำลังย่นคิ้วอย่างสงสัย นางมาอยู่ที่ไหนแล้วผู้นี้เป็นใคร จู่ ๆ นางก็รู้สึกปวดหัวราวกับว่ามีเข็มนับพันมาทิ่มแทงจนหัวแทบจะระเบิดออกมา หลินฟางยกมือขึ้นกุมศีรษะไว้อย่างเจ็บปวด
บนดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้ได้จัดโต๊ะสำหรับทานดินเนอร์ไว้สำหรับลูกค้าวีไอพี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูคุ้นตาสวมสูทสีดำดูภูมิฐาน ฝั่งตรงข้ามเขาเป็นหญิงสาวสวยในชุดเดรสเกาะอกสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีขาวดูมีระดับ หากมองดูดี ๆ แล้วผู้หญิงคนนี้คงมีฐานะอยู่ไม่น้อย ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ริมฝีปากสีแดงสดยกยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มตรงหน้าตลอดเวลา “อร่อยไหมคะ มื้อนี้ฉันสั่งแต่ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลยนะ” “ขอบคุณนะครับ” เขาเองก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเธอเช่นกัน ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข โดยไม่เห็นว่ามุมหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนกำมือแน่น ใบหน้าซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาริมฝีปากขบเม้มจนห้อเลือด ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังโต๊ะที่คนรักของเธอนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นตา “นี่มันอะไรกันคะจงเหวิน แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” หลินฟางเอ่ยถามเสียงสั่น เธอไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จะเป็นเขา จงเหวินเบิกตากว้างอย่างตกใจ เช่นเดียวกับหญิงสาวชุดแดงตรงหน้าที่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เขาเป็นแ
ในยามพลบค่ำดวงตะวันค่อยๆ ลาลับท้องฟ้ามืดครึ้ม ผู้คนสัญจรไปมาเริ่มน้อยลงก่อนจะจางหายไป มีเพียงแสงไฟสลัวตามสองฝั่งข้างทาง ริมฟุตบาทของถนนสายหนึ่งที่ติดอยู่กับแม่น้ำห่างเพียงระเบียงกั้น สะท้อนให้เห็นเงาของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย หญิงสาวร่างผอมบางในชุดเดรสชีฟองสีขาวสวมหมวกไหมพรมสีขาว เดินไปตามฟุตบาตก่อนจะมาหยุดอยู่บนสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำ ดวงตาเศร้าหมองเหม่อลอยทอดมองไปด้านหน้าอย่างไร้ทิศทาง หากมองดูใกล้ๆ คงเห็นว่าดวงตาของเธอบวมแดงหลังจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ใบหน้าที่เคยงดงามผุดผ่องนั้นซีดเซียวซูบตอบไร้สีเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัดริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่อซีดขาวราวกับกระดาษ ที่ผ่านมาราวกับว่าโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตของเธอ เมื่อปีก่อนเธอป่วยอาการเริ่มทรุดหนักเมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาล กลับพบว่าเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอาจอยู่ได้ไม่เกินสองปี นั่นเสมือนกับฝันร้ายชีวิตที่กำลังราบรื่นวาดฝันไว้อย่างดีกับคนรักที่คบกันมาถึงห้าปี เธอตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานและมีลูกกับเขาชีวิตครอบครัวของเธอก็จะสมบูรณ์ เติมเต็มชีวิตในอดีตที่ขาดหาย







