Se connecterณ ห้องโถงจวนสกุลหมิง
หลังจากที่หยางเทียนหลิวรู้ข่าวว่าหมิงหลิ่งฟางหายป่วยดีแล้ว เขาก็รีบเดินทางจากวังหลวงมายังจวนสกุลหมิงในทันที เพื่อแสดงความห่วงใยเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมาให้นางได้เห็นว่าเขานั้นรักและห่วงใยนางมากเพียงใด
"ขอประทานอภัยที่ให้องค์ชายรองทรงรอนานเพคะ"
สตรีร่างบางในอาภรณ์ผ้าแพรสีส้มอ่อนใบหน้างามนิ่งเรียบ เดินทอดกายเข้ามายืนตรงหน้าบุรุษทั้งสองในห้องโถง พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อยแสดงความเคารพตามมารยาท ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามเหลือบมองบุรุษในอาภรณ์ปักลายมังกรสีม่วงเพียงครู่หนึ่ง
"ในเมื่อฝ่าบาทมีเรื่องพูดคุยกับบุตรสาวของกระหม่อม คงต้องขอตัวก่อน” อัครเสนาบดีหมิงฮุ่ยจือเอ่ยบอกองค์ชายรองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งที่ในใจไม่พอใจอย่างยิ่ง ดวงตาคู่คมมองบุตรสาวตนเองอย่างกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะลงเอ่ยอย่างไรกัน
หมิงหลิ่งฟางมองตามบิดาเงียบ ๆ แม้นตอนนี้เขาจะไม่พูดอะไรออกมาแต่นางรู้ว่าท่านพ่อไม่พอใจที่นางยังคบหากับองค์ชายรองอยู่ ดวงตาคู่งามหลุบลงต่ำก่อนจะคารวะองค์ชายรองตามพิธีการ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หยางเทียนหลิวคว้าแขนเรียวเล็กของนางไว้เสียก่อน หลังจากจับให้นางมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วมือใหญ่ก็คว้ามือเรียวเล็กมากุมไว้ จากนั้นองค์ชายรองหยางเทียนก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาเรียวคมจ้องมองหมิงหลิ่งฟางด้วยความห่วงใย
"ฟางเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้างข้าได้ยินมาว่าเจ้าหายป่วยแล้ว ข้ารู้สึกดีใจมากจึงรีบมาหาเจ้าในทันทีหลังจากเสร็จราชกิจที่อำเภอชิงหลง"
เสแสร้ง! ได้ยินสิ่งที่บุรุษผู้นี้กล่าววาจาเช่นนี้แล้วหมิงหลิ่งฟางแทบอยากจะอาเจียนออกมา หากนางไม่รู้มาก่อนว่าเขาเป็นคนอย่างไรนางคงใจอ่อนหลงคารมคนผู้นี้ไปแล้ว
แต่นางยังคงปั้นหน้ายิ้มเล็กน้อยให้กับเขา เอาสิ! เขาเสแสร้งมานางก็เสแสร้งกลับเช่นที่เขาทำ ดูซิว่าเขาจะทำอย่างไรต่อ หากนางเดาไม่ผิดที่เขามาวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องแต่งงานกระมัง แม้ว่าในใจอยากจะไล่บุรุษหน้าหนาผู้นี้ไปให้ไกลลูกกะตานางก็ตาม
"ขอบพระทัยเพคะที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วเพคะ"
หมิงหลิ่งฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบพลางยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม แล้วดึงมือของตนออกจากมือใหญ่ของเขา
หยางเทียนหลิวเห็นเช่นนั้นก็นึกแปลกใจที่ที่ผ่านมามิใช่ว่านางเพียงเห็นเขาก็ดีใจจนวิ่งเข้าหาไปแล้วหรือ แต่ตอนนี้กลับมีท่าทีเฉยชาเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่านางน้อยน้อยใจเขาที่ตอนนางนอนป่วยเขาไม่ได้มาเยี่ยมกัน หากปล่อยไว้เช่นนี้นานเกรงว่าคงไม่ดีแน่
มารดาของเขาเองก็กำชับมาว่าทำไมวันนี้วันนี้เขาต้องคุยเรื่องแต่งงานกับนางให้สำเร็จให้จงได้หากช้ากว่านี้ แผนการที่พวกเขาวางไว้มาหลายปีคงพังไม่เป็นท่าเสียแล้ว
“เจ้าโกรธข้าหรือ ที่ข้าไม่ได้มาเยี่ยมตอนเจ้าป่วย ตอนนั้นข้าได้รับพระโองการจากเสด็จพ่อให้ไปสะสางราชกิจแทนพระองค์ที่อำเภอชิงหลงพอดี เจ้าก็รู้ราชโองการมิอาจขัด หลังจากเสร็จราชกิจข้าก็รีบมาหาเจ้านี่อย่างไร”
หยางเทียนหลิวพยายามอธิบายให้กับนาง แต่หมิงหลิ่งฟางกลับฟังดูแล้วเหมือนข้ออ้างมากกว่า เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว หากมิใช่ว่าพระสนมกุ้ยเฟยเร่งรัดมา มีหรือที่คนอย่างองค์ชายรองหยางเทียนหลิวผู้นี้จะมาหานาง ไม่แน่อาจจะอยู่กับสหายเก่าผู้นั้นของนางแล้วก็ได้ อารามร้อนใจเช่นนี้มีหรือที่นางจะคาดเดานิสัยเขาไม่ออกว่ามาด้วยเรื่องอันใด
“ที่องค์ชายรองมาหาหม่อมฉันวันนี้ มิใช่ว่ามาเยี่ยมเยียนหม่อมฉันอย่างเดียวกระมังเพคะ” หมิงหลิ่งฟางกล่าวพลางยกยิ้มมุมปากแต่ไม่ถึงดวงตา
“วันนี้นอกจากจะมาเยี่ยมแล้วข้าก็อยากจะมาคุยเรื่องการหมั้นหมายแต่งงานของเราด้วย ไม่รู้ว่าฟางเอ๋อร์จะเห็นว่าอย่างไร”
นั้นปะไรเป็นเช่นที่นางคาดไว้ไม่มีผิด คงกลัวว่าแผนการที่พวกเขาที่วางไว้จะผิดพลาดสินะ ถึงได้เร่งมาคุยเรื่องแต่งงานเร็วถึงเพียงนี่ หากเป็นเมื่อก่อนนางคงดีใจจนเนื้อเต้นไปแล้ว
“ขอเพียงเจ้าตอบตกลงข้าจะส่งของหมั้นมาให้อย่างเป็นทางการในอีกสามวันแล้วจะให้ทางวังหลวงจัดหาฤกษ์งามยามดีในการจัดงานแต่งงานให้เจ้าอย่างสมเกียรติ”
หมิงหลิ่งฟางมองใบหน้าจริงจังของบุรุษสูงศักดิ์ตรงหน้าก็อดทอดถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ นี่มิใช่ว่าเป็นการมัดมือชกนางหรอกหรือ
นางเสมือนตกนรกมาแล้วครั้งหนึ่ง ครานี้นางจะไม่ยอมก้าวพลาดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง แค่เห็นหน้าเขาตอนนี้นางก็ขยะแขยงมากพอทนแล้ว
“องค์ชายรอง...หม่อมฉันยังไม่พร้อมที่จะแต่งงานเพคะ” หมิงหลิ่งฟางจ้องหน้าเขาแววตาคู่นั้นฉายแววเย็นเยียบอยู่ครู่หนึ่ง“หากองค์ชายรีบร้อนขนาดนั้นมิสู้แต่งคุณหนูหวงเจียวซินดีหรือไม่เพคะ”
ณ ห้องโถงจวนสกุลหมิง หลังจากที่หยางเทียนหลิวรู้ข่าวว่าหมิงหลิ่งฟางหายป่วยดีแล้ว เขาก็รีบเดินทางจากวังหลวงมายังจวนสกุลหมิงในทันที เพื่อแสดงความห่วงใยเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมาให้นางได้เห็นว่าเขานั้นรักและห่วงใยนางมากเพียงใด "ขอประทานอภัยที่ให้องค์ชายรองทรงรอนานเพคะ" สตรีร่างบางในอาภรณ์ผ้าแพรสีส้มอ่อนใบหน้างามนิ่งเรียบ เดินทอดกายเข้ามายืนตรงหน้าบุรุษทั้งสองในห้องโถง พร้อมกับย่อตัวเล็กน้อยแสดงความเคารพตามมารยาท ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่งามเหลือบมองบุรุษในอาภรณ์ปักลายมังกรสีม่วงเพียงครู่หนึ่ง "ในเมื่อฝ่าบาทมีเรื่องพูดคุยกับบุตรสาวของกระหม่อม คงต้องขอตัวก่อน” อัครเสนาบดีหมิงฮุ่ยจือเอ่ยบอกองค์ชายรองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งที่ในใจไม่พอใจอย่างยิ่ง ดวงตาคู่คมมองบุตรสาวตนเองอย่างกลุ้มใจ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะลงเอ่ยอย่างไรกัน หมิงหลิ่งฟางมองตามบิดาเงียบ ๆ แม้นตอนนี้เขาจะไม่พูดอะไรออกมาแต่นางรู้ว่าท่านพ่อไม่พอใจที่นางยังคบหากับองค์ชายรองอยู่ ดวงตาคู่งามหลุบลงต่ำก่อนจะคารวะองค์ชายรองตามพิธีการ “ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หยางเทียนหลิวคว้าแขนเรี
หมิงหลิ่งฟางยังคงค้างคาใจ ใครกันกล้ามาทำกับนางที่จวนของบิดาได้ นางพยายามหลับตาเค้นความทรงจำในอดีตเหตุการณ์นั้นค่อนข้างเลือนรางมาก เหมือนคับคล้ายคับคราว่ามีสตรีผู้หนึ่งมาเบียดนางอยู่ด้านหลัง ในระหว่างที่นางยืนชมดอกบัวในสระโดยไม่ทันตั้งตัว ก็รู้สึกว่ามีมือของใครบางคนผลักนางจากด้านหลังก่อนที่นางจะตกลงไปในสระบัวด้านข้างจวน หากนางจำไม่ผิดสตรีผู้นั้นคาดว่าน่าจะเป็นหวงเจียวซิน บุตรสาวของเจ้ากรมการคลัง ที่ตามครอบครัวมาร่วมงานวันเกิดของบิดาที่จวนด้วยเช่นกัน เหอะ! คนนิสัยร้ายกาจเช่นนั้นทำร้ายนางยังไม่พอยังจะกล้าหน้าด้านแสร้งมาตีสนิททำเป็นว่าหวังดีกับนาง ในอดีตนางช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริงหลงเชื่อคนโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ครานี้นางจะไม่ยอมให้สตรีผู้นั้นมาหลอกลวงปั่นหัวนางเป็นครั้งที่สองได้อีก หากจะมีใครโง่เขลาคนผู้นั้นต้องไม่ใช่นาง! หมิงหลิ่งฟางรู้สึกเจ็บใจทั้งโกรธแค้นอดีตสามีและสตรีผู้นั้นจนแทบอยากจะฆ่าให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ให้สมกับสิ่งที่พวกมันทำกับนางไว้ หมิงหลิ่งฟางเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ แต่หากนางจะเข้าไปแก้แค้นพวกมันตอนนี้ไม่
แสงแดดรำไรยามเช้าตรู่ สาดส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาวบางเบาพลิ้วไหวกระทบเข้ากับใบหน้าขาวเนียนดุจหิมะของหมิงหลิ่งฟางที่นอนอยู่บนเตียงไม้สีดำหลังใหญ่แกะสลักลายอย่างประณีต เปลือกตาสีไข่ค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ ก่อนกระพริบตาถี่ ๆ ขนตายาวแพรหนากระพือขึ้นลงราวกับปีกผีเสื้อ ครั้นพอฟื้นคืนสติขึ้นมาหลินฟางก็ใช้สายตาสำรวจไปรอบ ๆ ที่นี่คือที่ไหนกัน นางพยายามขยับร่างกายหมายจะลุกขึ้นนั่งเพื่อจะได้เห็นชัดขึ้น แต่กลับรู้สึกถึงสัมผัสอันอบอุ่นจากมือใครบางคนที่กุมมือของนางไว้แน่น หลินฟางเหลือบมองไปยังข้างเตียงก็พบสตรีนางหนึ่ง สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกโบตั๋นสีทองอย่างประณีต มวยผมที่เกล้าไว้ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ดูจากการแต่งกายแล้วคาดว่าสตรีผู้นี้คงเป็นสตรีวัยกลางคน นางกำลังฟุบหลับอยู่ข้างเตียงทั้งมือของนางก็ยังกุมมือของหลินฟางเอาไว้แน่นราวกับว่ากลัวจะสูญเสียนางไปอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น ในขณะที่หลินฟางกำลังย่นคิ้วอย่างสงสัย นางมาอยู่ที่ไหนแล้วผู้นี้เป็นใคร จู่ ๆ นางก็รู้สึกปวดหัวราวกับว่ามีเข็มนับพันมาทิ่มแทงจนหัวแทบจะระเบิดออกมา หลินฟางยกมือขึ้นกุมศีรษะไว้อย่างเจ็บปวด
บนดาดฟ้าของโรงแรมแห่งนี้ได้จัดโต๊ะสำหรับทานดินเนอร์ไว้สำหรับลูกค้าวีไอพี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูคุ้นตาสวมสูทสีดำดูภูมิฐาน ฝั่งตรงข้ามเขาเป็นหญิงสาวสวยในชุดเดรสเกาะอกสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อสูทสีขาวดูมีระดับ หากมองดูดี ๆ แล้วผู้หญิงคนนี้คงมีฐานะอยู่ไม่น้อย ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพง ริมฝีปากสีแดงสดยกยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มตรงหน้าตลอดเวลา “อร่อยไหมคะ มื้อนี้ฉันสั่งแต่ของโปรดของคุณทั้งนั้นเลยนะ” “ขอบคุณนะครับ” เขาเองก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเธอเช่นกัน ทั้งสองนั่งทานอาหารด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างมีความสุข โดยไม่เห็นว่ามุมหนึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนกำมือแน่น ใบหน้าซีดเซียวเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาริมฝีปากขบเม้มจนห้อเลือด ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังโต๊ะที่คนรักของเธอนั่งอยู่กับหญิงสาวที่เธอไม่คุ้นตา “นี่มันอะไรกันคะจงเหวิน แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” หลินฟางเอ่ยถามเสียงสั่น เธอไม่คิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จะเป็นเขา จงเหวินเบิกตากว้างอย่างตกใจ เช่นเดียวกับหญิงสาวชุดแดงตรงหน้าที่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย “เขาเป็นแ
ในยามพลบค่ำดวงตะวันค่อยๆ ลาลับท้องฟ้ามืดครึ้ม ผู้คนสัญจรไปมาเริ่มน้อยลงก่อนจะจางหายไป มีเพียงแสงไฟสลัวตามสองฝั่งข้างทาง ริมฟุตบาทของถนนสายหนึ่งที่ติดอยู่กับแม่น้ำห่างเพียงระเบียงกั้น สะท้อนให้เห็นเงาของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย หญิงสาวร่างผอมบางในชุดเดรสชีฟองสีขาวสวมหมวกไหมพรมสีขาว เดินไปตามฟุตบาตก่อนจะมาหยุดอยู่บนสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำ ดวงตาเศร้าหมองเหม่อลอยทอดมองไปด้านหน้าอย่างไร้ทิศทาง หากมองดูใกล้ๆ คงเห็นว่าดวงตาของเธอบวมแดงหลังจากผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ใบหน้าที่เคยงดงามผุดผ่องนั้นซีดเซียวซูบตอบไร้สีเลือดฝาดอย่างเห็นได้ชัดริมฝีปากที่เคยแดงระเรื่อซีดขาวราวกับกระดาษ ที่ผ่านมาราวกับว่าโชคชะตาเล่นตลกกับชีวิตของเธอ เมื่อปีก่อนเธอป่วยอาการเริ่มทรุดหนักเมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาล กลับพบว่าเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอาจอยู่ได้ไม่เกินสองปี นั่นเสมือนกับฝันร้ายชีวิตที่กำลังราบรื่นวาดฝันไว้อย่างดีกับคนรักที่คบกันมาถึงห้าปี เธอตั้งใจไว้ว่าจะแต่งงานและมีลูกกับเขาชีวิตครอบครัวของเธอก็จะสมบูรณ์ เติมเต็มชีวิตในอดีตที่ขาดหาย







